ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 442 มารสวรรค์ (6)
บทที่ 442 มารสวรรค์ (6)
‘เรียบง่ายมาก เริ่มแรกคือการเพิ่มจำนวนพลังวิญญาณ ซึ่งต้องใช้การกลืนกินวิญญาณในผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันเพื่อเพิ่มระดับ พวกเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิญญาณในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจึงแตกต่างกันไปด้วย เช่นข้า เพียงใช้แค่วิญญาณจากเสื้อผ้ากับเกราะอ่อนเท่านั้น ที่เหลือไม่สามารถดูดซับได้ หลังเพิ่มจำนวนจนถึงระดับหนึ่ง จำเป็นต้องสร้างบุปผาวิญญาณในร่างกายห้าดอก บุปผาวิญญาณจะดูดซับพลังวิญญาณที่เหลือทั้งหมดแล้วผลิดอกออกผล จะให้ผลเพียงผลเดียวเท่านั้น หากทำสำเร็จก็ถือว่าเข้าสู่ขั้นที่สอง ซึ่งพวกเราเรียกว่าขั้นผลวิญญาณ’
ซันปู้เว้นเล็กน้อย คล้ายกับรอให้ลู่เซิ่งย่อยเนื้อหา
‘ต่อจากนั้นเป็นขั้นที่สาม ผลวิญญาณที่ได้มาหยั่งรากแตกหน่อ งอกต้นอ่อนเล็กๆ ออกมา ต้นอ่อนจะยื่นกิ่งจำนวนมากไปทั่วร่างจนกลายเป็นโครงสร้างร่างกายใหม่ หรือก็คือสภาพร่างสมบูรณ์ เมื่อมาถึงขั้นร่างสมบูรณ์ วิญญาณคุ้มครองทั่วไปเช่นพวกเราก็มาถึงจุดสุงสุดแล้ว มีวิญญาณคุ้มครองไม่กี่ตนเท่านั้นที่วิวัฒนาการและเพิ่มพลังฝึกปรือต่อได้ คนที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่งถึงขั้นบรรลุขั้นสี่ ขั้นห้า หรือขั้นหก พลังของแต่ละขั้นต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว ตำนานเทพนิยายบอกว่ามีราชาวิญญาณที่อยู่เหนือขั้นเก้าด้วยซ้ำ’ ในน้ำเสียงสบายๆ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าแฝงอยู่
‘เข้าใจแล้ว…เจ้าไปพักผ่อนเถอะ’ ลู่เซิ่งพยักหน้า
เนื้อหาที่เขาต้องการก็ได้มาเกือบหมดแล้ว ในเมื่อดีปบลูสร้างกรอบขึ้นมา อย่างนั้นก็หมายความว่าแม้เขาจะยังสัมผัสถึงพลังวิญญาณไม่ได้ แต่ร่างกายกลับได้ครอบครองสิ่งของนี้แล้ว
การสัมผัสไม่ได้หมายถึงควบคุมไม่ได้ แต่ขอแค่ดีปบลูสามารถเรียนรู้และยกระดับได้ก็เพียงพอแล้ว สิ่งอื่นๆ ค่อยทุ่มพลังอาวรณ์ใส่แทน
ตอนนี้ลู่เซิ่งมีอย่างอื่นไม่เยอะ แต่มีพลังอาวรณ์นี่แหละที่เยอะ!
ถ้าไม่ใช่เพราะใช้ไปกับอัคคีอนธการในวิชาไร้ขอบเขตอย่างมหาศาล พลังอาวรณ์ของเขาคงมีเยอะกว่าตอนนี้หลายเท่า
ส่งซันปู้ไปเสร็จ ลู่เซิ่งเก็บกวาดห้องอย่างรวดเร็ว รวมถึงลบร่องรอยพิธีกรรมทั้งหมดทิ้ง หลังยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหาใดๆ อีก จึงค่อยเดินออกจากห้อง ด้านนอกห้องมีข้ารับใช้รออยู่แล้ว
ข้ารับใช้ในหมู่บ้านจะมีการสับเปลี่ยนตัวทุกๆ ระยะเวลาหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาล่วงรู้ความลับที่ไม่ควรรู้เพราะอยู่นานเกินไป
เปิดประตูเรือนเสียงดังเอี๊ยด ลู่เซิ่งเห็นสุ่ยลู่หญิงรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตู
“ตอนนี้เป็นเวลาใดแล้ว”
สุ่ยลู่งุนงง มองดูท้องฟ้าแวบหนึ่ง จากนั้นก็รีบตอบว่า
“ประมาณ…ประมาณยามสามแล้วกระมังเจ้าคะ” การคำนวณเวลาของที่นี่แบ่งท้องฟ้าออกเป็นสิบสองชั่วยาม แต่คำเรียกเวลาใช้ตัวเลขเป็นหลัก
ยามสาม หมายถึงช่วงเวลาที่สามของวัน หรือก็คือหกโมงเช้า
ลู่เซิ่งพยักหน้าและทำท่าจะเดินออกไป
“คุณชายใหญ่ ท่านต้องการกินอาหารเช้าหรือไม่ บ่าวจะไปนำรายการอาหารมาให้ท่านทันที!” สุ่ยลู่รีบกล่าว
“ไม่ต้องหรอก ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” ลู่เซิ่งยิ้ม
“เจ้าค่ะ…เจ้าค่ะ…” สุ่ยลู่ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่พยักหน้าขานตอบ
ลู่เซิ่งออกจากเรือนที่ตนเองอยู่ แล้วเดินตามระเบียงไปยังเรือนด้านหลังอย่างผ่อนคลาย
โถงเหลียนเฉ่าอยู่ที่แถวท้ายสุดของเรือนด้านหลัง ตรงนั้นเป็นที่จัดพิธีกรรมในเวลาปกติของตระกูล แต่ลู่เซิ่งไม่คิดจะไปที่นั่น
เขาคิดจะไปดูว่าตราผนึกวิญญาณชั่วร้ายเป็นแบบไหน
เขาเริ่มควบคุมดีปบลูในขณะที่เดิน กดปุ่มปรับเปลี่ยนของดีปบลูเพื่อเปิดการเรียนรู้ขีดจำกัดก่อน จากนั้นก็กดปุ่มเรียนรู้ของวิชาพลังวิญญาณปริศนา
ไม่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา วิชาพลังวิญญาณปริศนาเลื่อนจากขั้นพื้นฐานสู่ขั้นเสถียรอย่างรวดเร็ว โดยใช้พลังอาวรณ์ไปสองหน่วย
นอกจากนี้ ลู่เซิ่งยังค้นพบอย่างประหลาดใจระคนยินดีขณะที่พลังวิญญาณยกระดับขึ้นว่า กายเนื้อของตนเองไม่ได้รู้สึกถึงอาการปวดบวมอีกต่อไป นี่หมายความว่ากายเนื้อของเขามีพื้นที่ให้ยกระดับความแข็งแกร่งแล้ว
เขาจึงใช้พลังวิญญาณเป็นหลัก แล้วทุ่มพลังอาวรณ์ใส่ตรงๆ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
จากเรือนที่เขาอยู่จนถึงด้านหลังสุดของตัวเรือนมีระยะทางทั้งหมดสองสามร้อยหมี่ แต่สำหรับลู่เซิ่งแล้ว ระยะห่างสองสามร้อยหมี่นี้ทำให้กระบวนการยกระดับตั้งแต่ระดับพื้นฐานถึงระดับผลวิญญาณของเขาสำเร็จได้
ต่อจากพื้นฐานคือ เสถียร สำเร็จเล็ก สำเร็จใหญ่ ขีดจำกัด จากนั้นหากเรียนรู้ต่อ พลังวิญญาณจะโคจรไหลเวียนอย่างรวดเร็วด้วยเส้นทางการเคลื่อนที่พิเศษที่ลู่เซิ่งไม่เคยนึกจินตนาการมาก่อน แล้วบุปผาวิญญาณก็บานขึ้นโดยอยู่ห่างจากผิวหนังระหว่างทรวงอกกับช่องท้องหนึ่งชุ่น
ครั้งนี้ลู่เซิ่งเห็นบุปผาวิญญาณห้าดอกแล้วจริงๆ เขาเห็นดอกไม้เล็กๆ กึ่งโปร่งใสจำนวนห้าดอกลอยอยู่กลางอากาศด้านหน้าทรวงอกและช่องท้องของตัวเองอย่างรางเลือน เหมือนกับความว่างเปล่าตรงนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
จากนั้น ลู่เซิ่งคิดจะเรียนรู้ต่ออีก แต่ก็ค้นพบอย่างงงงันว่า แม้จะมีพลังอาวรณ์เหลืออีกเยอะ แต่ปุ่มเรียนรู้ได้หายไปแล้ว
เขาได้แต่ยอมแพ้ไปก่อนด้วยความจนปัญญา คาดว่าเป็นเพราะระบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนชนิดนี้ ต่อให้ใช้ความรู้และประสบการณ์ของเขาในปัจจุบัน ก็ไม่อาจเรียนรู้วิธีการยกระดับต่อจากนี้ได้
เขาไม่อาจใช้วิญญาณคุ้มครองได้ ถึงอย่างไรวิญญาณคุ้มครองก็มีโครงสร้างต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง
ปัง
ลู่เซิ่งผลักประตูคฤหาสน์โบราณของหมู่บ้านที่ปิดแน่น
ด้านในคฤหาสน์โบราณแห่งนี้เป็นที่ที่ซุกซ่อนตราผนึกวิญญาณชั่วร้ายของหมู่บ้านควันม่วงเอาไว้
บุรุษร่างสูงใหญ่สวมเกราะเงินสองคนยืนอยู่ทางซ้ายทางขวาด้านหลังประตูที่เปิดออก ทั้งสองประคองชาร้อนในมือพลางสนทนากันอยู่
ตอนแรกทั้งสองตกใจเมื่อประตูถูกเปิดออกอย่างกะทันหันและเห็นลู่เซิ่งเข้ามา จากนั้นก็ถอนใจโล่งอก
“คุณชายใหญ่ ท่านมาทำอะไรที่นี่แต่เช้า เกิดวิญญาณชั่วร้ายบุกมา ท่านไม่ได้มีเกราะอ่อนป้องกันสิ่งชั่วร้ายคุ้มครองร่างเหมือนพวกเรานะขอรับ” องครักษ์ที่อยู่ทางซ้ายขมวดคิ้วพลางกล่าวเสียงทุ้ม “รีบกลับไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ท่านควรมา”
ลู่เซิ่งมองข้ามพวกเขา เห็นถ้ำใหญ่สีดำสนิทที่ถูกพังถล่มลงมาอยู่บนพื้น
“ท่านพ่อเล่า”
“เมื่อคืนประมุขหมู่บ้านมาจัดการวิญญาณร้ายที่รั่วไหลไปครั้งหนึ่งแล้วขอรับ ยังนับว่าราบรื่น” องครักษ์ตอบ
“ลำบากพวกเจ้าแล้ว ข้าพาวิญญาณคุ้มครองมาด้วยเหมือนกัน คิดจะลงไปดูสักหน่อย” ลู่เซิ่งยิ้ม
“คุณชายล้อเล่นแล้ว ท่านไม่ได้ใช้พิธีกรรมของหมู่บ้าน ต่อให้จะทำพิธีกรรมกับวิญญาณคุ้มครองเป็นการส่วนตัว แต่ระดับความแข็งแกร่งที่อัญเชิญมาได้ก็มีไม่พอ ท่านกลับไปดีกว่าขอรับ ที่นี่อันตรายเกินไป…” องครักษ์สองคนเตือน ยังดีที่เมื่อวานจัดการวิญญาณชั่วร้ายไปแล้วครั้งหนึ่ง การรั่วไหลไม่ได้เกิดขึ้นถี่นัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ลงมือบังคับให้ลู่เซิ่งออกไปจริงๆ
“ไม่เป็นไร อย่างไรการรั่วไหลของวิญญาณชั่วร้ายก็ไม่ได้เกิดเร็วขนาดนั้นกระมัง” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายใหญ่…” องครักษ์ที่อยู่ทางขวาคิดจะพูดอะไรอีก แต่ลู่เซิ่งพุ่งไปด้านหน้า พริบตาเดียวก็กระโดดเข้าไปในถ้ำสีดำแล้ว
องครักษ์ทั้งสองคนสบตากัน คิดไล่ตามไป แต่ก็ตั้งตัวไม่ทัน
“ช่างเถอะๆ ถึงอย่างไรก็เพิ่งจัดการวิญญาณชั่วร้ายไป ตามบันทึกในอดีตที่เร็วที่สุดคือสามวันโผล่มาครั้งหนึ่ง ไม่เคยปรากฏสองวันหนึ่งครั้งหรือวันละครั้งมาก่อน คงจะไม่เกิดเรื่องหรอก” องครักษ์คนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มหนักใจ
“ข้ารู้สึกได้ว่าข้างกายคุณชายใหญ่มีวิญญาณคุ้มครองอยู่ คงจะไม่มีปัญหา เฮ้อ…”
องครักษ์ทั้งสองจนปัญญา แต่คนก็ได้เข้าไปแล้ว และพวกเขาก็ตามไปไม่ทัน
…
ด้านในถ้ำมืดสลัวและชื้นแฉะ
ลู่เซิ่งนับตะเกียงน้ำมันที่แขวนบนผนังไปพลาง คำนวณว่าตนเองเดินมาไกลเท่าไหร่แล้วไปพลาง ตะเกียงน้ำมันบนผนังหินห่างเท่าๆ กัน เลยใช้เป็นวัตถุอ้างอิงได้พอดี
ด้านในถ้ำมืดสนิท กรวดสีดำก้อนหนากระเด้งกระดอนบนพื้น ยามเหยียบใส่ส่งเสียงแกรกกรากตลอดเวลา
ลู่เซิ่งดมกลิ่นในอากาศพร้อมกับแผ่จิตวิญญาณไปรอบทิศเพื่อสัมผัสการเปลี่ยนแปลงรอบๆ อย่างละเอียด
ความรู้สึกคุ้นเคยจางๆ บังเกิดขึ้นในใจเขาอย่างช้าๆ
‘กลิ่นนี้…กลิ่นสิ่งชั่วร้ายในประตูมายาที่เราเฝ้าบนทะเลบูรพานี่นา’ เขาหวนนึกถึงต้นกำเนิดของกลิ่นได้ในพริบตา
‘ถ้าหากเป็นสิ่งเดียวกันจริงๆ ล่ะก็ คงจะจัดการลำบากแล้ว…’ ลู่เซิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด
สิ่งชั่วร้ายในประตูมายามีพลังแข็งแกร่งจนน่ากลัว เกรงว่าอย่างน้อยก็เป็นระดับเจ้าแห่งอาวุธ ไม่อย่างนั้นด้วยความเหี้ยมหาญของเจ้าแห่งอาวุธ คงเข้าไปในประตูมายาแล้วจัดการสิ่งชั่วร้ายให้หายไปในครั้งเดียวได้โดยสมบูรณ์
คงไม่ใช่แค่ส่งคนไปเฝ้าคุ้มครอง
ลู่เซิ่งเดินพลางคิดพลาง ในใจเริ่มเกิดความกริ่งเกรงต่อตราผนึกนี้
ถ้าหากมีคนเห็นภาพในหัวใจของเขา ณ เวลานี้ จะเห็นว่าร่างหลักในหัวใจกำลังกำรูปสลักอีกาสีดำไว้แน่น เพื่อจะได้ออกแรงบีบได้ตลอดเวลา
แกร่กกราก…แกร่กกราก…แกร่กกราก…
เสียงฝีเท้าดังขึ้นต่อเนื่อง ไม่ทราบว่าเดินอยู่นานเท่าไหร่ ในที่สุดด้านหน้าก็ถึงปลายทาง ปรากฏประตูสำริดขนาดใหญ่ที่สูงถึงสิบกว่าหมี่บานหนึ่ง
กลางประตูวาดลวดลายเมฆดำ ปลาบิน และกิ่งไม้เอาไว้ ตรงขอบแกะสลักแขนโครงกระดูก มองแต่ไกลเหมือนกับแขนโอบกอดประตูเอาไว้หลายชั้น
ลู่เซิ่งเดินถึงหน้าประตูใหญ่ พลันสังเกตเห็นว่าประตูแง้มเล็กน้อย เผยให้เห็นช่องเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วมือนิ้วหนึ่ง
‘ประตูสำริดอีกแล้ว…’ เขานึกถึงประตูสำริดที่เชื่อมไปยังโลกแห่งความเจ็บปวดซึ่งเขาเคยเห็นในโบราณสถานสีทองบานนั้น
มาถึงตรงนี้ กลิ่นของสิ่งชั่วร้ายเข้มข้นขึ้น ต่อให้ลู่เซิ่งหลับตาไม่สัมผัสอย่างละเอียด ก็ยังได้กลิ่นความชั่วร้ายอันพิสดารซึ่งเหมือนมีเหมือนไม่มีในอากาศสายนั้น
‘ในเมื่อพลังวิญญาณสามารถสะกดกลิ่นชั่วร้ายนี้ได้…อย่างนั้น…’ ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปแตะประตูสำริดเบาๆ
ตูม!
เพิ่งแตะใส่วัสดุของประตู ห้วงสมองของลู่เซิ่งก็ระเบิดอย่างฉับพลัน พลังอาวรณ์นับไม่ถ้วนไหลเชี่ยวเข้ามาในร่างกายของเขา เหมือนกับเขื่อนขนาดยักษ์ที่สั่งสมมาหลายปีเจอที่ระบาย
พลังอาวรณ์ที่มีมหาศาลจนน่ากลัวพุ่งเข้ามาในร่างของลู่เซิ่ง จากนั้นก็ถูกดีปบลูห่อหุ้มกลืนกินเข้าไปตรงช่องว่างระหว่างทรวงอกและช่องท้อง
เอี๊ยด…
อย่างค่อยเป็นค่อยไป ประตูสำริดอ้าออกอีกเล็กน้อย กลายเป็นร่องแยกให้ลู่เซิ่งผ่านเข้าออกได้
ตอนนี้ในที่สุดการกระทบกระเทือนจากพลังอาวรณ์ก็หยุดลงแล้ว
ลู่เซิ่งที่เริ่มฟื้นตัวจากการกระทบกระเทือนมองดูร่องประตูที่เปิดออกตรงหน้า ลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงก้าวไปด้านหน้าทีละก้าวอย่างแน่วแน่ ก่อนจะเดินผ่านร่องประตูเข้าไป
ด้านในประตูเป็นโถงใหญ่ที่กว้างเหมือนกับวัง สิ่งที่อยู่อีกฝั่งของประตูคือบุรุษร่างกำยำที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หินสีดำน่ากลัว
บุรุษผู้นั้นหลับตาอยู่เหมือนกำลังหลับไหล สวมเกราะอ่อนแนบเนื้อสีดำสนิทที่มีลายดวงดาว ดวงอาทิตย์ และแสงจันทร์ นั่งตัวตรง บนเกราะอ่อนมีร่องรอยความเสียหายและรอยยุบเหลืออยู่นับไม่ถ้วน เห็นได้ว่าเขาเคยผ่านการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน
“ผ่านไปตั้งหลายปี ในที่สุดก็มีคนที่ใช้ร่างมนุษย์กักเก็บพลังวิญญาณได้มาอีกคนหนึ่ง…” บุรุษผู้นั้นไม่ได้ลืมตา ยังคงหลับตา และไม่ได้อ้าปาก แต่เสียงส่งจากเขามาเข้าหูของลู่เซิ่งโดยตรง
“ท่านเป็นใคร” ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตู พร้อมจะบีบรูปสลักอีกาให้แหลกตลอดเวลา
“ข้าหรือ” บุรุษอมยิ้ม เผยรอยยิ้มอ่อนโยนแปลกประหลาด “เป็นแค่ผู้ล้มเหลว ผู้ล้มเหลวที่ถูกผนึกอยู่ที่นี่มานานแสนนาน”
ภาษาที่เขาใช้แปลกประหลาดมาก เหมือนกับมีเสียงลูกคู่หลายชั้นตามมา แทรกด้วยจังหวะในภาษาที่ลู่เซิ่งรู้จัก ทว่ากลับฟังความหมายออกอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งไม่ได้ใช้การสั่งสะเทือนพลังจิตเพื่อส่งข้อมูลเพียงอย่างเดียวด้วย
“ท่านให้ข้าเข้ามา ต้องการให้ข้าทำอะไร” ลู่เซิ่งถามอย่างใจเย็น เขาไม่คิดว่าบุรุษที่ลึกล้ำไม่อาจหยั่งคาดตรงหน้านี้จะเปิดประตูให้เขาเข้ามาโดยไม่มีสาเหตุ
นี่เป็นที่ที่ตราผนึกอยู่ ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา
“เจ้าไม่กลัวหรือ” บุรุษแปลกใจ “อ้อ จริงด้วย…บนตัวเจ้ามีกลิ่นอายประหลาดบางอย่าง กลิ่นนี้…คล้ายเป็นมารสวรรค์…มีมารสวรรค์สิงร่าง แต่ยังมีสติแจ่มใสพร้อมกับฝึกฝนพลังวิญญาณได้อีกหรือนี่ น่าประหลาดจริงๆ…”
ลู่เซิ่งรอให้อีกฝ่ายบอกเป้าหมายอย่างสงบนิ่ง ยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ
“ไม่ถูกมารสวรรค์ฆ่าทิ้ง แถมกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง ตัวเจ้าดู…พิลึกพิลั่นนัก…มารสวรรค์เหมือนจะเป็นร่างหลักมากกว่า” บุรุษเอ่ยอย่างแปลกใจ
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งเตรียมจะถอยออกจากที่นี่แล้ว
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” บุรุษยิ้มบาง “วิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ผนึกข้า พวกเขาเป็นภัยพิบัติสำหรับมนุษย์ แต่ส่วนที่รั่วไหลไปไม่มีอันตรายสำหรับเจ้า”
“ท่านอยากจะทำอะไรก็บอกมาตรงๆ เถอะ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ เขาสัมผัสความตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายไม่ออก เลยไม่ทราบว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งขนาดไหน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนผู้นี้ เขามีความรู้สึกเหมือนอยู่ต่อหน้าห้วงจักรวาลอันไพศาล เป็นความรู้สึกเหมือนพบเจออสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรครั้งแรก
ลางสังหรณ์บอกเขาว่า อย่ายั่วยุคนคนนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ยากจะคาดคิด
“ง่ายดายมาก ข้าชื่นชมลักษณะท่าทางของเจ้า เจ้าเหมือนกับข้าในวันวาน ดังนั้นจึงอยากจะให้เจ้ามาคุยกับข้า” บุรุษพูดคำพูดที่ทำให้ลู่เซิ่งหมดคำพูด
“ข้าบอกว่าไม่มีเวลาได้ไหม” ลู่เซิ่งระอา
“วางใจเถอะ ข้าจะบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า” มุมปากของบุรุษแฝงรอยยิ้ม
“ความลับหรือ”
“ใช่แล้ว…ความลับยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวกับพวกเจ้ามารสวรรค์ ความลับยิ่งใหญ่ที่ทำให้เจ้าเข้าใจสภาพการณ์ที่เจ้าอยู่ในตอนนี้”
……………………………………….