ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 436 ความจริง (2)
บทที่ 436 ความจริง (2)
รูปสลักแตกเป็นรอยแตกรอยหนึ่ง ด้านในรอยแตกพลันมีแสงสีเทาหลายสายพุ่งออกมา จังหวะที่น่าประหลาดและทุ้มต่ำราวกับเสียงเชลโลดังออกมาจากด้านในรูปสลักกาดำ
แสงสีเทาครอบคลุมทั่วร่างลู่เซิ่งในพริบตา แล้วสัมผัสกับมือดำด้านหลังโดยตรง
โผละ!
มือดำพลันสูญสลายไป แสงสีเทาสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนจะหดเล็กลงเหลือขนาดเท่าไข่ไก่ในขณะที่ห่อหุ้มลู่เซิ่งเอาไว้ กระแทกกระทั้นมิติด้านหน้าจนสั่นไหวอย่างรุนแรง คลื่นหลายสายบังเกิดขึ้น ไม่นานก็ฉีกออกเป็นรอยแตกเรียวยาวสายหนึ่ง
รอยแตกเป็นสีเทา ขนาดเท่าฝ่ามือ มีขอบอันน่าอัศจรรย์สีดำสนิทนับไม่ถ้วนที่มีแสงดาวห่อหุ้มอยู่รอบๆ
แต่คล้ายเป็นเพราะเมื่อครู่สิ้นเปลืองพลังในการต้านทานมือดำมากเกินไป ก้อนแสงสีเทาจึงพุ่งไปยังรอยแตกสีเทาอย่างยากลำบาก ระหว่างทางมีแรงส่งไม่พอ จึงเฉออกจากทิศทาง ชนใส่ขอบของรอยแตกสีเทา
พรุ่บ
ก้อนแสงหายเข้าไปในอาณาเขตแสงดาวอันมืดสนิทซึ่งเป็นขอบของรอยแตก
ก้อนแสงสีเทาที่เดิมควรกลับไปถึงโลกแห่งความเจ็บปวดผ่านรอยแตกสีเทา ในที่สุดก็หายสาบสูญไป ตกลงไปในกระแสปั่นป่วนของมิติดวงดาวอันไร้สิ้นสุด
รอยแตกคงอยู่ไม่นานเท่าไหร่ ก็สลายไปตามธรรมชาติ
ตอนนี้วังวนสีน้ำเงินในบ่อน้ำค่อยหายไปโดยสมบูรณ์ เหลือไว้เพียงผิวน้ำสีน้ำเงินที่นิ่งสงบ
เขตต้องห้ามที่อยู่ในความสงบเงียบมาโดยตลอดและแดนอันตรายที่มีแต่อริยะเจ้าถึงจะก้าวเข้ามาได้แห่งนี้ ถ้าหากไม่มีใครมารับช่วงต่อ และวังวนในบ่อน้ำไม่เกิดความผิดปกติอะไรอีก เกรงว่าอีกหลายปีให้หลังก็ยังไม่มีใครพบว่าที่นี่เกิดเรื่อง
ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง
…
หง่าง…หง่าง…หง่าง…!
ลู่เซิ่งค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาจากความเลอะเลือน ข้างหูมีเสียงระฆังโบราณที่ทุ้มหนักและทอดยาวดังมาเป็นระยะ
“ฟื้นแล้วๆ! คุณชายใหญ่ฟื้นแล้ว!” เสียงตะโกนด้วยความยินดีที่เร่งร้อนดังมาจากด้านข้างอย่างต่อเนื่อง
“ขอบคุณฟ้าดิน ถ้าหากคุณชายใหญ่มีอันเป็นไป วันหน้าหมู่บ้านของพวกเราจะทำอย่างไร…”
“พระโพธิสัตว์คุ้มครอง พระพุทธเจ้าคุ้มครอง!”
เสียงเอะอะโวยวายดังเข้าหูลู่เซิ่ง เขาไม่ได้ลืมตา หากแค่โคจรแก่นหยางทั่วร่างอย่างเงียบๆ เพื่อตรวจสอบสภาพของตนเอง
‘ร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ฟื้นฟูเองได้’
‘ความทรงจำกับจิตวิญญาณไม่มีความผิดปกติ ไม่ได้รับความเสียหาย ไม่เจอการเปลี่ยนแปลง’
‘สภาพแวดล้อมภายนอกปกติ ทุกอย่าง…รอเดี๋ยว!’ ลู่เซิ่งตกใจ เขาสัมผัสได้อย่างฉับพลันว่ารอบๆ ร่างกายของตัวเองยังมีร่างกายอีกร่างที่มีเลือดเนื้อห่อหุ้มอยู่!’
เขาโคจรจิตวิญญาณด้วยความเร็วสูงอย่างตื่นตระหนกเพื่อกวาดมองสภาพแวดล้อมรอบๆ
‘ถึงกับ…ถึงกับเป็นแบบนี้หรือนี่!?’
ร่างหลักของเขาในตอนนี้กำลังขดอยู่ในหัวใจของร่างมนุษย์อันสมบูรณ์ร่างหนึ่ง เหมือนกับหดเล็กลงหลายเท่าตัว ถึงขั้นร่างหลักปรากฏสภาพกึ่งโปร่งแสงอันน่าอัศจรรย์ ส่วนรอบนอกของเขาเป็นร่างกายของบุรุษที่เหมือนกับร่างหลักของเขาไม่มีผิด
พริบตาที่จิตวิญญาณของเขากวาดมองโลกภายนอก ความทรงจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับร่างกายนี้ก็ทะลักเข้าสู่ห้วงสมอง
ร่างกายนี้แซ่ลู่เหมือนกัน เรียกว่าลู่จ้ง อายุใกล้เคียงกับเขา ประมาณยี่สิบกว่าปี ทว่ามีนิสัยรักสงบขี้กลัว ทั้งยังมีจิตใจกตัญญูถึงขีดสุด นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีจุดอ่อนหรือจุดเด่นอะไรที่ชัดเจนอีก ถ้าไม่ใช่ว่าสถานที่ที่เขาเกิดขึ้นมาแตกต่างออกไป หากไปอยู่ด้านนอก ก็จะเป็นคนหนุ่มบ้านร่ำรวยธรรมดา
ลู่เซิ่งได้ทราบจากความทรงจำว่า สถานที่ที่ลู่จ้งถือกำเนิดขึ้นเป็นหมู่บ้านเร้นลับที่มีชื่อว่าควันม่วง
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หมู่บ้านควันม่วงดำรงอยู่มาหลายพันปีแล้ว ค่อยๆ สืบทอดอย่างเงียบเชียบอยู่ในราชวงศ์รวมอำนาจขนาดมหึมาคล้ายๆ ต้าอิน
ทว่าเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญก็คือ ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าแก่นหลักในจิตวิญญาณของตนกับลู่จ้งเหมือนกันไม่มีผิด!
สองฝ่ายเพิ่งสัมผัสกัน ก็หลอมรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีการหักล้างกันแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าเดิมทีทั้งสองเป็นคนคนเดียวกัน
หลังจากหลอมรวมกันแล้ว ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจิตวิญญาณยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง ทั้งๆ ที่คุณภาพของจิตวิญญาณที่หลอมรวมด้วยกันเป็นระดับของคนธรรมดาแท้ๆ แต่กลับยิ่งใหญ่อย่างน่าประหลาด
ทำให้เขาซึ่งกำลังยินดีเริ่มตรวจสอบและใคร่ครวญอย่างระมัดระวัง บนโลกใบนี้ไม่มีขนมเปี๊ยะหล่นลงจากฟ้าอย่างไร้เหตุผล สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกเมื่อพบว่าโชคลาภมาเคาะประตูก็คืออันตรายเบื้องหลังที่อาจจะทยอยมาถึง
นี่กลายเป็นนิสัยสัญชาตญาณของลู่เซิ่งไปแล้ว
ทว่ายิ่งเขาเชื่อมโยง ยิ่งเขาวิเคราะห์ ก็ยิ่งสัมผัสความผิดปกติได้มากกว่าเดิม
ลู่เซิ่งได้รู้จากในความทรงจำว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่แตกต่างอะไรกับประเทศจีนในยุคโบราณ เพียงมีผู้ฝึกปราณกับยอดฝีมือในยุทธภพที่ลึกลับบางส่วนเพิ่มมา ทว่าอาณาเขตส่วนใหญ่ก็ยังอาศัยราชสำนักปกครองอยู่ดี
ถึงขั้นที่ยุทธภพของที่นี่ยังรุ่งเรืองสู้ต้าอินกับต้าซ่งไม่ได้
ปกติเหล่ายอดฝีมือจะปรากฏตัวด้วยวิธีการที่น่าอัศจรรย์แปลกประหลาด
ส่วนหมู่บ้านควันม่วงที่ลู่เซิ่งอยู่มีการถ่ายทอดวิชาป้องกันตัวเรียบง่ายส่วนหนึ่ง ยังมีพวกช่างตีเหล็กและช่างไม้ที่เลี้ยงตัวเองสร้างสิ่งของจำพวกเกราะเหล็ก อาวุธและหน้าไม้ กอปรกับในภูเขามีทรัพยากรมั่งคั่ง จึงชุบเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไม่มีบ้านให้กลับจำนวนมากเป็นทหารประจำตระกูล
ตระกูลลู่เหมือนกับผู้กล้าในรัชสมัยฮั่นตอนปลายที่เรืองอำนาจอยู่รอบๆ เขตเล็กๆ
แต่แม้จะมีขุมกำลังขนาดนี้ ตระกูลลู่ก็ไม่ได้อวดอำนาจบารมี หากยังคงคอยคุ้มครองหมู่บ้านเล็กๆ อย่างเงียบๆ เพื่อดำรงชีวิตต่อไป
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจมากที่สุดก็คือ จิตวิญญาณของเขากับลู่จ้งผู้นี้ไม่มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย ตอนที่จิตวิญญาณของลู่จ้งหลอมรวมเข้ากับเขา เหมือนกับว่าเป็นภพชาติอีกชาติหนึ่งที่ตนเคยใช้ชีวิต แยกกันไม่ออกโดยสิ้นเชิง
พึงทราบว่าบนโลกนี้ ต่อให้จะเป็นฝาแฝดที่เกิดพร้อมกัน ก็ยังปรากฏความแตกต่าง เนื่องจากสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตหลังจากเกิดมาไม่เหมือนกัน
‘นี่…นี่หรือว่า…’ ลู่เซิ่งคิดถึงเรื่องราวมากมายอยู่ชั่วขณะ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นการคาดเดาและความสงสัยต่อปรากฏการณ์ชนิดนี้
ที่นี่มีจุดน่าสงสัยมากมายเกินไป ขมุกขมัวจนทำให้คนมองเห็นไม่ชัด
…
“คุณชายใหญ่ มากินข้าวต้มอุ่นกระเพาะหน่อยเจ้าค่ะ”
ณ หมู่บ้านควันม่วง ด้านในห้องสวนประจิม
บนเตียงไม้สีม่วง หญิงสาวงดงามที่ร่างกายสมส่วนคนหนึ่งกำลังประคองคนหนุ่มผอมแห้งที่หน้าซีดขาวจนไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อยขึ้นพิงบนเตียงไม้ด้านหลังอย่างระมัดระวัง
หญิงสาวประคองข้าวต้มในมือเข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง และใช้ช้อนตักขึ้นมาเป่า ก่อนจะส่งไปถึงปากของคนหนุ่ม
คนหนุ่มกลืนข้าวต้มลงไปเสร็จก็เงยหน้ามองหญิงสาว จากนั้นก็พิจารณาสภาพแวดล้อมของห้องนอน
“ท่านพ่อเล่า” เขาถามเสียงแหบพร่า
“ประมุขหมู่บ้านกำลังจะมาหาท่านแล้ว ตอนนี้กำลังประชุมกับเหล่าผู้อาวุโสในโถงอาทิตย์ม่วงอยู่เจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบตอบเบาๆ
นางมีชื่อว่าฉาหลัน เป็นหญิงรับใช้ข้างกายลู่จ้ง
ลู่เซิ่งหลับตาลงพร้อมกับพ่นลมหายใจเบาๆ แก่นหยางสายหนึ่งค่อยๆ ไหลออกมาจากในหัวใจของร่างหลัก แล้วเริ่มปรับเปลี่ยนกายเนื้อกายนี้อย่างเงียบเชียบ
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ แก่นหยางเพิ่งจะไหลเข้าไปในกายเนื้อกายนี้ ก็เกิดความเจ็บปวดทิ่มแทงทันที
เขาใช้แก่นหยางเลียนแบบสภาวะของพลังงานอื่นๆ แล้วทดลองดูต่อไป ปราณมาร ปราณจริงแท้ ปราณภายใน หรือแม้แต่สารกายที่บริสุทธิ์ที่สุด ล้วนไม่มีประโยชน์
‘พลังงานมีระดับสูงเกินไป ร่างกายอ่อนแอเกินไปจึงรับไม่ได้หรือ หรือเป็นเพราะ…กฎเกณ์หลักแตกต่างกัน…เซลล์ในกายเนื้อจึงรับไม่ได้’ ลู่เซิ่งเกิดความสงสัย
พึงทราบว่าต่อให้จะเป็นจักรวาลเดียวกัน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน กฎฟิสิกส์จำนวนมากก็จะปรากฏการเปลี่ยนแปลงทางสภาพที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
ถึงขั้นที่ว่ากฎฟิสิกส์ที่เดิมทีดำรงอยู่ตามธรรมชาติในสภาพแวดล้อมแบบหนึ่ง หากเปลี่ยนเป็นสภาพแวดล้อมอีกแบบหนึ่ง ก็จะไม่สามารถปรากฏได้อีก ปรากฏการณ์แบบนี้ถูกพบได้บ่อยๆ ในโลกใบเดิม
‘น่าสนใจ…ดูเหมือนสภาพแวดล้อมของที่นี่จะแตกต่างกับต้าอินมาก…’ ลู่เซิ่งไม่ฝืนอีก สำหรับเขาแล้ว ร่างหลักขดอยู่ในหัวใจด้วยสภาพที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ซึ่งขอแค่ต้องการ ก็สามารถใช้ได้ตลอดว่า แต่ก็ไม่ต้องรีบร้อนไป
ภารกิจเร่งด่วนคือการซ่อนสถานะ ตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบๆ และหาทางกลับไปขณะที่รักษาตัว
หลังจากเขากำหนดแผนการเสร็จ ก็ให้ฉาหลันหญิงรับใช้ป้อนข้าวต้มเห็ดหูหนูขาวหลายชามอย่างสบายใจ ในข้าวต้มร้อนกรุ่นมียาหล่อเลี้ยงร่างกายไม่น้อย หลังกินเสร็จแล้ว ร่างกายก็อบอุ่นจนปลอดโปร่งยิ่ง
กินข้าวเสร็จ ลู่เซิ่งก็ให้หญิงรับใช้ฉาหลันออกไปเตรียมน้ำสำหรับอาบให้ตนเอง หลังจากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนเป็นชุดประจำตัวที่ใส่สบายเรียบร้อยแล้ว เขาจึงค่อยออกจากเรือนเล็กของตัวเองไปเดินเล่นในหมู่บ้าน
ฉาหลันกลัวว่าเขาจะเป็นลมล้มลงเหมือนก่อนหน้าอีก จึงติดตามอยู่ด้านหลังอย่างระมัดระวังตลอดเวลา
หมู่บ้านควันม่วงไม่ใหญ่มาก ขนาดเท่ากับมหาวิทยาลัยธรรมดาๆ บนโลกเดิม ในหมู่บ้านมีหอทั้งหมดห้าหอ ต่างเชื่อมกันด้วยทางระเบียงยาว ระหว่างทางระเบียงบ้างก็เป็นที่พักของคนรับใช้ บ้างเป็นเรือนรับรองสวนดอกไม้ ยังมีลานฝึกวิชาและลานฝึกอาวุธ
ในหมู่บ้านมีคนทั้งหมดสองร้อยกว่าคน ทหารประจำตระกูลสามสิบคน ต่างคนต่างห้าวหาญชาญศึก ปกติออกไปไล่ล่าและกวาดล้างพวกโจร อาศัยธนูและหน้าไม้ เกราะเหล็กกับเกราะหนังหนาที่คลุมทั่วตัว กอปรกับถืออาวุธในมือ จึงแทบไร้คู่ต่อสู้ในบริเวณใกล้ๆ นี้
แต่เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญรองลงไป สำหรับลู่เซิ่งแล้ว ทหารติดเกราะทั่วไป ต่อให้เก่งกาจขนาดไหน ก็ได้แค่นั้น ร่างหลักแค่เป่าลมใส่ก็ตายกันหมดแล้ว
สิ่งที่เขาสนใจอย่างแท้จริงคือความลับที่หมู่บ้านควันม่วงซ่อนไว้มาโดยตลอด
ตามความทรงจำของลู่จ้ง ตั้งแต่เด็กจนโต เขาจะต้องอยู่กับบิดาและเหล่าผู้อาวุโสในโถงบรรพบุรุษลับแห่งหนึ่งของตระกูลทุกปี เพื่อจัดพิธีกรรมโบราณอันลึกลับ
พิธีกรรมนี้เหมือนจะเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง ไม่มีการเซ่นสรวงเลือด แต่ทุกๆ ครั้งจะต้องถวายสิ่งของประหลาดมากมาย
อย่างเช่นปีหนึ่งต้องการน้ำนมที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของหญิงบริสุทธิ์อายุสิบห้าปี แต่ในเมื่อเป็นหญิงบริสุทธิ์ แล้วจะเอาน้ำนมมาจากไหน
ปีหนึ่งต้องการเลือดจากปลายนิ้วที่เก็บมาจากเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบเก้าสิบเก้าคนตอนกำลังหลับฝัน
ยังมีผมยาวที่ไม่ตัดมาตลอดยี่สิบปี หรือสุราข้าวที่ใช้เลือดกระต่ายหมักบ่มสิบปี
ของเซ่นสรวงพิลึกพิลั่นมากมายหลายชนิด ต่อให้เป็นลู่เซิ่ง ก็มองไม่ออกแม้แต่น้อยว่าพิธีกรรมนี้เป็นอะไรกันแน่
ทว่าหลังจากพิธีกรรมจบลงทุกครั้ง คนส่วนน้อยในหมู่บ้านจะปรากฏอัจฉริยะที่มีพลังยุทธ์เหี้ยมหาญหลายคน
หลายปีมานี้ ลู่เซิ่งแยกแยะจากความทรงจำดู แล้วพบอะไรบางอย่าง
แม้จะไม่อาจใช้แก่นหยางเสริมร่างกายได้ แต่ร่างหลักของเขาก็มีทักษะวรยุทธ์ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปรมาจารย์ ต่อให้ไม่มีความสามารถพิเศษทางสายเลือดของอริยะเจ้ากับอาวุธเทพ ไม่มีกายเนื้ออันแข็งแกร่งจากวิชามาร คนธรรมดาๆ ก็สู้เขาไม่ได้เช่นกัน
ในหัวสมองของเขามีเคล็ดวิชามรรคายุทธ์จำนวนมากที่สร้างความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อได้อย่างง่ายดาย สามารถเปลี่ยนร่างนี้ให้กลายเป็นยอดฝีมือมรรคายุทธ์ระดับสุดยอดในหมู่คนธรรมดาๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าเขาไม่อยากจะทำแบบนี้ ลางสังหรณ์ในความเลือนรางบอกเขาว่า คนที่ชื่อลู่จ้งที่อยู่ที่นี่ อยู่ในโลกแห่งนี้ มีความเกี่ยวพันกับเขา เป็นความเกี่ยวพันที่ไม่อาจแยกจากกัน
การคาดเดาที่เขาสันนิษฐานออกมาทำให้เขาไม่ได้รีบร้อนเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อกายนี้ การคาดเดานี้เกี่ยวข้องกับธรรมราชาเฒ่าที่เคยพบในวัดตราทมิฬเมื่อตอนนั้น
‘มารสวรรค์…มารสวรรค์…ถ้าเราเดาไม่ผิดล่ะก็…’ ตอนนี้ลู่เซิ่งเดินมาถึงด้านหน้าโถงบรรพบุรุษอันเก่าแก่แห่งหนึ่ง พร้อมกับยืนเงยหน้ามองดูป้ายนับไม่ถ้วนที่จัดเรียงอยู่ในโถงเหมือนกับภูเขาอย่างเงียบๆ จิตใจกระจ่างชัดยิ่งกว่าเดิม
……………………………………….