ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 439 มารสวรรค์ (3)
บทที่ 439 มารสวรรค์ (3)
“ปักษาแดงข้ามทะเล!” ลู่เซิ่งควงโม่หินในมือ แล้วฟาดไปด้านหน้าอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่ง
ตูม!
โม่หินลอยออกไปสิบกว่าหมี่แล้วฟาดใส่พื้นที่เป็นโคลนบนลานฝึกอย่างรุนแรง จนโคลนสาดกระจายไปโดนใบหน้าของทหารประจำตระกูลที่อยู่ใกล้ๆ
“เห็นหรือยัง!” ลู่เซิ่งชักแขนกลับ แล้วกวาดตามองทหารประจำตระกูลที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่เหมือนกับกระดิ่งทองแดง
“พลังกำหนดจากกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อกำหนดจากน้ำหนัก! ยิ่งน้ำหนักเยอะ กล้ามเนื้อก็ยิ่งโต! เลือดลมยิ่งทรงพลัง! เมื่อเลือดลมมีมากพอ พลังจิตก็ยิ่งแข็งแกร่ง! ทุกอย่างที่เหลือก็จะตามมาเอง!”
“สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำต่อจากนี้คือการพยายามเพิ่มน้ำหนัก เพิ่มปริมาณการฝึกฝน เรื่องอาหารของบำรุงไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการให้อย่างละเอียดเอง!”
เหล่าทหารประจำตระกูลเงียบงัน ในที่สุดก็ขานรับด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น
“ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหรืออย่างไร! หา!?” ลู่เซิ่งตวาดจนหูของทุกคนที่อยู่รอบๆ ดังหวึ่งๆ
“ได้…ได้ยินแล้วขอรับ!” ทหารประจำตระกูลรีบขานรับเสียงดัง
ลู่เซิ่งค่อยกำชับขุนพลประจำตระกูลอย่างพึงพอใจ แล้วหันไปหาน้องชายกับน้องสาวที่เดินมาทางนี้
“เหตุใดจึงมีเวลาว่างมาดูข้าฝึกทหารประจำตระกูล ท่านพ่อเล่า”
“ท่านพ่อให้พวกเรามาเรียกท่านขอรับท่านพี่” ลู่เฉวียนตอบเบาๆ
“อ้อ จะเริ่มพิธีกรรมใหม่อีกแล้วหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
“ขอรับ…ก่อนหน้านี้เกิดการรั่วไหลอีกครั้ง จำนวนของพิธีกรรมก่อนหน้านี้ใช้หมดแล้ว” ลู่เฉวียนพยักหน้า นับตั้งแต่เริ่มพิธีกรรม และได้รับการยอมรับจากวิญญาณคุ้มครองตนหนึ่ง เขาก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม
เป็นคนละคนกับเด็กผู้ชายที่ไร้เดียงสาและมีความเป็นเด็กเมื่อก่อนหน้านี้โดยสมบูรณ์
ลู่เจินหลิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เหมือนกัน
“ผู้จัดพิธีกรรมครั้งนี้เป็นใคร” ลู่เซิ่งถามอีก
“ผู้อาวุโสรองขอรับ…แต่ท่านพ่ออยากจะให้ท่านไปสังเกตการณ์ดู” ลู่เฉวียนอธิบาย
“ช่างเถอะ ข้าไม่ไป ตอนนี้ไม่ว่าง” พอได้ยินว่าลู่ตั้งเฟิงไม่ใช่ผู้จัด ลู่เซิ่งก็คร้านจะสนใจว่าเป็นผู้อาวุโสรองผู้อาวุโสสามคนไหน
เขาเพียงแค่อยากจัดการความปรารถนาของลู่จ้ง โดยการปกป้องลู่ตั้งเฟิงกับน้องสาวน้องชาย รวมถึงไม่ให้หมู่บ้านถูกทำลายให้ได้เพียงเท่านั้น
ส่วนที่เหลือ ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
“ตกลงขอรับ…” ในเวลาหนึ่งปีมานี้ลู่เฉวียนรู้ว่าลู่จ้งเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้พี่ใหญ่ที่ปกติอ่อนโยนน่าคบหา กลายเป็นคนเด็ดขาดและเอาจริงเอาจังมาขึ้นเรื่อยๆ ทุกคำพูดทุกการกระทำมีความรู้สึกถึงพลังที่ค่อนข้างยากจะบรรยายแฝงอยู่
เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอีก
“ข้าจะบอกกับท่านพ่อตามนี้”
“ไปเถอะ”
ลู่เซิ่งมองตามจนทั้งสองจากไป ในใจกำหนดแผนการของหมู่บ้านในตอนนี้อย่างคร่าวๆ การฝึกฝนของทหารประจำตระกูลเป็นแค่การรับประกันอย่างหนึ่งของเขาเท่านั้น
ผู้ที่มีบทบาทหลักยังคงเป็นตัวเขาเอง
ร่างกายนี้ของเขาในปัจจุบันมีเลือดลมแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน แทบจะก้าวข้ามขอบเขตขีดจำกัดของคนธรรมดาไปแล้ว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณของอริยะเจ้า ในเวลาหนึ่งปีมานี้ เขาก็ไม่ได้เอาแต่ฝึกฝนกายเนื้ออย่างเดียว ในด้านพลังเหนือธรรมชาติ ย่อมศึกษาค้นคว้าอยู่ตลอดเช่นกัน
เนื่องจากว่าพลังงานแต่ละชนิดที่เปลี่ยนแปลงมาจากแก่นหยางไม่อาจเข้ากันได้กับกฎของโลกใบนี้ เขาจึงถือโอกาสทดลองวิธีการฝึกฝนสั่งสมสารกายและปราณภายในที่แตกต่างกันหลายสิบชนิดตั้งแต่ศูนย์ โดยอ้างอิงจากกายเนื้อของโลกใบนี้
และการทำแบบนี้ก็เกิดผลลัพธ์จริงๆ
พอสารกายและปราณภายในเข้าสู่ระดับเบื้องต้น ก็ไปกระตุ้นดีปบลูเครื่องมือปรับเปลี่ยนที่เขาพกติดตัวเข้า
‘ดูเหมือนต้องเริ่มเตรียมตัวอีกแล้ว…ระยะเคลื่อนไหวของผนึกหนึ่งปีต่อหนึ่งครั้งกำลังจะเริ่มแล้ว ถ้าหากเจอช่วงที่ยุ่งยากเข้า จะต้องทำพิธีอย่างต่อเนื่อง…’ ลู่เซิ่งฉุกใจ สายตาเลื่อนไปด้านหน้าทันที
‘ดีปบลู’
เขาพูดในใจ
กรอบสีฟ้าโผล่ขึ้นด้านหน้าเขา
ด้านความสามารถของลู่เซิ่งบนกรอบมีแต่กรอบของวิชาไร้ขอบเขตที่ชัดเจนเหลืออยู่ นอกจากนี้แล้ว ก็เป็นกรอบมรรคายุทธ์ของลู่จ้ง
กรอบของลู่จ้งมีสองอย่าง ได้แก่ วิชากระบี่ยอดพฤกษาและวิชาสารกายนิรนาม
วิชากระบี่ยอดพฤกษาเป็นวิชากระบี่อันพิถีพิถันที่ถ่ายทอดในหมู่บ้านควันม่วงของตระกูลลู่มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าเป็นความพิถีพิถันในสายตาของคนบนโลกนี้ ทว่าสำหรับลู่เซิ่งแล้วมันเป็นเพียงวิชากระบี่ธรรมดาๆ ที่ไม่เลวเท่านั้น
ส่วนวิชาสารกายนิรนามก็คือผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลู่เซิ่งในเวลาหนึ่งปีมานี้
เขาคลำทางอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดหลังผ่านไปครึ่งปีกว่าๆ ก็เรียนรู้วิชาพื้นฐานในการเก็บรวบรวมสารกายได้
อีกทั้งยังพยายามฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับเบื้องต้นได้แล้ว
ทว่าเขาไม่ได้ใช้พลังอาวรณ์ที่สั่งสมมานาน แม้ว่าพลังอาวรณ์ในปัจจุบันจะเหลือหนึ่งหมื่นกว่าหน่วยก็ตาม นี่เป็นส่วนที่ไม่ทันได้ใส่ลงไปในหลุมไร้ก้นอย่างการเรียนรู้อัคคีอนธการหลังจากกินอาวุธเทพไปแล้ว
เพียงอาศัยการฝึกฝนของตัวเองล้วนๆ เขาฝึกฝนวิชาสารกายนิรนามนี้ถึงขอบเขตอันแข็งแกร่งที่สารกายเข้มข้นจนกระจายไปทั่วร่าง แถมในหัวใจของเขาถึงขั้นมีสารกายสีเงินสายหนึ่งรวมตัวกันขึ้นมาแล้วด้วย
นี่เป็นแก่นสารกายที่เกิดขึ้นหลังจากสารกายที่เข้มข้นในระดับสูงหดตัวลง
หลังจากรวมแก่นสารกายออกมาได้ ลู่เซิ่งค่อยค้นพบว่า กฎของโลกใบนี้ไม่อนุญาตให้มีพลังงานบริสุทธิ์อื่นๆ นอกจากสารกายปรากฏขึ้นมา ต่อให้เป็นการปรากฏของแก่นสารกายก็ตาม ก็ยังยากลำบากถึงขีดสุด มิหนำซ้ำหากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียว ก็มีโอกาสที่จะเกิดปรากฏการณ์กายเนื้อระเบิดด้วย
หากพูดให้เห็นภาพชัดๆ ก็คือ พลังงานบริสุทธิ์กับสสารบนโลกใบนี้อยู่ร่วมกันได้ยากถึงขีดสุด ถ้าไม่ใช่สสารที่บริสุทธิ์ ก็ต้องเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ได้แต่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่เขากระตุ้นแก่นสารกายออกมาได้ ก็ถือว่ายากเย็นสุดขีดแล้ว
‘นี่คือขีดจำกัดที่เรากระตุ้นออกมาได้เองหรือ ถ้าไม่ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยน ตัวเราเองก็ได้แต่ทำถึงขั้นนี้เท่านั้น…หากคิดจะแก้ไขผลลัพธ์นี้ อาศัยแค่จุดนี้ยังทำไม่ได้…เป็นอย่างที่คิดไว้ คิดจะหยุดพึ่งพาดีปบลูโดยสมบูรณ์ ตัวเราในตอนนี้ยังไม่มีหวัง…’ ลู่เซิ่งทอดถอนใจ แต่ใบหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
หลังจากส่งน้องชายกับน้องสาวเสร็จ เขาก็กลับมายังรอบนอกลานฝึก แล้วหาเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลง เปลือกนอกตรวจตราการฝึกฝนของเหล่าทหาร ความจริงกำลังศึกษาดีปบลูอยู่
‘ดูเหมือนวิธีการเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วเพียงหนึ่งเดียวจะเป็นการยกระดับวิชาสารกายนิรนามแล้ว วิชากระบี่ยอดพฤกษาเป็นแค่วิชากระบี่โจมตีเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับวิชากำลังภายใน ต่อให้ไปถึงจุดสูงสุดก็เหมือนเดิม เพราะมันมีขีดจำกัดจากความตั้งใจในการบัญญัติวิชาของร่างหลักอยู่ อย่างมากสุดคงได้แต่เรียนรู้จนกลายเป็นกระบวนท่าไม้ตายคล้ายเก้ากระบี่โดดเดี่ยวเท่านั้น ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ สิ่งที่เกี่ยวพันถึงแก่นสารอย่างแท้จริง ยังต้องดูที่แก่นสารกาย…’
ลู่เซิ่งค่อยๆ เลื่อนสายตาไปบนวิชาสารกายนิรนาม
เพื่อป้องกันไม่ให้ความตั้งในใจการสร้างถูกจำกัดไว้ เขาจึงแค่มอบส่วนการฝึกฝนสารกายและกักเก็บสารกายไว้ให้วิชาสารกายวิชานี้เท่านั้น
การเรียนรู้และพัฒนาในอนาคตจะได้มีความเป็นไปได้สูงสุดขีด
‘เริ่มกันเลย…ขอดูหน่อยเถอะว่าเราจะจัดการสิ่งชั่วร้ายกับวิญญาณคุ้มครองที่ว่านี้ได้ในครั้งเดียวได้ไหม…’
เขาใช้ความคิดกดลงบนปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างเครื่องมือปรับเปลี่ยนเลียนแบบการใช้นิ้วมือ กรอบของดีปบลูพลันพร่ามัว ก่อนจะชัดขึ้นในพริบตาเดียว
ลู่เซิ่งจ้องมองกรอบวิชาสารกายนิรนามโดยตรง พร้อมกับกดปุ่มเรียนรู้ด้านหลังกรอบ
พรึ่บ!
แทบจะเป็นในพริบตาเดียว กรอบชัดขึ้นอีกครั้งหลังจากพร่ามัว เดิมทีแสดงผลว่า [วิชาสารกายนิรนาม: ขอบเขตสำเร็จ]
ทว่าหลังจากปรับเปลี่ยนแล้ว พลังอาวรณ์ก็ลดลงหนึ่งหน่วยในพริบตา วิชาสารกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน สารกายที่เดิมกระจายไปทั่วร่างมีความเข้มข้นและความหนาแน่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พลังอาวรณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง แรงกดดันที่มีต่อกายเนื้อก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ผ่านไปราวสิบกว่าลมหายใจ ลู่เซิ่งก็ถอนใจยาว สารกายทั้งหมดในร่างกายกลายเป็นแก่นสารกายสีเงินอ่อนโดยสมบูรณ์!
เขามองดูกรอบบนดีปบลูอีกครั้ง
[วิชาสารกายปริศนา: ขอบเขตขีดจำกัด]
‘ยกระดับจากขอบเขตสำเร็จสู่ขอบเขตขีดจำกัด…ใช้พลังอาวรณ์ไปแค่หน่วยเดียวเองนะเนี่ย…เอาอีก!’ ลู่เซิ่งคิดจะเติมพลังอาวรณ์เพื่อเรียนรู้ต่อ แต่เพิ่งจะใช้ความคิด ก็รู้สึกว่ากายเนื้อเจ็บปวด ถึงกับทนทานไม่ไหว…จำเป็นต้องปรับตัวสักระยะถึงจะดีขึ้น
‘โลกใบนี้มีการจำกัดพลังเหนือธรรมชาติมากเกินไปแล้ว…’ เขาทอดถอนใจ
‘ต้องค่อยๆ เป็นขั้นเป็นตอน…ภายหลังเดินบนเส้นทางวิชาแข็งกร้าวและวิชาภายนอกล้วนๆ เลยก็แล้วกัน!’ เขายกแขนขึ้นกวาดตามองเค้าโครงกล้ามเนื้อที่ขยายขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาหนึ่งปีมานี้
ในเมื่อรูปแบบพลังงานบริสุทธิ์ถูกสะกด เช่นนั้นก็ถือโอกาสเดินบนเส้นทางกายเนื้อเสียเลย
ทบทวนมรรคายุทธ์วิชาภายนอกสำหรับฝึกฝนกายเนื้อในความทรงจำอย่างละเอียด ลู่เซิ่งเล็งทักษะส่วนหนึ่งในวิถีแปดมารสูงสุดอย่างรวดเร็ว การมีแก่นสารกายคอยช่วยเหลือซ่อมแซมกายเนื้อและการมีจิตวิญญาณของอริยะเจ้าขัดเกลาประสิทธิผลอย่างแม่นยำในสถานการณ์ที่ไม่ใช้แก่นมารปราณมาร คงจะไปถึงขั้นที่น่าดูชมถึงขีดสุดได้แน่
พักผ่อนครู่หนึ่ง รอให้ร่างกายเคยชินกับแก่นสารกายที่เพิ่มพรวดขึ้น ลู่เซิ่งทางหนึ่งตรวจตราการฝึกฝนของทหาร ทางหนึ่งหยิบดาบเหล็กเล่มหนึ่งมาทดลองการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏขึ้นหลังจากตนเพิ่งเพิ่มแก่นสารกายไป
ไม่นานเขาก็เข้าใจการทำงานของแก่นสารกายสีเงิน
การฟื้นฟูร่างกายด้วยความเร็วสูง ความอดทนและสมาธิที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ภูมิคุ้มกันที่น่าตกตะลึง กล่าวง่ายๆ ก็คือเซลล์ทำงานให้ได้แข็งแกร่งถึงขีดสุด
นอกจากนี้แล้ว แก่นสารกายสีเงินไม่อาจปล่อยออกมาในตอนต่อสู้ได้ ได้แต่คอยหนุนนำช่วยเหลือกายเนื้อ คล้ายว่านี่จึงเป็นหัวข้อหลักในกฎของโลกใบนี้
หลังจากเข้าใจประสิทธิผลของแก่นสารกาย การฝึกฝนของทหารประจำตระกูลก็จบลง ลู่เซิ่งก็ลุกขึ้นสั่งสอนสองสามประโยค แล้วทุกคนก็กลับไปพักผ่อน
ส่วนตัวเขาไปยังโถงเหลียนเฉ่าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์การจัดพิธี
เพิ่งจะออกจากลานฝึก ยังเดินไปไม่ถึงครึ่งทาง ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงดังสนั่นที่ดังมาจากทางโถงเหลียนเฉ่า คล้ายมีอะไรระเบิด เสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนที่แทรกด้วยความหวาดกลัวดังมาเลือนราง
เขาเร่งรุดไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
วิ่งไปตามทางระเบียง ระหว่างทางยังเจอข้ารับใช้และหญิงรับใช้ที่วิ่งไปทั่วด้วยสีหน้าร้อนรนบางส่วน ไม่นานก็ไปถึงหน้าประตูโถงเหลียนเฉ่า แล้วเขาก็เห็นภาพที่น่าขยะแขยงถึงขีดสุด
ผู้อาวุโสรองของหมู่บ้านพุ่งโซเซออกมาจากในโถงเหลียนเฉ่า ท้องของเขาพองเหมือนสตรีที่ตั้งครรภ์ ใหญ่เท่าลูกหนัง ปากพ่นของเหลวสีเหลืองอมดำที่เหม็นโฉ่และเหนียวเหนอะหนะออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาวิ่งไปพลางส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดไปพลาง
พื้นและเครื่องเรือนในพิธีกรรมรอบๆ ถูกระเบิดจนเละเทะ ของเหลวสาดกระจายเต็มไปหมด
ลู่ตั้งเฟิงกับผู้อาวุโสของตระกูลหลายคนพยายามวาดท่ามือพร้อมกับท่องคาถา
ไม่นานผู้อาวุโสรองก็พุ่งออกไปด้านหน้าสองสามก้าวแล้วล้มลงกับพื้น ทั่วร่างหลอมละลาย กลายเป็นของเหลวเหนียวเหนอะสีเหลืองอมดำ พร้อมกับซึมหายเข้าไปในพื้น
“ปลอบขวัญทุกคนทันที อวิ๋นเฉิง! ปิดประตูหน้าหลังของโถงเหลียนเฉ่า ห้ามให้ใครเข้าออก อวิ๋นเปียว! แจ้งทั่วทั้งหมู่บ้านตามแผนการก่อนหน้า หากกล่าววาจาไร้สาระ ฆ่าไม่มีละเว้น!” ลู่ตั้งเฟิงสั่งการณ์ทีละอย่าง
หลังจากจัดการผู้อาวุโสรองเสร็จ ทุกคนก็ไม่มีกะจิตกะใจดำเนินพิธีต่อ จบพิธีอย่างเร่งรีบ จากนั้นต่างคนก็ผละไปพักผ่อน
ลู่เซิ่งไปถึงค่อนข้างช้าแล้ว สิ่งที่เห็นจึงเป็นบทสรุป เขาไม่ได้ไปรบกวนลู่ตั้งเฟิงที่ดูเหนื่อยล้าอิดโรย หากแต่ถามสถานการณ์จากลู่เจินหลิงแทน
จากปากคำของลู่เจินหลิง เขาค่อยทราบว่า ผู้อาวุโสรองเจอวิญญาณร้ายที่รั่วไหลตอนจัดพิธี และวิญญาณคุ้มครองที่เขาเลือกก็ไม่สามารถเอาชนะวิญญาณร้ายได้โดยสมบูรณ์ สุดท้ายวิญญาณร้ายที่เหลืออยู่ก็ถูกเขารับไว้ แล้วตายคาที่
……………………………………….