ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 446 บทเกริ่น (2)
บทที่ 446 บทเกริ่น (2)
เสี้ยนไม้และเศษไม้มากมายกระเด็นออกมาจากผนังไม้ที่แหลกเละ ชุลมุนวุ่นวายอยู่ชั่วขณะ จอมยุทธ์หลายคนที่โดนลูกหลงใช้มือกุมปากแผลที่แขนซึ่งถูกเสี้ยนไม้กระเด็นใส่ ก่อนจะพากันหลีกหนีไปไกล ด้วยเกรงว่าจะถูกลากเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย
“พูด…พูดจาเหลวไหลมารดาเจ้าสิ! เจ้าคนวิปลาสนี่!” เปี๋ยเฟยเฮ่อดิ้นรนพลางพลิกมือชักดาบที่เอวออกมาฟันใส่ลู่เซิ่ง
เปรี้ยง
ดาบเหล็กถูกลู่เซิ่งฟาดฝ่ามือใส่จนปักเข้าไปกับผนังไม้ด้านข้าง
“ยังกล้าดูหมิ่นอาจารย์อีกหรือ!?” ลู่เซิ่งเลิกคิ้วเย็นชา ก่อนจะจิกผมของเปี๋ยเฟยเฮ่อแล้วกระแทกเข้ากับพื้นอีกรอบ
ตูม!
หน้าของคนผู้นี้กระแทกเข้ากับพื้น ดั้งจมูกหัก ปาก หน้าผาก และเบ้าตามีแต่เลือด อเนจอนาถสุดทานทน
เขาโคจรปราณเพื่อขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง แต่เรี่ยวแรงและปราณภายในทั่วทั้งร่างกลับไม่กระดิกกระเดี้ยแม้แต่น้อยเหมือนกับมดเขย่าต้นไม้
“ไอ้คนคลั่ง!”
เปรี้ยง!
ศีรษะกระแทกพื้นอีกรอบ
“ไอ้คนวิปลาส!”
เปรี้ยง!
“บ้า!”
เปรี้ยง!
“บ้า…”
เปรี้ยง!
“เจ้า…!”
เปรี้ยง!
“ข้า…!”
เปรี้ยง!
“อาจารย์!”
ในที่สุดเปี๋ยเฟยเฮ่อก็ทนไม่ไหว หลังจากร้องตะโกนเหมือนกรีดร้องเสร็จ ก็เงียบเสียงลง ร่ำไห้เสียงหลง
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งไม่ได้หยุดมือ หากหิ้วตัวเปี๋ยเฟยเฮ่อที่ใบหน้าบวมอย่างกับขนมเปี๊ยะขึ้นมา
“ต้องอย่างนี้สิ เชื่อฟังแบบนี้แต่แรกก็จบแล้ว ทุกคนจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก” เขาแบ่งสารกายออกมาสายหนึ่ง แล้วให้มันวนเวียนในร่างเปี๋ยเฟยเฮ่อเพื่อตรวจสอบ ดูว่าอีกฝ่ายเหมาะจะฝึกฝนพลังวิญญาณหรือคัมภีร์หยกมารสวรรค์มากกว่า
คัมภีร์หยกมารสวรรค์ยุ่งยากเล็กน้อย มีแค่จิตวิญญาณเท่านั้นที่ฝึกได้
พวกเฉินโย่วจิ่นกับเฉินฉวินสองคนขดตัวอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าจากไปและไม่กล้าเข้ามาใกล้
กลับเป็นบริวารของเปี๋ยเฟยเฮ่อ ตอนนี้แสดงสีหน้าดุร้ายเหี้ยมเกรียม ยกดาบขึ้นเพื่อจะเสี่ยงชีวิตกับลู่เซิ่งและช่วยเหลือประมุขน้อย
ลู่เซิ่งมองยังไม่มองคนพวกนี้ อย่าเห็นว่าเปี๋ยเฟยเฮ่อมีสภาพน่าอนาถ ความจริงเขายั้งมือแล้ว แม้จะทำให้อีกฝ่ายรับรู้ความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้สร้างอาการบาดเจ็บที่อันตรายถึงชีวิตและส่งผลเสียต่อคุณสมบัติ
แล้วพละกำลังและกระบวนท่าวรยุทธ์ที่เปี๋ยเฟยเฮ่อแสดงออกมาเมื่อครู่เล่า
ความจริงตอนที่ลู่เซิ่งจับตัวเขา เพียงใช้กระบวนท่าเปลี่ยนแปลงแค่หนึ่งครั้งก็ทำลายการขัดขืนของคนผู้นี้ได้แล้ว
อึก
พอจอมยุทธ์ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนในเหลาสุราเห็นสภาพน่าสมเพชของเปี๋ยเฟยเฮ่อในตอนนี้ก็พลันหน้าซีดเซียว ก่อนจะพากันลุกขึ้นจากไป
ไม่นานในเหลาสุราก็เหลือแค่พวกเฒ่าหลังค่อมและเจ้าหน้าที่สองคนซึ่งเพิ่งลงมาจากชั้นสอง แม้แต่บริวารของเปี๋ยเฟยเฮ่อก็เผ่นแน่บไปแล้ว เฉินฉวินกับเฉินโย่วจิ่นโขกศีรษะให้แก่ลู่เซิ่งหลายครั้ง จากนั้นจึงค่อยจากไปอย่างทุลักทุเล
ลู่เซิ่งจิกผมลากตัวของเปี๋ยเฟยเฮ่อกลับไปถึงโต๊ะไม้แล้วปล่อยคนลง
“ก่อนที่เจ้าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาประจำสำนักของข้า เจ้าจะต้องเพิ่มไขมันก่อน ร่างกายเจ้าอ่อนแอเกินไปแล้ว!” ลู่เซิ่งบีบแขนของเปี๋ยเฟยเฮ่ออย่างเรียบเฉย
ตั้งแต่เขาเริ่มลงมือจนถึงตอนจับเปี๋ยเฟยเฮ่อกลับมา ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที แต่เปี๋ยเฟยเฮ่อได้เจอเข้ากับฉากที่น่าอเนจอนาถที่สุดของชีวิตในเวลาสิบวินาทีนี้แล้ว
เขา…หรือว่านาง…ถูกทำลายลูบโฉมแล้ว…
นางนั่งอยู่ข้างโต๊ะพลางกุมศีรษะและร้องไห้เหมือนกับเด็ก
ลู่เซิ่งกลับมาดื่มสุราที่โต๊ะเดิม แม้การเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้จะครึกโครม แต่แค่ผนังกับพื้นของเหลาสุรามีรูเพิ่มขึ้นมาไม่กี่รูเท่านั้น ทุกอย่างยังคงสมบูรณ์ไม่บุบสลาย
แต่เขาได้เจอกับตัวทดลองตัวแรกอย่างราบรื่น คุณสมบัติกับกระดูกล้วนไม่เลว เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในพันหรือหนึ่งในหมื่น
ต่อให้อยู่ในต้าอิน ด้วยคุณสมบัติล้ำเลิศของเปี๋ยเฟยเฮ่อ หากมีอาวุธเทพฉายรังสีใส่สายเลือด จะทำให้นางก้าวเข้าสู่ระดับอสรพิษได้เป็นอย่างต่ำ
อย่าเห็นว่าระดับอสรพิษไร้ความหมายกับลู่เซิ่งในตอนนี้ เพราะระดับอสรพิษเป็นตัวตนอันเหี้ยมหาญที่ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดในนครเขต ทั้งยังเป็นระดับสูงในตระกูลใหญ่หรือตระกุลขุนนางทั่วไป มีทรัพย์สมบัติและสาวงามให้เสพสุขนับไม่ถ้วน
“อยู่นี่เสีย ถ้าเชื่อฟัง ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า” ลู่เซิ่งชี้ที่พื้นข้างโต๊ะตัวเอง
เปี๋ยเฟยเฮ่อไม่กล้าส่งเสียง นางโตมาขนาดนี้เพิ่งถูกทุบตีจนสะบักสะบอมขนาดนี้เป็นครั้งแรก ตอนนี้วัตุดิบกับโอสถผสมกันบนใบหน้า เลือดเกาะบนผิว จึงรู้สึกชาและคันกว่าเดิม ทุกข์ทรมานสุดขีด
ในเหลาสุราเหลือแต่เสียงดื่มสุราอย่างสบายอกสบายใจของลู่เซิ่ง
ตอนนี้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่งมองลู่เซิ่งแล้วมองเปี๋ยเฟยเฮ่ออย่างค่อนข้างแปลกประหลาด
“นึกไม่ถึงว่าด้านในเปี๋ยเฟยเฮ่อประมุขพรรคน้อยของพรรคเหยี่ยวดำจะเป็นสตรีคนหนึ่ง ได้เปิดประสบการณ์แล้ว” สายตาของเขาเลื่อนจากร่างเปี๋ยเฟยเฮ่อไปถึงร่างลู่เซิ่งอีกครั้ง
“น้องชาย ที่นี่อยู่ห่างจากพรรคเหยี่ยวดำไม่ไกล ท่านทำร้ายประมุขพรรคน้อยพรรคเหยี่ยวดำ ไม่กลัวว่าราชาขาเหยี่ยวเทพแห่งธารเมฆาจะหาเรื่องหรือ”
ลู่เซิ่งกวาดตามองอีกฝ่ายแล้วถามกลับหนึ่งประโยค
“ท่านเคยได้ยินเรื่องของตระกูลเฉินมาก่อนไหม”
“เรื่องที่คุณหนูรองของตระกูลเฉินหายตัวไปอย่างลึกลับน่ะหรือ ทุกๆ คืนคุณหนูรองผู้นั้นจะต้องหายตัวไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่ว่าใครเฝ้านางไว้ ก็จะหลับไหลไปอย่างไม่มีสาเหตุ จากนั้นเที่ยงของวันที่สอง คุณหนูรองผู้นั้นก็จะกลับมาอย่างกะทันหัน” เฒ่าหลังค่อมกล่าวช้าๆ
“หายตัวหรือ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ วางแผนว่าจะไปตรวจสอบดูเสียหน่อย สถานที่แห่งนี้เป็นที่ซ่อนเสาหินที่จวี้เยี่ยนบอก แต่ตามที่อีกฝ่ายบอก เสากาลเวลาจะปลอมแปลงเป็นสิ่งใดก็ได้ ซึ่งรวมถึงสิ่งมีชีวิตด้วย ตระกูลเฉินเป็นงูเจ้าถิ่นของที่นี่ สามารถขอความช่วยเหลือได้
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ด้านนอกประตูเหลาสุราก็มีคนกลุ่มหนึ่งทยอยกันเข้ามา เป็นคนของตระกูลเฉินที่สวมเกราะหนังและพกพาดาบเหล็ก
บุรุษวัยกลางคนท่าทางร่ำรวย ท่าทางอยู่ดีกินดีหลายคนเดินเข้ามากลางกลุ่มคน คนที่เป็นผู้นำมีส่วนคล้ายกับเฉินฉวินอยู่ห้าส่วน
คนของตระกูลเฉินมาถึงแล้ว
“ถ้วยปะการังมาแล้ว หากพวกท่านอยากได้ก็แย่งกันเอาเองเถอะ ของสิ่งนี้ พวกเราตระกูลเฉินมิอาจครอบครอง และไม่อยากจะเก็บไว้อีกต่อไป ยอดคนทุกท่านตามสบาย” พอเข้าประตูมา คนวัยกลางคนผู้นี้ก็ประสานมือคำนับทุกคนในเหลาสุรา
จากนั้นคนรับใช้ก็ประคองกล่องไม้สีแดงใบหนึ่งเข้ามา ต้นปะการังสีแดงเพลิงขนาดเท่ากำปั้นวางอยู่ด้านใน
“ส่งมาง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง ตอนแรกนึกว่าจะเกิดการหักมุมซ้ำไปซ้ำมา นึกไม่ถึงว่าตระกูลเฉินจะรู้ความขนาดนี้
คนวัยกลางคนของตระกูลเฉินพูดจบก็คารวะลู่เซิ่งอีกครั้ง คล้ายเป็นการขอบคุณที่เขาลงมือช่วยลูกของตัวเอง จากนั้นก็หมุนตัวพาคนจากไปโดยไม่พร่ำพิไรแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งมองถ้วยปะการังบนพื้นด้วยความสนอกสนใจ สุดท้ายก็ยกกาสุราบนโต๊ะขึ้นดื่มจนหมด จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นเตรียมจะผละไปจากที่นี่
“ถ้าหากน้องชายไม่รังเกียจ สามารถมาหาข้าที่ตระกูลจ้าวในเขตนี้ได้ เรื่องของพรรคเหยี่ยวดำอาจจะยังไกล่เกลี่ยได้อยู่” ด้านหลังมีเสียงของเฒ่าหลังค่อมผู้นั้นดังมา
“ขอบคุณมาก” ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับมองเปี๋ยเฟยเฮ่อ นางตัวสั่น ได้แต่ติดตามมาอย่างอดสู
ทั้งสองทยอยกันเดินออกมาจากเหลาสุราภูษาครามแล้วเดินไปตามถนน ไม่นานกลิ่นสุราที่ลอยออกมาจากเหลาสุราด้านหลังก็หายไป
ผิวถนนถูกแดดส่องมาทั้งวัน ตอนนี้จึงยังร้อนลวกสุดทานทาน ลู่เซิ่งเพิ่งจะออกมา ก็เห็นชายชราผมขาวท่าทางน่าเกรงขามสองคนยืนอยู่ข้างถังขยะซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
ชายชราทั้งสองคนมีร่างล่ำสัน ผมเผ้าหนวดเคราเป็นสีขาว สวมชุดตัดสั้นหนึ่งดำหนึ่งขาว ด้านนอกคลุมเสื้อกล้ามโลหะสีเงินอีกชิ้นหนึ่ง
“ประมุขพรรคน้อยไม่เป็นไรกระมัง” ชายชราที่อยู่ทางซ้ายก้าวเข้ามาถามเสียงกังวาน มองเปี๋ยเฟยเฮ่อที่อยู่ด้านหลังลู่เซิ่งด้วยสายตาเป็นห่วง
เปี๋ยเฟยเฮ่ออ้าปากอยากจะพูดบางอย่าง แต่พอกัดฟันจ้องมองแผ่นหลังลู่เซิ่งอีกครั้ง ก็ไม่กล้าแล้ว
เหล่าจอมยุทธ์เรียกชายชราสองคนนี้ว่ากำปั้นเหล็กกระสาคู่ แต่คนส่วนใหญ่ชอบเรียกพวกเขาว่าโจวซันเหยี่ยกับโจวเอ้อร์เหยี่ยมากกว่า ทั้งสองฝึกฝนกำปั้นคู่จนสำเร็จวิชาอันแข็งแกร่งอย่างสิบสามกำปั้นท่ากระสา ไม่ต้องเอ่ยถึงต่อยกระทิงข้ามภูเขา ฟาดหมีป่าด้วยมือเปล่า ยังเป็นยอดฝีมือผู้เหี้ยมหาญที่ถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรกในพรรคเหยี่ยวดำเช่นกัน
การมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในตอนนี้ หมายความว่ากลุ่มสนับสนุนของพรรคเหยี่ยวดำอยู่ไม่ไกลแล้ว
“ผู้เฒ่าโจวทั้งสองท่าน ระวังตัวด้วย คนผู้นี้ร้ายกาจถึงขีดสุด!” เปี๋ยเฟยเฮ่ออดเตือนเสียงดังไม่ได้
ลู่เซิ่งพิจารณาชายชราทั้งสองคนนี้อย่างค่อนข้างเบื่อหน่าย ในร่างพวกเขามีปราณภายในที่จำนวนนับว่าพอใช้ได้ แต่นั่นเป็นในสายตาคนธรรมดา หากเปลี่ยนเป็นสารกาย คงจะมีมากกว่าคนทั่วไปสิบกว่าเท่า
แต่ต่างกลับลู่เซิ่งอย่างมหาศาล
“เจ้าหนุ่ม อย่าสำคัญตัวผิดไป จงปล่อยประมุขพรรคน้อยเสียเถอะ ยังมีพื้นที่ให้ไกล่เกลี่ย ไม่อย่างนั้น…” โจวซันเหยี่ยเกลี้ยกล่อมเสียงขรึม
ทั้งสองมองไม่เห็นว่าลู่เซิ่งมีความพิเศษตรงไหน กลับกันอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา เพียงแค่เลือดลมมีชีวิตชีวามากกว่าส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ทั้งสองยิ่งกริ่งเกรงลู่เซิ่งกว่าเดิม สามารถเล่นงานประมุขพรรคน้อยเปี๋ยเฟยเฮ่อที่ฝึกฝนจนมีฝีมือล้ำลึกให้เป็นแบบนี้ได้ คนธรรมดาไม่มีทางทำได้เด็ดขาด
“ใต้เท้า…เป็นใครกันแน่…” โจวเอ้อร์เหยี่ยสำรวจสักพัก ในที่สุดก็พอจะมองเลศนัยส่วนหนึ่งออก ลู่เซิ่งเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ แต่ยิ่งเขาสำรวจอย่างละเอียดเท่าไหร่ กระดิ่งเตือนภัยในใจก็ยิ่งส่งเสียงดังมากเท่านั้น ขนทั่วร่างลุกชูชัน เหมือนกับความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นตอนพบอันตรายเป็นตายหลายครั้งในอดีต
“จะลงมือไหม ข้าจะได้ไปสักที” ลู่เซิ่งไม่มีเวลามาเล่นกับเด็กน้อยเหล่านี้ สำหรับระดับในปัจจุบันของเขา คนธรรมดาตรงหน้าเหล่านี้ถึงขั้นนับเป็นเด็กไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นเพียงนักกายกรรมเท่านั้น
โจวเอ้อร์เหยี่ยคิดจะพูดบางอย่าง หัวใจกลับเย็นเยียบอย่างมิอาจควบคุม จึงไม่ได้ตอบอะไร
โจวซันเหยี่ยผุดสีหน้าแปลกใจ เขาทราบว่าพี่ชายของตนมีลางสังหรณ์เฉียบคมมาโดยตลอด จึงไม่ได้พูดอะไรตาม
ลู่เซิ่งกวาดตามองคนทั้งสองก่อนจะหมุนตัวเดินไปไกลด้วยสายตาเรียบเฉย เปี๋ยเฟยเฮ่อลืมตาโตจ้องมองคนทั้งสองพักหนึ่ง นางรู้ถึงระดับฝีมือของคนสองคนนี้ในพรรคเหยี่ยวดำ ตอนนี้แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าลงมือ อาจารย์จอมเอาเปรียบที่ลึกลับคนนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่
นางรู้สึกเสียใจต่อการแอบหลบหนีออกมาด้านนอกเป็นครั้งแรกแล้ว
…
ตระกูลเฉิน
ด้านในโถงเล็กอันงดงาม แขวนป้ายคำว่าร่ำรวยตลอดชาติเอาไว้
เฉินจิ่วหัวนั่งบนเก้าอี้ ลูบหยกแขวนไขมันแพะภูเขาสีขาวบริสุทธิ์ไร้รอยตำหนิในมือ นึกย้อนถึงรอยยิ้มอันงดงามที่น่ารักไร้เดียงสาของลูกสาวตอนเป็นเด็ก ในใจเหมือนมีมีดกรีดเฉือน
“นับตั้งแต่เสี่ยวปี้เจอคนผู้นั้น ตระกูลเฉินของพวกเราก็ไม่เคยมีความสุขอีกเลย…”
“ไม่ใช่ความผิดของเสี่ยวเจ๋อหรอก…เด็กๆ สองคนนั้นรักกันจริงๆ…” เฉินจุ่นกวงที่ดูชรานั่งอยู่ด้านข้าง ทั้งๆ ที่เขาเป็นน้องชายของประมุขตระกูลแท้ๆ แต่มองดูจากภายนอก กลับชราเสียยิ่งกว่าประมุขตระกูลเสียอีก
“ข้าสงสัยว่าสภาพประหลาดตลอดหลายปีมานี้ของเสี่ยวปี้ เป็นไปได้ว่าเพราะนางยังคงติดต่อกับจางอวิ้นเจ๋อนั่นอยู่!” เฉินจิ่วหัวพลันส่งเสียงอย่างเคียดแค้น
“เป็นไปได้อย่างไร! พูดจาเหลวไหล!” เฉินจุ่นกวงตำหนิ
แต่พอนึกถึงว่าถ้ามีความเป็นไปได้นี้จริงๆ ถ้าหากตระกูลลึกลับของเสี่ยวเจ๋อนั่นมาหาอีกล่ะก็…
……………………………………….