ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 431 สำเร็จ (1)
บทที่ 431 สำเร็จ (1)
ณ นครเขตจันทราสารท คฤหาสน์ลู่
เฉินอวิ๋นซีถือกระบี่สั้นด้วยมือข้างหนึ่งพลางหมุนตัวเคลื่อนย้ายอยู่ในเรือนเล็กของตัวเอง แสดงวิชากระบี่ไล่อาทิตย์ที่เพิ่งร่ำเรียนติดต่อกัน
‘วิชากระบี่ไล่อาทิตย์ดูที่กระบวนท่ากระบี่ สมควรเป็นการใช้ความต่อเนื่องกดดันคู่ต่อสู้ สุดท้ายใช้การทะลวงหัวใจเป็นเป้าหมาย นี่คือวิชากระบี่อันเหี้ยมหาญที่สร้างขึ้นเพราะจุดประสงค์นี้ แต่กลับเป็นเพราะท่าเท้าของตัวข้า ไม่ว่าจะไล่ตามอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ไม่ได้มาตรฐานอยู่ดี…’
หลังจากฝึกฝนสักพักหนึ่ง เฉินอวิ๋นซีก็หยุดการเคลื่อนไหวเบาๆ พร้อมกับเก็บกระบี่เข้าฝักและยืนนิ่ง คิ้วงามขมวดมุ่น ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรอยู่ชั่วขณะ
ก๊อกๆๆ
มีเสียงเคาะประตูดังมาจากประตูเรือน “คุณหนูอวิ๋นซี ประมุขตระกูลกลับมาแล้ว เขาขอให้ท่านไปยังหอมหาสมุทร” ซินเหมยหญิงรับใช้ที่คอยปรนนิบัตินางกล่าวเสียงดังอย่างระมัดระวัง
เฉินอวิ๋นซีเลิกคิ้ว กลับไปวางกระบี่สั้นไว้ในบ้าน จากนั้นก็ประทินโฉมและปล่อยผมลง ก่อนจะเปลี่ยนไปสวมกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนที่งดงามประณีต จึงค่อยเดินออกมาเปิดประตูเรือน
ซินเหมยที่อยู่นอกประตูก้มหน้าลงอย่างหวาดกลัว ไม่กล้ามองนาง
“คุณหนูอวิ๋นซี…”
“นำทางเถอะ ตอนนี้อาจจะเป็นเวลาแบไพ่แล้ว” เฉินอวิ๋นซีกล่าวอย่างราบเรียบ
นางจดจำได้ว่าตัวเองเคยรักลู่เซิ่งมากๆ เหมือนกับถ้าไม่มีเขา ตนเองก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
ทว่าภายหลัง อยู่ห่างกันนานเกินไป อาจเป็นเพราะเวลา หรืออาจเป็นเพราะว่าความรักมีจำกัดอยู่แล้ว ความรักนี้จึงค่อยๆ จืดจางลง มาถึงตอนนี้ นางเหมือนเป็นแค่ภารกิจ เป็นแค่ภาระเท่านั้น
ความรักอาจยังอยู่ แต่จืดจางมากๆ แล้ว
ซินเหมยเงยหน้ามองเฉินอวิ๋นซี รู้สึกว่าคุณหนูอวิ๋นซีในวันนี้เย็นชาเรียบเฉยกับเรื่องต่างๆ เป็นพิเศษ เหมือนกับว่าไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว
นางนำทางเฉินอวิ๋นซีไปยังหอมหาสมุทร
ระหว่างทางมีหญิงรับใช้กับข้ารับใช้คนอื่นๆ ในคฤหาสน์ลู่ผ่านไปผ่านมา พอเห็นเฉินอวิ๋นซี ต่างก็ก้มหัวคุกเข่าลงอย่างนบนอบเพื่อทำความเคารพนาง
ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นภรรยารองของประมุขตระกูลแห่งคฤหาสน์ลู่ แม้จะไม่ใช่ภรรยาเอก ทว่าสถานะและตำแหน่งล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มีอำนาจเทียบเท่ากับใต้เท้าประมุขตระกูล จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องง่ายๆ
เฉินอวิ๋นซีไม่สนใจ เดินตัดทะลุสวนดอกไม้หลายแห่ง ผ่านบ่อน้ำและสะพานหินอีกหลายที่โดยไม่หยุดยั้งตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงหอเก็บหนังสือที่หลังคาเป็นทรงสามแฉก
หอมหาสุมทรเป็นสถานที่ที่คฤหาสน์ตระกูลลู่ใช้เก็บของหายากทุกชนิด ที่นี่ปิดประตูอย่างแน่นหนา นอกจากลู่เซิ่งและระดับสูงของคฤหาสน์ลู่สองสามคนแล้ว คนที่เหลือล้วนไม่สามารถเข้าออกได้
เฉินอวิ๋นซีเองก็ไม่มีคุณสมบัตินี้เช่นกัน
นางเพิ่งเข้าประตู ก็เห็นลู่เซิ่งที่จิบชาอยู่บนเก้าอี้ทางขวามือของชั้นที่หนึ่งทันที ไม่มีใครนอกจากเขา
“ไม่เจอกันนานนะ” ลู่เซิ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวนวล มัดผ้ารัดเอวสีดำ เสื้อคลุมที่คับเล็กน้อยบนร่างขับให้หุ่นอันล่ำสันกำยำโดดเด่นอย่างสมบูรณ์แบบ ผมยาวสีดำปล่อยประบ่า หว่างคิ้วฉายความเหี้ยมเกรียม ไม่ใช่จงใจกระทำ หากแต่เหมือนเป็นอย่างนี้แต่แรกอยู่แล้ว
มองแต่ไกล แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็แสดงถึงความดุร้ายโดยธรรมชาติแล้ว
เฉินอวิ๋นซีถูกกลิ่นอายกระตุ้น จิตใจจึงปั่นป่วนเล็กน้อย อารมณ์ที่ตอนแรกสงบนิ่งมานานจึงรับมือไม่ทัน
นางรู้สึกได้ว่าสายตาของลู่เซิ่งกำลังเคลื่อนไปมาบนร่างนางอย่างช้าๆ ตนเหมือนกับกวางน้องที่ถูกสิงโตกดทับอยู่บนทุ่งหญ้าจนขยับเขยื้อนไม่ได้
เป็นเหตุให้ลมหายใจของนางติดขัดเล็กน้อยตั้งแต่เข้ามา
ลู่เซิ่งเองก็ถอนใจเช่นกัน เขาพยายามสะกดกลิ่นอายของตัวเองเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่เป็นเพราะกลืนกินอาวุธเทพมามากเกินไป ความดุร้ายอันน่าอัศจรรย์ที่หลงเหลือบนร่างจึงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็นสภาพหยินโชติช่วงของเขา ก็ไม่อาจสะกดกลิ่นอายสายนี้ได้โดยสมบูรณ์
เฉินอวิ๋นซีเป็นแค่คนธรรมดา อย่างมากสุดก็เป็นเพียงมือดีในยุทธภพที่ฝึกฝนวิชาภายนอกเท่านั้น ทั้งสองแทบจะอยู่คนละสายพันธุ์กัน สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ ก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว
เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาสองสามเดือนที่ออกท่องเที่ยวกับอริยะเจ้าทงเซิง ภายใต้การอำพรางของอริยะเจ้าทงเซิง กลิ่นอายอันแข็งแกร่งของคนทั้งสองไม่มีการรั่วไหลแม้แต่น้อย ราวกับว่าเป็นคนธรรมดาอย่างแท้จริง ไม่มีใครค้นพบว่าคนทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดาขณะใช้ชีวิต เพียงรู้สึกว่าพวกเขาเป็นตาหลานกันเท่านั้น
‘เทียบกับผู้อาวุโสทงเซิงแล้ว เรายังมีเส้นทางอีกมากมายที่ต้องเดิน…’ ลู่เซิ่งทอดถอนใจ เส้นทางที่ต้องสั่งสมตั้งแต่ระดับดาวหยกถึงระดับเทวปัญญานั้นยาวนานเป็นอย่างยิ่ง ที่สั้นหน่อยอริยะเจ้าใช้เวลาไม่กี่สิบปีก็จบแล้ว ที่ยาวหน่อยถึงขั้นใช้เวลามากกว่าพันปีแต่ก็ยังไม่ผ่าน อริยะเจ้าจำนวนมากแทบจะติดอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต ไม่มีความสามารถพัฒนาได้อีก
ลู่เซิ่งไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถสั่งสมจนสำเร็จเป็นเทวปัญญาได้ในเวลาไม่กี่ปี นี่เป็นความเพ้อฝัน ดูจากข้อมูลที่ได้จากทงเซิง หากอยากจะก้าวสู่ระดับเทวปัญญา จะต้องควบคุมกฎเกณฑ์หลักของตัวเองหรืออัคคีอนธการให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ด้านในถึงด้านนอก และต้องควบคุมการเปลี่ยนแปลงรวมถึงกฎทั้งหมดของมันให้ได้
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำความเข้าใจได้ในระยะเวลาสั้นๆ จำเป็นต้องทดลองไปเรื่อยๆ ในสภาพแวดล้อมและผลกระทบที่แตกต่างกัน ถึงอาจจะทำความเข้าใจได้
เขามาถึงระดับนี้ในรวดเดียว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อนแล้ว
ได้สติกลับมา ลู่เซิ่งจ้องมองเฉินอวิ๋นซี
“พวกเราไม่ได้คุยกันอย่างสบายๆ แบบนี้มานานขนาดไหนแล้ว” เขามองหญิงสาวที่เสียเวลาเพราะตน ในใจเพียงรู้สึกสงสาร
แม้เฉินอวิ๋นซีจะจีบเขาเอง แต่นางก็อุทิศช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของตัวเองให้ตระกูลลู่ อุทิศให้กับตัวเขา ถึงขั้นยังรักษาพรหมจรรย์มานานขนาดนี้
ดีที่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีวิธีแก้ไขปัญหานี้แล้ว
เฉินอวิ๋นซีเงียบงันไปพักหนึ่ง
“จำไม่ได้แล้ว ท่านเรียกข้ามา มีคำพูดอะไรอยากจะบอกหรือ”
ลู่เซิ่งเงียบงันไปเช่นกัน จากนั้นก็ถอนใจเบาๆ “ตั้งแต่แต่งงานกันจนถึงตอนนี้ พวกเรายังไม่ได้ทำเรื่องที่สามีภรรยาควรทำกระมัง”
เฉินอวิ๋นซีงุนงง “เรื่องที่สามีภรรยาควรทำหรือ?!”
นางรู้มาคร่าวๆ จากราชาแห่งเงามืดแล้วว่า ตนเองกับลู่เซิ่งแตกต่างกันมากขนาดไหน กล่าวได้ว่าเหมือนฟ้ากับดิน เกิดว่าลู่เซิ่งร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางจริงๆ เกรงว่าถ้าลู่เซิ่งหายใจออกมาแรงเกินไปโดยไม่ได้ตั้งใจตอนหลับ นางคงจะถูกเป่าจนตาย…
พวกนางที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้ยังมีใจให้กัน แต่เรื่องทีสามีภรรยาควรทำจะเป็นจริงได้อย่างไร
“ข้า…” หรือว่าลู่เซิ่งจะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว เฉินอวิ๋นซีหัวสมองดังสะเทือนเลื่อนลั่น บังเกิดอารมณ์ความรู้สึกสับสนต่างๆ
จิตใจนางปั่นป่วน เดิมทีการได้ใช้ชีวิตกับคนที่ตนรักเป็นเรื่องที่นางเคยปรารถนาที่สุด และตอนนี้อยู่ๆ เป้าหมายนี้ก็มาวางอยู่ตรงหน้าตน แต่นางกลับหวาดกลัวและเกรงกลัวเล็กน้อย
“ที่จริง ไม่ว่าเจ้าจะยังรักข้าอยู่หรือไม่ ข้าก็ไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้อีกแล้ว ข้าว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน…” ลู่เซิ่งพูดต่อ “คุณสมบัติร่างกายของเจ้า ต่อให้มีกำลังภายใน มีรังสีของอาวุธเทพ อย่างน้อยก็มีชีวิตอยู่ได้นานแค่สองร้อยปี ไม่มีทางมากไปกว่านี้…ส่วนข้ามีอายุขัยเกือบๆ หลายพันปี”
“ข้า…” เฉินอวิ๋นซีเอ่ยปากอีกครั้ง แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
นางก้มหน้าหลับตาลง แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น พร้อมกับจ้องมองขาคู่ที่เรียวยาวสมบูรณ์แบบของตนที่โผล่ออกมาจากชายกระโปรงส่วนหนึ่ง
ผิวพรรณอันนวลเนียนที่ขาวจนสะดุดตากระชับและเป็นมันเงายิ่งกว่าเดิมเพราะฝึกฝนวรยุทธ์เป็นกิจวัตร เหมือนกับหยกขาวชั้นสูง
เฉินอวิ๋นซีค่อยๆ สงบสติอารมณ์
“ข้าไม่รู้สึกเลยว่าท่านยังรักข้าอยู่ เป็นอย่างที่ท่านพูดนั่นเอง ต่อให้เลิกรากัน คฤหาสน์ลู่ก็ไม่อาจปล่อยข้าจากไป แต่นั่นจะอย่างไร ถือเสียว่าข้าไม่มีตัวตนก็พอ เขตจันทราสาราทไปถึงจังหวัดไร้เหมันต์ หากคิดจะหาหญิงงามที่ยินดีมาร่วมเรียงเคียงหมอน ไม่ทราบมีกี่คน ท่านจะสนใจสตรีธรรมดาๆ อย่างข้าไปทำไม”
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ” ลู่เซิ่งลุกขึ้น “เป็นเพราะข้าติดค้างเจ้า เดิมทีเจ้าสมควรมีความสมบูรณ์แบบของตัวเอง แต่ข้าทำให้เจ้าเสียเวลา ข้าก็เลยอยากจะชดเชย”
“ข้าไม่ต้องการการชดเชย ท่านให้ความรุ่งเรืองร่ำรวยกับข้าเพียงพอแล้ว ข้าไม่ขออะไรไปมากกว่านี้ ข้าแค่อยากจะมีชีวิตต่อไปอย่างสงบเท่านั้น ท่านจะหย่ากับข้าหรือไม่ ข้าล้วนไม่สนใจ ตอนนี้ข้าไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น แค่อยากจะมีชีวิตอย่างสุขสงบก็พอ” เฉินอวิ๋นซีส่ายหน้า พร้อมกับเงยหน้ามองลู่เซิ่งที่ค่อยๆ เดินมาใกล้ ดวงตาเรียบเฉยประดุจน้ำนิ่งเหมือนกับก่อนหน้านี้
เว้นเล็กน้อย ก่อนจะปัดเส้นผมปอยหนึ่งตรงคางออกเบาๆ
“ข้าอยู่ที่คฤหาสน์ลู่ อยู่ข้างกายท่าน ได้เห็นโลกที่มีสีสันมากมาย ได้เห็นสถานที่มากมายที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่อาจสัมผัส ข้าชมชอบชีวิตแบบนี้มาก ยังมีตอนที่อยู่แดนเหนือและต้าซ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ไม่ใช่เพราะตระกูลลู่ พวกท่านพ่อคงถูกลูกหลงจากภัยพิบัติมารจนตาย ตระกูลจบสิ้นผู้คนล้มตายไปนานแล้วก็ได้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ข้าควรขอบคุณท่านต่างหาก นอกจากนี้ ต่อให้ท่านจะหย่ากับข้า ก็ไม่น่าจะมีใครมาหาเรื่องข้า อย่างน้อยในระดับที่ข้าอยู่ก็คงไม่มีใครกล้า ต่อให้จะสูงกว่าหนึ่งระดับ สูงกว่าอีกระดับ หรือสูงไปกว่านี้ ก็ไม่มีใครกล้า ดังนั้นท่านไม่ต้องห่วง ต่อให้พวกเราหย่ากัน ข้าก็จะไม่ไปหาคนอื่น…นี่! ท่านจะทำอะไร!?”
ควับ!
ลู่เซิ่งฟังจนหงุดหงิดแต่แรกแล้ว จึงใช้มือหนึ่งอุ้มเฉินอวิ๋นซีขึ้นพาดบ่า
“ปากมากเกินไปแล้ว คลอดลูกให้ข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
“ปล่อยข้านะ! นี่! ปล่อยนะ!”
เฉินอวิ๋นซีไม่ทันระวัง ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกอุ้มขึ้นมาแล้ว รอจนนางรู้สึกตัวก็ระดมหมัดเท้าใส่ลู่เซิ่งอย่าบ้าคลั่ง แต่เพราะพลังยุทธ์อ่อนแอเกินไป จึงทำให้นางไม่มีแรงขัดขืนแม้แต่น้อย จากนั้นก็ถูกอุ้มเข้าไปในห้องด้านในขณะที่กรีดร้อง
แคว่ก
ชุดกระโปรงถูกฉีกขาดออกในพริบตา เฉินอวิ๋นซีที่เหลือแค่เสื้อชั้นในหมุนตัวหนีไปนอกประตู แต่ถูกลู่เซิ่งใช้มือข้างหนึ่งจับขาดึงกลับไปบนเตียง จากนั้นก็มีลมแรงพัดผ่าน ประตูใหญ่ของห้องด้านในปิดลงเสียงดังปึงปัง
ไม่นานในห้องด้านในก็มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมา จากนั้นก็เป็นเสียงครางที่ทอดยาว…
…
หลังร่วมรักกัน ลู่เซิ่งใช้มือหนึ่งยกสะโพกขาวผ่องของเฉินอวิ๋นซีและอุ้มนางไว้ที่อกข้างขวา ก่อนจะลุกขึ้น
ตอนที่เพลิดเพลินอยู่เมื่อครู่ เขาได้เปลี่ยนร่างไปเล็กน้อย ร่างกายขยายขึ้นเกือบสามหมี่ แม้จะไม่ได้กลับร่างเดิมโดยสมบูรณ์ แต่ก็นับว่าคืนสภาพกึ่งหนึ่ง
หลังจากโคจรวิชาปีศาจสวรรค์หล่อเลี้ยงบุปผา ลู่เซิ่งรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากครั้งนี้อาจจะทำให้เฉินอวิ๋นซีอุ้มเมล็ดพันธุ์ของตนได้จริงๆ
แสงจากตะเกียงน้ำมันที่ฝังลงบนผนังด้านในห้องด้านในส่ายไหว ส่องสะท้อนสภาพแปลกประหลาดในตอนนี้ของคนทั้งสอง
ลู่เซิ่งที่สูงเกือบสามหมี่เหมือนกับสัตว์ดุร้ายที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด กล้ามเนื้อทั่วร่างดุจเหล็กกล้า ผมยาวที่ตอนแรกคลุมบ่า หลังจากยาวขึ้นแล้ว แค่ปล่อยผมลงมา กลับดูป่าเถื่อนเล็กน้อย เพียงแต่การคืนสภาพร่างกายทำให้ส่วนสำคัญบางส่วนเช่น หัวเข่า ไหล่ และทรวงอกต่างปรากฏเกราะเกล็ดป้องกันบางๆ จึงดูน่ากลัวเหี้ยมเกรียม
ส่วนเฉินอวิ๋นซีที่สูงเพียงหนึ่งจุดเจ็ดหมี่โดยประมาณกลับเหมือนภาชนะเปราะบางที่ขาวผ่องและวิจิตรบนมือของลู่เซิ่ง เหงื่อแตกโทรมกาย สองตาเหลือกขาว แอบอิงกับร่างของลู่เซิ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง แสดงให้เห็นว่าถึงขีดจำกัดที่ไม่อาจไปต่อได้อีกแล้ว
ร่างกายที่ขาวราวหิมะของนางกับกายเนื้ออันเหี้ยมหาญที่เป็นสีดำของลู่เซิ่ง กลายเป็นความสมดุลอันแปลกประหลาดใต้แสงตะเกียงมืดสลัว
……………………………………….