ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 443 ดินแดนลึกลับ (1)
บทที่ 443 ดินแดนลึกลับ (1)
ลู่เซิ่งเงียบงัน เขามีการคาดเดาอยู่แล้ว แต่ไม่กล้ายืนยัน
“ตกลง” อย่างไรก็อยู่ว่างไร้เรื่องราว คุยกับคนลึกลับคนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร
เขาหาสถานที่หนึ่งแล้วนั่งขัดสมาธิลง
“ดูเหมือนท่านจะไม่มีใครคุยด้วยมานานแล้ว” เขาเอ่ยอย่างราบเรียบ
บุรุษที่นั่งบนบัลลังก์ขยับแขนเล็กน้อย
“น่าจะสองหมื่นกว่าปีแล้ว ไม่นับว่านานนัก เอาล่ะ ตอนนี้มาพูดถึงความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามารสวรรค์เช่นพวกเจ้าดีกว่า”
เขาเว้นเล็กน้อย มุมปากตวัดเป็นรอยยิ้ม
“มารสวรรค์นอกเขตแดนสามารถฉวยโอกาสเข้าสู่ช่องว่างทางจิตใจของสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาที่อยู่ในสภาพสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะได้อย่างง่ายดาย สิ่งมีชีวิตที่ถูกมารสวรรค์ยึดครองร่าง ไม่อาจบอกว่าไม่ใช่เขา แต่ก็ไม่อาจบอกได้เหมือนกันว่าเป็นเขาคนเดิม มารสวรรค์ก็ดี สิ่งมีชีวิตก็ดี ความจริงเป็นร่างเดียวกัน นี่ความจริงก็คือสิ่งที่มีชีวิตเช่นพวกเรากำหนดขึ้นเองเหมือนกับเวลา” บุรุษกล่าววาจาที่ค่อนข้างวกวน
แม้ลู่เซิ่งจะไม่ได้เข้าใจกระจ่างนัก แต่พอมีความรู้จากโลกเดิมเป็นพื้นฐาน ก็ยังนับว่าเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อถึงเช่นกัน
“ท่านกำลังจะบอกว่าปัจเจกกับมารสวรรค์ที่จริงแล้วเป็นร่างเดียวกันหรือ เพียงแต่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันเท่านั้น ซึ่งมีแต่ตอนปรากฏสถานการณ์พิเศษเท่านั้น ถึงจะเกิดปรากฏการณ์ทับซ้อนกันได้ใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับ
“เจ้าเข้าใจได้เร็วดีนี่” บุรุษชมเชย “และถ้าหากมารสวรรค์รวมเป็นหนึ่งกับร่างหลักเมื่อไหร่ ก็จะทำให้จิตวิญญาณสมบูรณ์กว่าเดิม จากนั้นก็จะได้รับพลังที่แข็งแกร่งขึ้น นี่เป็นเส้นทางการฝึกฝนของมารสวรรค์นอกเขตแดนที่สูงส่งที่สุดในหมู่มารสวรรค์ รู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงถูกเรียว่ามารสวรรค์นอกเขตแดน ความหมายเป็นไปตามชื่อนั่นเอง มารสวรรค์ล้วนมาจากที่อื่น เขตแดนที่แตกต่าง โลกที่แตกต่าง เป้าหมายสูงสุดของเหล่ามารสวรรค์แต่ละตนก็คือฝึกฝนสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดจนสำเร็จ มหาวิถีมีเป็นพันเป็นหมื่น นี่ก็คือวิถีการฝึกฝนของมารสวรรค์”
‘ตามหาปัจเจกของตนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็หลอมรวมเพื่อยกระดับของตัวเองใช่หรือไม่ นี่คือวิธีการฝึกฝนของมารสวรรค์หรือ’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ เขาอดนึกถึงเหล่าเจ้าแห่งอาวุธที่สูงส่งเหนือสรรพสิ่งในต้าอินเหล่านั้นไม่ได้
พวกเขาใช้ทักษะความสามารถมากมายในการออกไปจากโลก และประกาศว่าโลกด้านนอกมีไว้แย่งชิงทรัพยากร แต่เกรงว่าความจริง จะไม่ได้มีแค่นี้
“เจ้ายังติดอยู่ในความสับสน ถึงขั้นไม่มีวิธีการฝึกฝนของมารสวรรค์เป็นของตัวเอง ของสิ่งนี้ถ้าไม่มีอาจารย์ชี้แนะ ก็ไม่อาจก้าวเดินได้อย่างราบรื่น อย่ามองข้า ข้าไม่ใช่มารสวรรค์ และไม่ได้มีความสนใจต่อวิธีการของพวกเจ้า” บุรุษหัวเราะพร้อมกับหยุดความคิดของลู่เซิ่ง
“แต่ว่าข้ามีคัมภีร์ที่พวกเจ้าต้องการ เป็นคัมภีร์หยกสำหรับฝึกฝนที่ข้าได้มาจากการสังหารมารสวรรค์มารดรผืนทรายโปรดฟากฟ้า ราชาพิภพมารดาพินาศ เจ้าอยากได้หรือไม่” เขายกแขนท่อนปลายขึ้นเล็กน้อย หยกเรียวยาวสีม่วงอมดำที่เหมือนกับหยกหรูอี้ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ บนหยกสลักอักขระซับซ้อนที่เรืองแสงสีม่วงอันพิสดารไว้แถวหนึ่ง แสงสีทองหลายสายลอยวนเวียนอยู่รอบๆ เพียงมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา
ลู่เซิ่งเพ่งมองไป สัมผัสได้ได้ว่าหยกหรูอี้แท่งนั้นกำลังปล่อยแรงดึงดูดและความยั่วยวนที่อ่อนจางจนเหมือนมีเหมือนไม่มีออกมา มันกำลังล่อลวงให้เขาเข้าไปแย่งชิงเหมือนกับสิ่งมีชีวิต
กดข่มความหวั่นไหวในใจ เขาดึงสติกลับมาแล้วมองบุรุษอีกรอบ
“ในโลกไม่มีอาหารเที่ยงกินเปล่า ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร”
บุรุษยิ้มอีกครั้ง
“ข้าชอบคุยกับคนฉลาดจริงๆ” เขาชูนิ้วสองนิ้ว
“เงื่อนไของข้อ”
ลู่เซิ่งโล่งอก มีเงื่อนไข ก็หมายความว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะหลอกลวงเขา อย่างน้อยก็มีหวังว่าจะเอาหยกหรูอี้มาได้
“โปรดบอก” เขาปรับท่านั่งอย่างจริงจัง
“ข้อแรก ไปยังสถานที่สามแห่ง แล้วทำลายเสากาลเวลาในที่นั้นๆ ทิ้ง เสากาลเวลาเป็นเสาหินทองขาวที่สลักลวดลายเรียบง่าย อาจจะมีการปลอมแปลงเปลือกนอก และมีความสามารถป้องกันอื่นๆ อยู่ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เจ้าต้องช่วยข้าจัดการ”
ลู่เซิ่งหยีตา ไม่ได้ส่งเสียง
“ไม่มีปัญหา ข้อสองเล่า”
“ข้าต้องการพลังวิญญาณ พลังวิญญาณจำนวนมาก ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าต้องช่วยข้าจับวิญญาณคุ้มครองจำนวนมากพอ ที่นี่เรียกกันแบบนี้กระมัง” รอยยิ้มของบุรุษล้ำลึกขึ้นกว่าเดิม แฝงความนัยที่อธิบายไม่ได้อยู่ด้วย
แม้เขาจะไม่ได้ลืมตา แต่ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาอยู่
“ข้าไม่อาจรับประกัน ได้แต่ทำเท่าที่ทำได้” ลู่เซิ่งครุ่นคิดก่อนตอบเสียงทุ้ม “ท่านรู้ว่าวิญญาณคุ้มครองนั้นจับยาก ถึงขั้นจะติดต่อด้วยก็ยังลำบากมาก”
“ไม่เป็นไร…ข้าจะให้เจ้ายืมของอย่างหนึ่ง” บุรุษขยับนิ้วชี้เบาๆ ของสิ่งหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากด้านหลังบัลลังก์ แล้วหยุดอยู่ตรงที่ว่างด้านหน้าลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง
นั่นเป็นผ้ารัดผม ผ้ารัดผมสีดำงดงามที่ฝังเส้นผลึกเส้นยาวเอาไว้
ไม่รอลู่เซิ่งตอบสนอง ผ้ารัดผมก็ลอยไปอยู่ด้านหลังเขาด้วยตัวเอง แล้วพันศีรษะเขาไว้หลายรอบ เหลือส่วนหนึ่งห้อยตกลงมาถึงท้ายทอย
ภาพลักษณ์ที่เดิมทีก็แข็งแกร่งอยู่แล้วของลู่เซิ่งดูดุร้ายบ่าเถื่อนยิ่งกว่าเดิมหลังจากผมถูกพันไว้
เมื่อหางม้ายกสูงที่อยู่ด้านหลังกับกล้ามเนื้อที่กำยำดั่งเหล็กกล้าอยู่ด้วยกัน ก็ชวนให้คนรู้สึกถึงความดุดันที่ทั้งเคร่งขรึมและเย็นชา
“นี่คืออะไร” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่เพิ่มความระวังขึ้น พร้อมจะบีบรูปสลักอีกาตลอดเวลา
“ของเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ช่วยให้เจ้าแตะต้องและมองเห็นวิญญาณคุ้มครองได้ ไม่ต้องห่วง ไม่เหลือภัยซ่อนเร้นอะไรให้เจ้าหรอก เป็นเพียงของเล่นที่ควบคุมได้ตามใจเท่านั้น” บุรุษกล่าวอย่างอ่อนโยน “จริงสิ เจ้าเรียกข้าว่าจวี้เยี่ยนก็ได้ ข้าเคยใช้ชื่อนี้ในการใช้ชีวิตมานานมากเหลือเกิน”
“จวี้เยี่ยนหรือ” ลู่เซิ่งลอบจดจำชื่อนี้เอาไว้ แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนได้ยินชื่อนี้ถึงรู้ว่าเป็นชื่อแซ่จากตัวอักษรตัวไหนอย่างชัดเจนก็ตามที ความแข็งแกร่งของภาษาชนิดนี้ทำให้เขาตกตะลึงเล็กน้อย
ทั้งสองสนทนากันสักพัก เป็นการสนทนาจริงๆ จวี้เยี่ยนเล่าเรื่องของตัวเอง เขาเคยเป็นกวีคนหนึ่ง ได้ท่องเที่ยวไปยังโลกต่างๆ แล้วทิ้งบทกลอนไว้มากมาย การกระทำเช่นนี้ได้ไปล่วงเกินตัวตนอันแข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในโลกใบหนึ่งเข้า ตัวตนนั้นไล่ล่าเขาเกือบสิบปี สุดท้ายจึงสู้กันในหลุมอุกาบาตบนดวงดาวแห่งหนึ่ง เขาจึงค่อยทราบว่าตนเองได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวตนนี้ให้อัปลักษณ์โดยไม่ได้ตั้งใจในบทกลอนเทพนิยายบทหนึ่ง
ถ้าหากเป็นสิ่งมีชีวิตทั่วไปยังพอทำเนา ทว่าคำพูดและการกระทำของสิ่งมีชีวิตระดับพวกเขาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อฟ้าดิน กลอนของเขาสร้างผลลัพธ์ที่ลำบากมากให้แก่ตัวตนนั้นเข้า
จวี้เยี่ยนเล่าเรื่องประเภทนี้อย่างออกรส ลู่เซิ่งก็ถือเสียว่าฟังเรื่องราวใหม่ๆ เวลาค่อยๆ ผ่านไปขณะที่จวี้เยี่ยนทบทวนความจำไปพลางเล่าเรื่องไปพลาง
หลังจากเรื่องที่สี่จบลง จวี้เยี่ยนก็คล้ายเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงให้ลู่เซิ่งจากมาเอง
เขาให้ลู่เซิ่งนำคัมภีร์หยกมารสวรรค์มาด้วย เพียงแต่เป็นส่วนครึ่งหน้าเท่านั้น ขณะเดียวกันสิ่งที่ลู่เซิ่งได้มายังมีวิธีฝึกฝนพลังวิญญาณด้วย เป็นฉบับรวบรัดส่วนหนึ่งที่จวี้เยี่ยนมอบให้ เขาบรรยายให้ลู่เซิ่งฟังคร่าวๆ ว่าพลังวิญญาณเป็นการดำรงอยู่แบบไหน
ทำให้ลู่เซิ่งได้รับผลประโยชน์มากมาย
เพียงแต่ยิ่งอีกฝ่ายทำอย่างนี้ กระดิ่งระวังภัยในใจเขาก็ยิ่งสั่นแรง ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายถึงว่าตนเองอันตรายมากเท่านั้น เขาไม่คิดจะฝากความหวังในการเอาตัวรอดไว้กับความเมตตาของอีกฝ่าย
วันเวลาต่อจากนั้น ลู่เซิ่งแอบเข้าออกสถานที่ผนึกเพื่อพูดคุยกับจวี้เยี่ยน แต่ความจริงคือฟังเรื่องเล่ามากกว่า
บางทีอาจเป็นเพราะจวี้เยี่ยนไม่ได้พูดอะไรมานาน เขาจึงกล่าววาจาไร้สาระเยอะแยะไปหมด เรื่องสักเรื่องหนึ่งสามารถฟุ้งฝอยกลับไปกลับมาได้นานสองนาน
ส่วนใหญ่แล้วลู่เซิ่งจะหลับตาเงียบๆ นอกจากว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรเขา เขาจึงค่อยตอบอย่างขอไปทีเท่านั้น ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มเรียนภาษาภัยพิบัติที่ใช้ในคัมภีร์หยกมารสวรรค์ หรือก็คือภาษาพิเศษที่จวี้เยี่ยนใช้พูด ภายใต้การชี้แนะของอีกฝ่ายด้วย
ภาษาภัยพิบัตินี้เป็นพื้นฐานที่เหล่ามารสวรรค์แทบจะต้องใช้ให้เป็น ไม่อย่างนั้นหากไปถึงโลกใบอื่นๆ แค่การติดต่อก็เป็นเรื่องยากแล้ว และไม่ใช่ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะอดทนต่อการติดต่อกันทางจิตวิญญาณได้ ส่วนใหญ่ถึงขั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณด้วยซ้ำ
ลู่เซิ่งเรียนภาษาภัยพิบัติไปพลาง ศึกษาคัมภีร์หยกส่วนครึ่งหน้าและวิญญาณคุ้มครองที่เขาสยบไว้ไปพลาง
ส่วนการรั่วไหลของวิญญาณชั่วร้าย นับตั้งแต่เขาพบจวี้เยี่ยน ก็ไม่ได้ยินว่ามีวิญญาณชั่วร้ายรั่วไหลอีก แสดงให้เห็นว่าถูกอีกฝ่ายจัดการไปแล้ว
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสองเดือนกว่าๆ ลู่เซิ่งใช้ภาษากับคำพื้นฐานของภาษาภัยพิบัติได้อย่างสมบูรณ์แล้ว นับว่าบรรลุระดับเบื้องต้น จวี้เยี่ยนจึงเร่งให้เขารีบเดินทางไปทำตามสัญญา โดยรับปากว่าภายภาคหน้าจะไม่มีวิญญาณชั่วร้ายรั่วไหลอีกแล้ว นอกเสียจากว่าเขาไม่รักษาสัญญา
ผลของการไม่รักษาสัญญาเป็นสิ่งใด ลู่เซิ่งไม่รู้ แต่เขารู้สึกได้ถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
ดังนั้น เขาจึงเริ่มเตรียมสัมภาระอย่างรวดเร็ว และขอลู่ตั้งเฟิงออกเดินทางหาประสบการณ์
“ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์หรือ” ลู่ตั้งเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย “เขาควันม่วงของเราไม่มีธรรมเนียมแบบนี้ แต่ถ้าจ้งเอ๋อร์เจ้าอยากจะเดินทางก็ทำได้เหมือนกัน คิดจะไปไหนเล่า ไปนานเท่าไหร่”
“ไปนอกชายแดนขอรับ ข้าอยากเห็นทุ่งหญ้า” ลู่เซิ่งตอบอย่างเรียบง่าย “ทะเลทรายก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“ไปนั้นไปได้ แต่ตอนนี้ระยะทางห่างไกล เจ้าอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว จะต้องคอยระวัง…ความปลอดภัย…” ลู่ตั้งเฟิงตบบ่าล่ำสันของลูกชาย รู้สึกกระดากปากกับคำว่าปลอดภัยเล็กน้อย ลูกคนโตผู้นี้เป็นประเภทที่ทำให้คนอื่นต้องระวังความปลอดภัยมากกว่า
“ไม่ต้องห่วงขอรับ ไม่เป็นไรหรอก ช่วงนี้วิญญาณชั่วร้ายลดน้อยลงเรื่อยๆ ความถี่ก็ลดต่ำลงมากเช่นกัน พวกเราเลยได้ผ่อนคลายมากขึ้น ข้าออกเดินทางจะได้วางใจด้วย” ลู่เซิ่งอธิบาย “นอกจากนี้ข้าจำได้ว่าหมู่บ้านพวกเรามีกิจการส่วนหนึ่งอยู่ที่จงหยวนด้วย สามารถแวะไปตรวจดูได้”
“เจ้าอยากไปก็ไปเถอะ” ลู่ตั้งเฟิงพูดอย่างไม่นำพา “เอาค่าเดินทางไปให้พอ เบิกที่ห้องบัญชี นอกจากนี้อย่าลืมเตรียมพวกม้าและสัมภาระให้เรียบร้อยด้วยเล่า”
“ทราบแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ลู่ตั้งเฟิงกำชับเรื่องที่ต้องคอยระวังอย่างละเอียด จนกระทั่งลู่เซิ่งท่องถอยหลังได้ทั้งหมด จึงค่อยปล่อยลูกชายไปเตรียมตัวอย่างจนใจ
การเดินทางไกลในโลกใบนี้ ขอแค่ไม่ได้ไปยังดินแดนอันตราย อยู่ในเขตที่มนุษย์พักอาศัย ก็สามารถรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐานได้
หลังจากลู่เฉวียนกับลู่เจินหลิงทราบข่าวแล้ว ก็โวยวายว่าจะเดินทางไปด้วย แต่ถูกลู่ตั้งเฟิงสั่งห้ามด้วยเสียงเฉียบขาด
เก็บสัมภาระเสร็จ ลู่เซิ่งไม่ได้นำคนและขบวนที่ลู่ตั้งเฟิงเตรียมให้เขาไปด้วย อาศัยจังหวะจากไปเงียบๆ เพียงลำพังในตอนกลางคืน
ครั้งนี้เขาไม่ได้ออกเดินทางไปเก็บประสบการณ์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องไปยังดินแดนลับสามแห่งและทำลายเสาทองขาวสามต้นด้วย
หากเขาเดาไม่ผิดละก็ การทำลายเสาสามต้นก็คือหนึ่งในกระบวนการที่จะช่วยปลดผนึกให้จวี้เยี่ยน กระบวนการนี้ต้องใช้เวลานาน เขาจะได้มีเวลาศึกษาสิ่งของใหม่ๆ ที่ได้มาพอดี
……………………………………….