ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 44 เงาอรชร (2)
‘เช่นนั้นก็เป็นสำนักฝึกยุทธ์ที่เปิดรับศิษย์ของจริงแล้ว ตัวเลือกที่สองก็คือยอดฝีมือดังๆ ที่มาจากจงหยวน ฝ่ามือสะบั้นวิญญาณหลี่หร่าน ลู่เซิ่งสืบข่าวคนผู้นี้อย่างละเอียด ถูกคู่แค้นทำลายเส้นลมปราณในจงหยวน โดนกดดันไร้หนทาง จึงนำภรรยามาเมืองเลียบคีรี นับว่าซ่อนแซ่ฝังชื่อหนีจากมาแล้ว
‘ถึงจะถูกทำร้ายบาดเจ็บมา ยังสร้างชื่อในเมืองเลียบคีรีได้ ความสามารถต้องไม่ธรรมดาแน่ หนำซ้ำวิชาฝ่ามือก็คล้ายกับเรา ลองไปดูได้’
‘นอกจากนี้ ในด้านวิชาแข็งกร้าวก็มีคนสองคน เฒ่าไม่ล้มเฉินเจีย กับเสาสำริดหยางฝูรุ่ย’ ลู่เซิ่งไปดูสำนักฝึกยุทธ์ที่สองคนนี้เปิดด้วยตัวเอง เฒ่าไม่ล้มอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว สิ่งที่สอนเป็นเพียงความสามารถทั่วไป ส่วนเสาสำริดหยางฝูรุ่ยใจกว้างกว่ามาก ขอแค่จ่ายค่าเล่าเรียน ก็สามารถเรียนวิชาชุบเหล็กที่แข็งกร้าวอันเป็นพื้นฐานได้ ภายหลังดูการแสดงออก มีโอกาสถูกคัดเลือกเป็นนักเรียนข้างกายที่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรง รับการถ่ายทอดวิชาเสาศิลา
‘เข้าสำนักฝึกยุทธ์เพื่อร่ำเรียนสำหรับเราช้าเกินไปแล้ว เราแค่ต้องการคัมภีร์ลับเท่านั้น ขอแค่เรียนรู้ได้ถึงระดับเบื้องต้นกับได้คัมภีร์ลับ…’ เขาครุ่นคิด ตัดสินใจหางานที่จัดประมูลในเมืองดูก่อน บางทีอาจเจอความสามารถอันร้ายกาจอย่างวิชาทมิฬพิฆาต
คิดถึงงานประมูล ลู่เซิ่งพลันลูบถุงเอว นิ้วแตะโดนตั๋วเงินกับทองใบบางๆ ไม่กี่แผ่นด้านใน ถอนใจยาวคำหนึ่ง
‘ต้องคิดวิธีหาเงินแล้ว’
ถ้าไม่ใช่เรื่องหวังจื่อเฉวียน ถ้าไม่ใช่เจอเรือสำราญหอแดง เขาคงไม่รีบเร่งยกระดับพลังขนาดนี้’
เก็บข้าวของและเสื้อผ้า ลู่เซิ่งวิ่งกลับเส้นทางหลักของเมืองเลียบคีรี เข้าเมืองตามถนนใหญ่ ตัดสินใจไปทำความรู้จักฝ่ามือสะบั้นวิญญาณหลี่หร่าน คนดังแห่งจงหยวนผู้นั้นเสียก่อน
เขาเรียกรถม้า ลู่เซิ่งให้รถม้าพาวนในเมืองชั่วหนึ่งถ้วยน้ำชา ก็ถึงถนนเปลี่ยวแห่งหนึ่ง
สุดปลายถนนตั้งด้วยคฤหาสน์โบราณ แขวนป้ายไม้ท้อแห่งหนึ่ง นี่เป็นสำนักไม้เขียวที่เลื่องชื่อ และเป็นสำนักฝึกยุทธ์ของฝ่ามือสะบั้นวิญญาณหลี่หร่าน
พอดีประตูใหญ่เปิดอยู่ เป็นเวลาที่ปล่อยให้ผู้คนมาเยี่ยมชมสำนักในทุกวัน
ฝูงชนร้องตะโกน ลู่เซิ่งเบียดอยู่ตรงกลางตามเข้าไปในคฤหาสน์ เห็นด้านในจัดวางเวทีประลองสี่เหลี่ยมมีเสาสีแดงขนาดใหญ่แท่นหนึ่ง
บนเวทีมีบุรุษวัยกลางคนเคราขาวคนหนึ่งกำลังแสดงฝ่ามือห่วงสัมพันธ์ชุดหนึ่ง เกิดเสียงลมดังฟุ่บฟั่บ แว่วเสียงแหวกลมเลือนรางมาตลอดเวลา
“ยอดเยี่ยม!”
พอแสดงถึงส่วนน่าตื่นตาตื่นใจ ศีรษะคนเบียดเสียดเบื้องล่างพลันเคลื่อนไหว พากันส่งเสียงชื่นชม
ลู่เซิ่งเพ่งตามองไปบนแท่น
‘นี่คือระดับของผู้มีชื่อเสียงแห่งจงหยวนหรือ’
เขาไม่เชื่อตาตัวเองอยู่บ้าง วิชาฝ่ามือของบุรุษผู้นี้ยังไม่เลว ความเร็วความแม่นยำพอใช้ได้ จุดเชื่อมต่อกลับมีการชะงักมากมาย หนำซ้ำแสดงให้เห็นว่าพลังไม่พอ อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง เสียงแหวกลมนั้นก็เป็นลูกไม้ที่อาศัยทักษะเสริมขึ้น
สิ่งที่ทำให้เขาอึ้งก็คือ ลู่เซิ่งได้ยินด้านข้างมีคนพูดว่า
“เมื่อวานปรมาจารย์หลี่ตั้งเวทีประลอง ขอให้สหายร่วมเส้นทางบนยุทธภพทุกคนในเมืองเลียบคีรีขึ้นเวทีตัดสินแพ้ชนะ แม้แต่ผู้บัญชาการที่สองแห่งทัพเฟยเหลียนก็สนใจ มาประลองกับปรมาจารย์หลี่หลายกระบวนท่า พวกท่านทราบหรือไม่ว่า!
ไม่ถึงสามสิบกระบวนท่า ผู้บัญชาการที่สองคนนั้นก็ถูกหนึ่งฝ่ามือกระแทกใส่อก ถอยหลังติดกันไปหลายก้าว ประสานมือยอมแพ้ไป!”
“ร้ายกาจ! สมกับเป็นคนดังในจงหยวน! ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
“นี่นับเป็นอันใด ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์หลี่ยังเอาชนะเจ้าสำนึกเสาสำริด เจ้าสำนักวานรคลั่ง เจ้าสำนักวารีเมฆา เจ้าสำนักเฉียนคุนเก้าทบ…” อีกคนอดโอ้อวดไม่ได้ “ข้าชมการต่อสู้ทุกรอบ ไม่มีใครต้านทานปรมาจารย์หลี่ได้เกินห้าสิบกระบวนท่า!”
ทันใดนั้นรอบๆ เป็นเสียงถอนใจชมเชย
ลู่เซิ่งฟังออกว่ามิใช่การยกยอแบบขอไปที หากเป็นการทอดถอนใจชมเชยอย่างเลื่อมใสที่แท้จริง
เขาพิจารณาหลี่หร่านที่กำลังฝึกซ้อมบนเวทีอีกครั้ง รอบนี้มีคนขึ้นเวทีท้าประลองแล้ว อาจไม่สมควรเรียกการท้าประลอง แต่ควรเรียกว่าความพยายาม
เด็กน้อยบนเวทีผู้นั้นร่างกายกำยำ แต่ว่าเคารพหลี่หร่านยิ่ง พูดขึ้นว่าขอให้ปรมาจารย์หลี่ชี้แนะ
ทั้งสองคนประลองกันเกิดเสียงลมดังฟุ่บฟั่บ
ชมอยู่สักพัก ลู่เซิ่งก็เข้าใจว่าไฉนหลี่หร่านผู้นี้จึงได้รับความเคารพขนาดนี้
‘ที่แท้พลังกับความเร็วของหลี่หร่าน สำหรับคนทั่วไปก็ถือว่าสุดยอดแล้ว…’ พอเห็นท่าทางของเด็กน้อยที่มาทีหลังผู้นั้น ลู่เซิ่งตอนนี้ค่อยเข้าใจ เป็นเพราะเขาไม่ได้เข้าร่วมประลอง และไม่ได้ต่อสู้กับยอดฝีมือคนอื่นๆ เก็บงำความสามารถฝึกฝนเงียบๆ มาโดยตลอด จนแม้แต่พลังของตัวเองบรรลุถึงระดับอันใด ก็ได้แต่พึ่งพาการคาดเดา
‘ตอนนี้ดูเหมือน…หลี่หร่านผู้นี้ เราสามารถจัดการได้ภายในสามกระบวนท่า’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย หมุนตัวเบียดฝูงชนออกไป ไม่ดูต่ออีก
‘ฝ่ามือสะบั้นวิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าอานุภาพความสำเร็จของฝ่ามือทำลายใจ หากไม่ใช้ปราณภายในขับเคลื่อน บางทีเขาอาจต่อสู้กับเราได้ แต่ถ้าเกิดว่าใช้ปราณภายใน…’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ บางทีสามกระบวนท่านับว่าประเมินอีกฝ่ายไว้สูงเกินแล้ว
เขาสามารถจัดการคนผู้นี้ได้ภายในกระบวนท่าเดียว
การใช้ปราณภายในกับไม่ใช้ปราณภายใน ความแตกต่างนี้มีอานุภาพห่างกันหลายเท่าตัว
‘สิ่งที่เราต้องการหาไม่ใช่ยอดฝีมือแบบนี้’ ลู่เซิ่งออกจากสำนักไม้เขียว เดิมเขายังคิดจะไปสำนักเสาสำริด แต่ท้องฟ้ามืดแล้ว จึงกลับบ้านไปพักผ่อนก่อน
วันที่สอง ลู่เซิ่งไปสำนักเสาสำริด รวมถึงอีกสองสามสำนักด้วย
เขาเห็นการฝึกซ้อมวิชาแข็งกร้าวแล้ว สำนักเสาสำริดในข่าวลือ สามารถอาศัยคอทำให้ปลายหอกโค้งขึ้นได้ ดูเหมือนไม่เลวจริงๆ แต่ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งก็เคยเห็นวิชาแข็งกร้าวเช่นนี้ เป็นเพียงวิชาเกร็งปราณเท่านั้น ฝึกง่ายดายยิ่ง จำเป็นต้องทนลำบากและอดกลั้น
หนำซ้ำการฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวเช่นสำนักเสาสำริด จำเป็นต้องใช้การอาบน้ำยาจำนวนมหาศาล ไม่อย่างนั้นจะเหลือผลคงค้างและอาการบาดเจ็บซ่อนเร้นมากมาย สำนักวิชาแข็งกร้าวหลายแห่งใจกว้างกับวิชายุทธ์ยิ่ง เผยแพร่โดยตรง แต่ตำรับยาที่เอาไว้อาบกลับไม่พูดถึงเลยสักคำเดียว
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ มีแต่เข้าร่วมสำนักจึงค่อยได้อาบน้ำยา
เขาผิดหวัง ที่ไม่มีตำรับยาสำหรับอาบ ต่อให้ฝึกไปก็รังแต่จะบาดเจ็บ ถึงแม้วิธีการฝึกของเครื่องมือปรับเปลี่ยนไม่แน่ว่าจะเหมือนกับวิธีฝึกของคนทั่วไป แต่เขาไม่อยากเสียเวลาทดลอง การเลื่อนเป็นระดับสามของวิชาทมิฬพิฆาต ทำให้เขาต้องรักษาอาการบาดเจ็บภายในครึ่งปี ถ้าเจออีกครั้ง เช่นนั้นเขาไม่ใช่ลงมือไม่ได้อีกหลายปีหรอกหรือ
ออกจากสำนักเหล่านั้น เวลาหนึ่งวันก็หายไปแล้วมากกว่าครึ่ง
ลู่เซิ่งไม่ได้ผลลัพธ์อันใด ภายใต้ความจนปัญญา จึงถือโอกาสไปยังถนนตลาดผีที่โด่งดังในเมือง
ตลาดผีของเมืองเลียบคีรีเป็นสถานที่ที่เอาไว้ขายของใส่หลุมศพ ของมือสองอ ของโจร หรือว่าของกลางและของยุ่งยากส่วนหนึ่ง
ลู่เซิ่งตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดบนตัว ยังมีตั๋วเงินกับทองทั้งหมดมูลค่าสองพันตำลึง และส่วนแบ่งกำไรจากร้านค้าที่ขายสี่สมบัติห้องหนังสือในนามเขาร้านนั้น เดือนหนึ่งได้เพียงไม่กี่สิบตำลึง สำหรับเขาเหมือนกับน้ำที่ค่อย ๆ หยดลงถัง
‘คงได้มาเดินเล่นเป็นครั้งสุดท้าย ดูว่าจะหาของดีๆ อันใดเจอหรือไม่’ สาเหตุที่เขามาที่นี่ ก็คือมักได้ยินเจิ้งเสี่ยนกุ้ยบอกว่า ของดีๆ จำนวนไม่น้อยที่พวกเขาประมูลได้ ต่างก็มาจากตลาดผี
หลังจากนั้น เขาจึงมักจะมาเดินเล่นในตลาดผีของเมืองเลียบคีรีบ่อยๆ คิดแสวงโชค
ตลาดผีมีคนไม่มาก มีแผงลอยสิบกว่าแผง เบียดกันในตรอกแคบเล็กเส้นหนึ่ง
ลู่เซิ่งเดินไปตามตรอก นั่งยองๆ ลง ยื่นมือไปหยิบจับและลูบของบนแผงลอยอยู่บ่อยๆ
หลังจากเดินเล่นสักพัก เขายังคงไม่ได้ผลลัพธ์อันใด จึงคิดจะหมุนตัวกลับไปฝึกฝนปราณภายใน ทันใดนั้นอีกด้านหนึ่งของตรอกก็แว่วเสียงบุุรษที่ลังเลเล็กน้อยดังมา
“ท่านคือ… ลู่เซิ่ง… ลู่เยวี่ยเซิงใช่หรือไม่”
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมอง คนตรงข้ามผู้นั้นเป็นคุณชายอายุเยาว์ สวมชุดเหลือง เอวพกหยกเหลือง ร่างกายสูงชะลูด ถึงแม้ไม่รู้จักอีกฝ่าย มองปราดเดียวกลับคาดเดาสถานะของคนผู้นี้ได้
“ท่านอ… พี่ชายของเฉินอวิ๋นซีใช่หรือไม่ เฉินเจียวหรงหรือ”
ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียวหรงนิ่งอึ้ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้น
“พี่ลู่เนตรปัญญาดุจคบเพลิงจริงๆ”
“ไม่ใช่ข้าเนตรปัญญาดุจคบเพลิง แต่เป็นท่านกับน้องสาวของท่านหน้าตาเหมือนกันเกินไปแล้ว…” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเอ่ย
หน้าตาของเฉินเจียวหรงเทียบกับเฉินอวิ๋นซีแล้ว เพียงออกไปทางบุรุษเล็กน้อยเท่านั้น มองไปเหมือนกันมากจริงๆ
“ในเมื่อเจอพี่ลู่ที่นี่ มิสู้ไปนั่งด้วยกันดีหรือไม่ เจิ้นกั๋วมักพูดถึงพี่ลู่เป็นประจำ” เฉินเจียวหรงยิ้มเสนอ
ลู่เซิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ค่อยพยักหน้าตอบรับ
ทั้งสองคนออกจากตลาดผี หาเหลาสุราแห่งหนึ่งใกล้ๆ นั่งลงดื่มสุรากัน
ในโถงใหญ่คนขวักไขว่ เสียงเสี่ยวเอ้อร์ยกสุรา เสียงแขกเหรื่อพูดคุยหัวเราะดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย แต่ทั้งสองคนไม่ได้รับผลกระทบ เพียงนิ่งเงียบ
“ข้าได้ยินอวิ๋นซีเล่าแล้ว พี่ลู่จริยธรรมสูงส่งบริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้ข้าดูถูกพี่ลู่ไปแล้ว” หลังจากเงียบเสียง เฉินเจียวหรงก็เอ่ยปากก่อน
เขาเว้นครู่หนึ่งก็กล่าวต่อ “เรื่องของหวังจื่อเฉวียน ที่ว่าการเข้าร่วมแล้ว ไม่ใช่เป็นคดีที่พี่เจิ้นกั๋วไปแจ้งหากแต่เป็นลูกผู้น้องกับครอบครัวของเขา”
ลู่เซิ่งประคองจอกสุรา จิบเล็กน้อย ปล่อยให้สุราบริสุทธิ์เผ็ดร้อนเล็กน้อยไหลช้าๆ ลงในช่องปาก
“เรื่องอวิ๋นซี ยังไม่ต้องพูดถึง ที่ว่าการว่าอย่างไรบ้าง”
เฉินเจียวหรงส่ายหน้า “เจิ้นกั๋ววานข้าไปสอบถามให้ พวกเขาสรุปว่าพลัดตกน้ำหายสาบสูญ เป็นบทสรุปที่มือปราบที่ไปตรวจสอบทุกที่ เห็นเป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน ว่ากันว่ายังมีคนเห็นเขาตกแม่น้ำไม้สนกับตา พยานคนพยานวัตถุมีพร้อม”
ลู่เซิ่งไม่ส่งเสียง เงยหน้าดื่มสุราจนหมด
“เช่นนั้นเรื่องนี้ ก็สรุปเช่นนี้แล้วใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว จะทำอย่างไรได้” เฉินเจียวหรงกล่าวอย่างจนปัญญา “ความจริงคนที่หายตัวไปบนแม่น้ำไม้สนในแต่ละปีมีไม่น้อย คนอย่างหวังจื่อเฉวียนมีมากนัก ที่ว่าการต่างก็จัดการเหมือนๆ กัน หนำซ้ำยังไม่อนุญาตให้ป่าวประกาศออกไป ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดสินให้เข้าคุก”
ยามนี้ลู่เซิ่งก็กระจ่างเช่นกันว่าชื่อเสียงการรักษาความปลอดภัยของเมืองเลียบคีรีได้มาอย่างไร
“น้องสาวของข้าบอกว่าสาเหตุที่ท่านไม่ยอมรับนาง เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกันดีพอ” เฉินเจียวหรงเปลี่ยนหัวข้อ
“เช่นนั้นเรื่องของหวังจื่อเฉวียนก็จบลงเช่นนี้แล้วหรือ” ลู่เซิ่งถามต่อ
“ใช่แล้ว จบลงเช่นนี้” เฉินเจียวหรงตอบ “แม่น้ำไม้สนกว้างใหญ่ หรือท่านยังต้องการให้คนดำน้ำตามหาศพที่อาจถูกปลากินหมดไปแล้วหรือ”
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ นั่งตัวตรง ไม่พอใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการของเมืองเก้าประสาน หรือว่าที่ว่าการของเมืองเลียบคีรี ต่างก็จงใจไม่สนใจเหมือนกัน นี่ทำให้เขาหงุดหงิด
“เช่นนั้นที่ว่าการนี้มีประโยชน์อันใด” เขาโพล่งออกหนึ่งประโยค
เฉินเจียวหรงพลันงงงวย ยื่นมือไปบีบหยกเหลืองตรงเอวโดยสัญชาตญาณ
“ใช่แล้ว… ที่ว่าการนี้มีประโยชน์ใดกันแน่”
ทั้งสองคนต่างก็หงุดหงิดกันอยู่ชั่วขณะ ต่างก็พากันคิดถึงเรื่องอื่น
เงียบงันกันอยู่สักพัก
สายตาของลู่เซิ่งอยู่บนหยกเหลืองในมือเฉินเจียวหรงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เอะใจเล็กน้อย
“พี่เฉิน เอาหยกของท่านให้ข้าดูได้หรือไม่”
เฉินเจียวหรงพยักหน้า ส่งหยกเหลืองให้ลู่เซิ่ง “นี่เป็นของขวัญที่สหายคนหนึ่งมอบให้ข้าเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นหยกศิลาปรโลกคุณภาพดี”
ลู่เซิ่งรับมา เพิ่งแตะถูก ก็รู้สึกได้ว่าความเย็นสายหนึ่งในหยกศิลาไหลตามฝ่ามือเขาเข้ามาในร่าง
ลมปราณเย็นยะเยือกสายนั้นถึงกับให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่เขาดูดผงภูตนั้นก่อนหน้านี้
‘ปราณหยินเข้มข้นนัก!’ ลู่เซิ่งตกใจ เขาตั้งชื่อลมปราณนี้ว่าปราณหยิน และความเข้มข้นของปราณหยินในหยกศิลาก้อนนี้ ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าผงภูตที่เขาดูดไปก่อนหน้า จนเขาไม่ต้องใช้เลือดก็ดูดโดยอาศัยผิวสัมผัสได้เยอะยิ่ง
………………………………………….