ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 444 ดินแดนลึกลับ (2)
บทที่ 444 ดินแดนลึกลับ (2)
ต้าเซี่ย เขตไร้ชื้น
แสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาพื้นดิน มีคนเดินถนนไม่มากนัก มีคนกางร่มไม่กี่คนก้าวเท้าเดินอย่างรีบเร่ง วิ่งจากร้านค้าอีกแห่งไปยังอีกแห่ง
สิ่งก่อสร้างที่ก่อขึ้นจากไม้สีน้ำตาลส่งเสียงระเบิดดังเปรี๊ยะเบาๆ ตลอดเวลา เนื่องจากการสาดส่องจากแสงอาทิตย์
ด้านในเหลาสุราภูษาครามที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของนครเขต ตอนนี้เสี่ยวเอ้อร์ของเหลาสุราหลายคนกำลังนั่งบนม้านั่งหน้าประตูอย่างเกียจคร้าน พลางสาดถังไม้ที่บรรจุน้ำจนเต็มใส่พื้นไม่หยุด
ละอองน้ำเพิ่งแตะพื้น ฝุ่นเล็กๆ ที่แวววาวก็ฟุ้งกระจายขึ้นทันที ขณะเดียวกันก็มีไอร้อนเล็กๆ ระเหยขึ้นมาด้วย
“อากาศบัดซบอะไรของมันกัน เหตุใดถึงได้ร้อนขนาดนี้!?” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งบ่นเบาๆ พลางลูบเหงื่อบนหน้าผาก แล้วถูมือกับผ้าขนหนูบนไหล่
“มีคนไหม” อยู่ๆ เจ้าหน้าที่จากที่ทำการซึ่งสวมใส่ชุดขุนนางสองคนก็เดินเข้ามาจากประตูเหลาสุรา เจ้าหน้าที่เอวหนาบ่ากลมสองคนกำลังหอบหายใจ ชุดเจ้าหน้าที่พื้นดำขอบแดงบนร่างเปียกเหงื่อจนชุ่มโชก เป็นเหตุให้แนบติดกับร่าง จนทำให้คนที่เห็นรู้สึกไม่สบายตัว
“นายท่านรองจาง! นายท่านสามหลี่ เชิญทางนี้ขอรับ! เถ้าแก่หาน้ำแข็งมาไว้อ่างหนึ่งแล้วขอรับ วางอยู่บนชั้นที่สอง แขกจำนวนไม่น้อยต่างขึ้นบนชั้นสองหมดแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งรีบเข้าไปต้อนรับทักทาย
“เยี่ยม ข้ารู้อยู่แล้วว่าเถ้าแก่จินต้องมีวิธี แม้แต่น้ำแข็งที่มีแค่ในบ้านขุนนางร่ำรวยก็ยังหามาได้!”
เจ้าหน้าที่สองคนพลันยินดี แล้วเดินตึงๆ ขึ้นบันไดไป
ทั้งสองยังไม่ทันขึ้นไป เงาคนสายหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาหน้าประตูใหญ่
“เสี่ยวเอ้อร์ จัดกับข้าวมาโต๊ะหนึ่ง เอาอาหารประจำร้านก็แล้วกัน เติมข้าวเยอะๆ หน่อย” เสียงบุรุษที่สงบนิ่งทุ้มต่ำดังมาจากด้านหน้าประตู
เสี่ยวเอ้อร์ทั้งสองคนหมุนตัวไปมอง จากนั้นก็อดตกใจน้อยๆ ไม่ได้
แขกคนตรงหน้ามีร่างกำยำสุดบรรยาย สวมหมวกปิดหน้าไว้บนศีรษะ ใส่ชุดตัดสั้นสีเทาธรรมดาๆ ข้อมือที่เผยออกมาหนาเท่ากับแขนคนทั่วไป พอมาถึงหน้าประตูเหลาสุรา ก็บดบังแสงด้านนอกไว้มากกว่าครึ่งไม่ต่างอะไรกับกำแพง
“ขอรับ..รับทราบขอรับ! นายท่านเชิญเข้ามาก่อน” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งรีบเข้าไปต้อนรับ
เจ้าหน้าที่สองคนนั้นหยุดอยู่บนบันใด ก้มมองมายังบุรุษ รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
“ป้ายประกาศตบรางวัลของตระกูลเฉินดึงดูดเสือสิงห์กระทิงแรดมาไม่น้อย ไปๆๆ ไม่ต้องไปสนใจ พวกเราไปดื่มกันดีกว่า” เจ้าหน้าที่ที่อายุมากกว่าตบบ่าอีกคน “นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา”
ทั้งสองคุยกันเบามาก แต่ก็ไม่รอดพ้นหูของบุรุษสวมหมวกปิดหน้า
เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับปลดหมวกลงเบาๆ เผยให้เห็นใบหน้าธรรมดาที่เย็นชาและดุดัน เป็นลู่เซิ่งที่ผละจากภูเขาควันม่วงมานานแล้ว
หลังจากได้ตำแหน่งของเสาทองขาวสามต้นมาจากจวี้เยี่ยน เขาก็มุ่งหน้ามายังที่แรกโดยไม่หยุดพักทันที
หรือก็คือเขตไร้ชื้นแห่งนี้
เขตไร้ชื้นแห่งนี้ตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีภูเขาห้อมล้อม ลู่เซิ่งสืบสถานการณ์ของที่นี่มาเล็กน้อย จึงทราบว่าตระกูลเฉินที่เป็นตระกูลใหญ่ประจำเขตเขตนี้ หลายปีมานี้เกิดเรื่องประหลาดขึ้น คอยตบรางวัลยอดคนที่มาช่วยเหลือแก้ไขมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร
เพียงแต่ไม่นานมานี้ตระกูลเฉินนำสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งมาใช้เป็นของรางวัล และแจ้งว่าขอแค่ใครจัดการเรื่องประหลาดได้ ก็จะมอบสมบัติให้อีกฝ่ายทันที
สมบัติชิ้นนั้นมีชื่อว่าถ้วยปะการังแปดล้ำค่า เป็นของตกแต่งทำจากปะการังสีแดงเพลิงอันวิจิตรประณีต แขวนหยกและไข่มุกไว้เต็มไปหมด มีความล้ำค่าถึงขีดสุด เพียงด้อยกว่าสมบัติที่มีค่าควรเมืองขั้นหนึ่งเท่านั้น
ถึงขั้นที่ในยุทธภพมีคนร่ำลือกันว่า ความจริงถ้วยปะการังนี้เป็นสิ่งที่อริยะกระบี่เก้าวังที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างเหนือความคาดหมายพกติดตัวเมื่อครั้งกระโน้น ด้านในมีทักษะอันน่ากลัวที่อริยะเจ้ากระบี่เก้าวังใช้สยบใต้หล้าซุกซ่อนอยู่
เพราะคำเล่าลือนี้ จอมยุทธ์ในยุทธภพที่มีทักษะล้ำเลิศจำนวนมากจึงเร่งรุดมาจากสี่ทิศแปดทาง เมื่อตระกูลเฉินที่เป็นแค่ตระกูลใหญ่ในนครเขตเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไร้ความสามารถที่จะต้านทานยอดฝีมือในยุทธภพจำนวนมากมายขนาดนี้ได้โดยสิ้นเชิง ตกอยู่ในสภาพอันตรายเหมือนกับไข่ที่วางซ้อนตั้งกัน
สถานการณ์ในตอนนี้ยุ่งยากถึงขีดสุด ทางการไม่อาจควบคุมคนในยุทธภพที่สูงส่งเหล่านี้ได้ เลยได้แต่เพิ่มกำลังทหารคุ้มครองเมืองและประกาศกฎอัยการศึก
ลู่เซิ่งข้าใจสถานการณ์ของพลังยุทธ์ในโลกนี้อย่างคร่าวๆ แล้ว ยุทธภพของราชวงศ์ต้าเซี่ยใช้วิชากำลังภายในและวิชาภายนอกดั้งเดิมเป็นหลัก บนยุทธภพมีปรมาจารย์กำลังภายในที่มีชื่อเสียง แต่ละดินแดนแต่ละเขตแคว้นมีความเกี่ยวข้องกันซับซ้อน ลัทธิทะเลสาบเป็นตัวแทนลัทธิมาร ส่วนฝ่ายธรรมะมีพรรคภูผาลำธาร สำนักไท่ซัน และสำนักสำนึกเทพเป็นตัวแทน
ลู่เซิ่งได้เจอโจรดักปล้นระหว่างทางและได้ไต่ส่วนความรู้พื้นฐานส่วนหนึ่งมาจากปากของพวกมัน ส่วนยอดฝีมือระดับสุดยอดของยุทธภพร้ายกาจขนาดไหน เขาไม่ทราบ ครั้งนี้มาเจอเรื่องของตระกูลเฉินเข้าพอดี เขาจึงคิดจะหยั่งเชิงดู
ระหว่างเดินทาง เขาศึกษาวิชาพื้นฐานของพลังวิญญาณรวมถึงคัมภีร์หยกมารสวรรค์ที่จวี้เยี่ยนมอบให้อย่างละเอียด เลยพอจะเข้าใจแล้วว่าภายหลังสมควรจะทำอย่างไร
เพียงแต่เขาไม่กล้าฝึกฝนวิชาที่คนผู้นั้นมอบให้ง่ายๆ ดังนั้นจึงวางแผนว่าจะหาตัวทดลองมาลองดูเสียก่อน
เนื่องจากเขามีพลังวิญญาณมากพอ วิชาพื้นฐานพลังวิญญาณจึงง่ายดายยิ่ง เป็นเหตุให้ใช้วิชาที่วิญญาณคุ้มครองซันปู้ใช้ในตอนนั้นสร้างรากฐานได้
ส่วนคัมภีร์หยกมารสวรรค์ เขายังไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างไรกับมันดี
ลู่เซิ่งที่ถือหมวกกวาดตามองชั้นที่หนึ่งของเหลาสุรา
“เอาชั้นที่หนึ่งก็แล้วกัน เงียบดี” เขาเมินคำแนะนำที่ไร้ลำดับขั้นตอนของเสี่ยวเอ้อร์ แล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งตรงซอกหลืบ
เสี่ยวเอ้อร์อีกคนรีบยกจานใส่ผักเย็นส่วนหนึ่งมา จากนั้นก็นำน้ำเย็นกาหนึ่งมาให้
“เชิญทานเลยขอรับนายท่าน! กับข้าวต้องใช้เวลาเตรียมสักเล็กน้อย โปรดรอสักครู่นะขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พยายามใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตรที่สุดพูดคุย นายท่านตรงหน้านี้เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นคนเหี้ยมในยุทธภพที่ถ้าใช้เท้าได้ก็จะไม่ใช้มือ คนธรรมดาไม่อาจล่วงเกินยอดฝีมือที่สูงส่งแบบนี้ได้
“อือ ไปเถอะ” ลู่เซิ่งหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบถั่วลิสงเม็ดหนึ่งเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ผละไป เหลาสุราชั้นที่หนึ่งก็กลับคืนสู่ความสงบ ไกลออกไปมีเสียงหมาร้องดังมาเบาๆ ยังมีเสียงดนตรีเช่นผีผาแทรกอยู่ด้วย
ลู่เซิ่งพึงใจกับความสงบแบบนี้มาก อากาศร้อนมากจริงๆ แต่ไม่มีผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย ตอนนี้พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว แถมสารกายในตัวก็กลายเป็นสีทองแล้วด้วย ทุกๆ การเคลื่อนไหวต่างมีพลังแข็งแกร่งจนน่ากลัว ทั้งยังครอบครองวิชาภายนอกและวิชาแข็งกร้าวบางส่วนในวิถีแปดมารสูงสุด ขอแค่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศภายนอกไม่ได้รุนแรงเกินไป ก็ล้วนไม่มีความแตกต่างอะไรสำหรับเขา
หลังจากกินผีเสื้อเย็นไปหลายจาน ความสงบสุขของเหลาสุราคงอยู่ไม่นานเท่าไหร่ ที่หน้าประตูก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาถึง ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่สวมชุดหรูหรางดงาม
เป็นสามบุรุษสองสตรี อายุเฉลี่ยไม่เกินสิบแปดสิบเก้าปี ต่างคนต่างพกพาดาบยาวหรือไม่ก็กระบี่ มัดผมที่ยาวไว้อย่างเรียบร้อยเหมือนคนในยุทธภพ ทว่าความไร้เดียงสากับความกระตือรือร้นบนใบหน้าแสดงให้เห็นว่า คนกลุ่มนี้เป็นแค่ชายหนุ่มหญิงสาวที่วางมาดเป็นคนในยุทธภพเท่านั้น
“อ้าวๆ นี่มันนายน้อยฉวินนี่นา ยังมีพวกคุณหนูอีก นายน้อยใหญ่ก็มาด้วยหรือ เชิญข้างใน! เชิญข้างในเลย”
เถ้าแก่ร่างอ้วนวิ่งลงมาจากชั้นสอง แล้วรีบเข้าไปต้อนรับคนหนุ่มสาวเหล่านี้
“เถ้าแก่จิน ไม่ได้มาเหลาสุราภูษาครามของพวกท่านนานเลยทีเดียว ช่วงนี้มีกับข้าวอะไรใหม่ๆ บ้าง รีบยกมาลองดูเลย อากาศผีสางนี่มันร้อนเกินไปแล้ว เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เหงื่อแตกหมด” คุณชายที่เป็นผู้นำมีบุคลิกเป็นมิตร แต่ก็อำพรางความเชื่อมั่นและอวดโอ่ในน้ำเสียงไว้ไม่มิด
“กล่าวได้ประเสริฐๆ ข้าเหล่าจินจำชื่อกับข้าวไว้ในสมองหมดแล้ว อีกเดี๋ยวจะเข้าครัวไปจัดการให้คุณชายและคุณหนูทุกท่านเอง” เถ้าแก่จินหว่านล้อมให้ลูกคนรวยเหล่านี้ขึ้นชั้นสอง
คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้สังเกตเห็นลู่เซิ่งที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงมุมหนึ่งในตอนที่ขึ้นบันได ต่างก็แสดงความสนอกสนใจออกมาเล็กน้อย
การแต่งกายของลู่เซิ่งเรียกได้ว่าตรงกับภาพลักษณ์ยอดคนในยุทธภพที่เหล่าลูกคนรวยเหล่านี้ได้ยินมาจากเรื่องเล่ากำลังภายในตั้งแต่เด็กๆ แม้ท่าทางจะดุร้ายไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้พวกเขาเกิดความสนใจอย่างแรงกล้า
ครั้งนี้พวกเขาได้ยินว่าที่เหลาสุราภูษาครามมีคนในยุทธภพมาเป็นจำนวนไม่น้อย จึงแอบหนีออกมารับชมเรื่องน่าสนใจ
ถือโอกาสใช้วรยุทธ์ที่สืบทอดในตระกูลซึ่งตนฝึกฝนมาหลายปีสร้างชื่อเสียงให้ขจรขจายไปทั่วยุทธภพด้วย
คนพวกนี้มีเฉินฉวินเป็นผู้นำ ท่ามกลางคนรุ่นที่สองของตระกูลเฉินกลุ่มนี้ เขาเฉินฉวินเป็นคนเพียงคนเดียวที่ฝึกฝนกระบี่เจ็ดเหมยไร้เคียงคู่ซึ่งเป็นวรยุทธ์ในตระกูลจนช่ำชองเชี่ยวชาญถึงขอบเขตสำเร็จเล็กน้อย
หลังจากคนรุ่นสองกลุ่มนึ้ขึ้นชั้นที่สองแล้ว ไม่นานก็มีเสียงเอะอะดังมา คล้ายกับมีคนโต้เถียงอะไรกัน แต่เสียงก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก
ลู่เซิ่งยังคงนั่งกินข้าวของตัวเอง หลังจากกินเสร็จแล้ว เนื่องจากรู้สึกว่ารสชาติไม่เลว เขาจึงให้เสี่ยวเอ้อร์ยกกับข้าวชุดใหม่มาอีก
ไม่นาน หน้าประตูก็มีกลุ่มคนประหลาดสองคนโผล่มา
เป็นคนหลังค่อมที่สวมใส่เสื้อคลุมขี่ม้าหรูหราซึ่งเย็บขึ้นมาจากด้ายที่ทอจากทองคำ กับสตรีอาภรณ์ขาววัยกลางคนที่สวมผ้าคลุมหน้า มีรูปร่างคอดกิ่ว และพกกระบี่ไว้ที่เอว ทยอยกันเดินเข้ามา
“ยกสุรามา ขอสุราที่ดีที่สุด ยิ่งมากยิ่งดี!” คนหลังค่อมผู้นั้นก้มศีรษะที่มีแต่ผมหงอกลง พอเข้ามาก็สั่งด้วยเสียงแหบพร่าทันที
“ได้! ได้เลยขอรับ! ท่านผู้เฒ่าโปรดนั่งก่อน ประเดี๋ยวจะยกสุรามาให้!” เสี่ยวเอ้อร์เห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็รู้ว่าเป็นคนในยุทธภพ ล่วงเกินไม่ได้ จึงรีบชักนำคนทั้งสองไปยังชั้นที่สอง
นึกไม่ถึงว่าหลังจากเฒ่าหลังค่อมกวาดตาเห็นลู่เซิ่งที่อยู่ในมุมหนึ่ง ก็ไม่ไปแล้ว
“เอาชั้นที่หนึ่งนี่แหละ” เขาพาสตรีวัยกลางคนนั่งลงห่างจากลู่เซิ่งโต๊ะหนึ่ง
ลู่เซิ่งกวาดตามองคนทั้งสองแล้วทำเป็นไม่ได้สนใจ กินอาหารของตนต่อไป เขาคิดว่าเหลาสุราภูษาครามแห่งนี้อาจจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นก็ได้ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาเป็นแค่ผู้ชมคนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากพวกคนหลังค่อมนั่งลง ไม่นานก็มีคนทยอยมาเรื่อยๆ พวกเขาบ้างก็พกดาบ บ้างก็พกกระบี่ ยังมีแส้เหล็กกับค้อนดาวตก มองดูก็รู้ว่าเป็นจอมยุทธ์
บรรยากาศในเหลาสุราหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ แม้คนจะเพิ่มมากขึ้น แต่เสียงกลับเบาลงเรื่อยๆ
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้าพร้อมกับเวลาที่ผ่านพ้นไป แต่คนในเหลาสุราเหมือนจะกลัวอะไรอยู่ ต่างคนต่างลอบพิจารณาคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ อย่างระมัดระวังในขณะที่กินข้าวและดื่มสุรา
ลู่เซิ่งกินอาหารชุดที่สามเสร็จอย่างผ่อนคลาย ใช้ผ้าร้อนที่ส่งมาเช็ดทำความสะอาดปาก จากนั้นก็ดื่มสุราช้าๆ ขณะพิงหลังกับผนัง
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นดังมาจากชั้นที่สอง
“ไปหามารดาเจ้า! เจ้าหนู คิดว่าข้าไม่กล้าฟันเจ้าจริงๆ หรือ” เสียงแหบห้าวตะโกนอย่างโมโห
ถัดจากนั้นก็เป็นเสียงโลหะปะทะกันดังมาอย่างเร่งร้อน
“พี่ฉวิน!” เสียงร้องตกใจของบุรุษสตรีอายุน้อยหลายคนดังซ้อนกันขึ้น
ปึง!
เงาคนสายหนึ่งกลิ้งลงมาจากชั้นสองแล้วกระแทกเข้ากับพื้นของโถงใหญ่ชั้นหนึ่งอย่างแรง
ลู่เซิ่งกวาดตามองคนผู้นี้ เป็นเฉินฉวินหรือคนหนุ่มสูงศักดิ์ที่ก่อนหน้านี้เชิดหน้าเชิดตาอย่างทะนงตนผู้นั้น
เฉินฉวินผู้นี้ถือกระบี่หักเล่มหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาบวมเป่ง จมูกเขียว ดูท่าทางจะถูกทุบตีอย่างแรง
“พี่ชายท่านนี้ เด็กน้อยผู้นั้นแค่พลั้งปากไปชั่วขณะ เหตใดต้องลงมืออำมหิตแบบนี้ด้วย” เสียงชราอีกเสียงดังมาจากชั้นบน
“ข้าน้อยเปี๋ยเฟยเฮ่อแห่งธารเมฆา วันนี้ข้าจะฟันเด็กน้อยผู้นี้เอง แขนหนึ่งข้าง ขาหนึ่งข้าง บอกหนึ่งไม่มีสอง ใครกล้าขวางข้า อย่าโทษข้าพลิกหน้าลงมืออย่างอำมหิตเล่า!” เสียงแหบห้าวแจ้งชื่ออย่างเย็นชา
พอแจ้งชื่อนี้ออกไป ทั้งชั้นบนชั้นล่างต่างเงียบสงัดลงทันตา
แม้แต่เฒ่าหลังค่อมที่นั่งใกล้ลู่เซิ่งผู้นั้นยังตากระตุก
ไม่มีใครเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมอีก
……………………………………….