ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 45 เงาอรชร (3)
“ขอถามพี่เฉิน สิ่งนี้เกรงว่าเป็นสิ่งที่ขุดมาจากหลุมศพกระมัง” ลู่เซิ่งแสร้งถามแบบไม่สนใจ
เฉินเจียวหรงพยักหน้า “เป็นของที่ขุดมาจากหลุมศพ ท่านยังไม่ได้ตอบข้า ตามที่น้องสาวข้าบอก ระดับไหนจึงนับว่ารู้จักกันและกัน” เขาเปลี่ยนหัวข้อมาอยู่ที่เรื่องแต่งงานของน้องสาวตัวเองอีกครั้ง
ลู่เซิ่งก่อนหน้านี้เลี่ยงไปรอบหนึ่ง ตอนนี้ถูกถามอีก พลันถอนใจ
“เรื่องแบบนี้มิอาจรีบ พี่เฉินภายหลังจะทราบเอง หนำซ้ำข้าเพิ่งรู้จักกับอวิ๋นซี เวลาสั้นขนาดนี้ บ้านท่านก็วางใจข้าเพียงนี้แล้วหรือ”
“ตอนที่ท่านกล่าวคำพูดอย่างนี้ออกมา เดิมทีข้าก็ไม่วางใจ ตอนนี้ค่อยวางใจจริงๆ แล้ว” เฉินเจียวหรงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าท่านตอบรับ พวกเราเพิ่มสินเดิมได้อีกหนึ่งเท่า!”
ลู่เซิ่งยิ้มอย่างหนักใจ
เขาทราบว่าด้านนี้เป็นเฉินอวิ๋นซีชมชอบตนจริงๆ อีกด้านความจริงตระกูลเฉินลำบากมาตลอดที่บุตรีของตนแต่งไม่ออก อุตส่าห์ได้เจอคนที่เหมาะสม เป็นตายก็ไม่ยอมปล่อยมือแล้ว
“เรื่องนี้ภายหน้าค่อยว่ากันเถอะ อย่างน้อยก็รอข้าสอบผ่านได้บรรดาศักดิ์ก่อนค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งยกการสอบมาเป็นโล่ห์บังเกาทัณฑ์
เฉินเจียวหรงได้ยิน ฉับพลันนั้นดวงตาของเขาฉายความนับถือกว่าเดิม นี่เป็นความยั่วยวนที่ขอเพียงตอบรับก็มีสมบัติหมื่นก้วนในพริบตา ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาที่อยู่ในสถานะเดียวกัน เจอสถานการณ์แบบนี้ เขาจะต้องรับปากแน่ ถึงอย่างไรหลังจากแต่งงาน ก็สามารถตบแต่งอนุ หาบ้านสามบ้านสี่บ้านห้าได้ แม้น้องสาวของเขาเฉินอวิ๋นซีจะมีขายาวเล็กน้อย ไม่แตกต่างจากคนที่ใบหน้าเสียโฉม ต่างมีจุดบกพร่องมาแต่กำเนิด แต่สุดท้ายก็มีด้านอื่นๆ ส่งเสริม
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ รอหลังจากการทดสอบประจำปีของพี่ลู่ ค่อยตัดสินใจอีกครั้ง อวิ๋นซีเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็ก สมควรถึงวัยแต่งงานแล้ว หวังว่าพี่ลู่จะไม่ผัดผ่อน”
ลู่เซิ่งจนปัญญา ได้แต่พยักหน้า คนทั้งสองออกจากเหลาสุราก็แยกย้าย ลู่เซิ่งเห็นท้องฟ้ามืดแล้วก็หมุนตัวกลับบ้าน
พักผ่อนคืนหนึ่ง วันต่อมาเขาไปสถานศึกษา เพิ่งนั่งลงบนที่นั่ง ก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากด้านนอก
“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ” ลู่เซิ่งมองซ่งเจิ้นกั๋วที่กำลังจัดม้วนหนังสือ
ซ่งเจิ้นกั๋วสีหน้าอึมครึม ตอบอย่างเคร่งขรึม “คนที่บ้านหวังจื่อเฉวียนมาแล้ว”
ลู่เซิ่งเห็นคนไม่น้อยในห้องเรียนลุกขึ้นเดินไปมองที่หน้าต่างกับประตู ด้านนอกแว่วเสียงร้องไห้ของสตรีและเด็กเลือนราง
เขาลุกขึ้น ได้ยินเพื่อนนักเรียนหลายคนถอนใจ
“จื่อเฉวียนเหมือนหายสาบสูญไป ที่บ้านมีสตรีนางหนึ่งนำเด็กสองคนมา ฟังว่าบิดาของเขาเพื่อรายงานทางการให้ตามหาคน กลับถูกทำร้ายในที่ว่าการจวนขุนนางจนสาหัส กลับบ้านไปก็ป่วยจนลุกไม่ขึ้น เฮ้อ…”
“ที่ว่าการจวนขุนนางไฉนทุบตีคน”
“บิดาของเขาไม่เชื่อว่าบุตรชายของตัวเองจมน้ำตาย คุกเข่าที่ปากประตูที่ว่าการไม่ยอมลุก ผลก็คือข้าหลวงที่รับตำแหน่งใหม่เกิดโทสะ คนปลิ้นปล้อนเช่นนี้น่ารังเกียจนัก…”
“น่าสงสารบุตรกำพร้าหญิงม่ายนี้…”
“ใช่แล้ว น่าสงสาร… บิดาของเขาตอนนี้ก็ไม่ไหวแล้วเช่นกัน…”
ลู่เซิ่งยิ่งฟังยิ่งเอือมระอา หวังจื่อเฉวียนก่อนหน้านี้ที่บ้านเป็นพ่อค้า กิจการถึงแม้ไม่ใหญ่โต แต่ก็มีทรัพย์สมบัติบ้าง แต่ตอนนี้เกิดเรื่องจนบ้านแตกคนตาย
ซ่งเจิ้นกั๋วได้ยินเสียงสนทนารอบๆ ก็เบียดคนเดินออกมายืนกับลู่เซิ่ง
“เป็นความผิดของข้า ถ้าไม่ใช่วันนั้นข้าเรียกเขาออกไป…”
“อย่าคิดมากไป ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน” ลู่เซิ่งตบบ่าเขา แต่ซ่งเจิ้นกั๋วยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้ตอบ
สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังออกจากห้องเรียน เห็นสตรีงดงามผู้หนึ่ง อายุอานามราวสิบแปดสิบเก้าปี ก้มหน้านำเด็กน้อยอายุหนึ่งสองขวบคนหนึ่งคุกเข่าบนทางหลัก ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านของสถานศึกษา สวมผ้าป่านไว้ทุกข์สีขาว
คนที่ชมดูรอบๆ มีหลายสิบคน ยังมีแนวโน้มยิ่งมายิ่งคึกครื้น
“ไปเถอะ ไปดูกัน” ลู่เซิ่งดึงซ่งเจิ้นกั๋ว เดินนำออกไปก่อน
“ไม่ต้อง! ข้าไปคนเดียวก็พอ นี่เป็นความผิดของข้า! ข้าไปเอง!” ซ่งเจิ้นกั๋วยื่นมือข้างหนึ่งมารั้งตัวเขาไว้ กล่าวเสียงทุ้ม
ลู่เซิ่งสับสน ยังไม่ทันได้สติ ก็เห็นซ่งเจิ้นกั๋วเดินออกไปสองสามก้าว ไปยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวนางนั้น แล้วพูดกระซิบกับนาง
ในกลุ่มนักศึกษาที่อยู่รอบๆ มีอาจารย์สองคนเบียดเข้ามาถามไถ่สถานการณ์ ไม่ทันไรซ่งเจิ้นกั๋วก็ประคองสตรีกับเด็กขึ้นมา ออกจากสถานศึกษาไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งติดตามพวกเขาออกจากสถานศึกษาไปติดๆ
ไล่ตามไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นขุนนางของที่ว่าการมุ่งหน้ามา กล่าวาจากับซ่งเจิ้นกั๋วรวมถึงหญิงสาวนางนั้น จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นรถม้าคันหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนไป ซ่งเจิ้นกั๋วทำสัญญาณมือให้ลู่เซิ่งไม่ต้องตามไป บอกให้เขากลับไปเรียน
“อย่าได้ทำให้การทดสอบประจำปีเสียการ กลับไปเถอะ! เรื่องนี้ข้าจัดการเอง!” ซ่งเจิ้นกั๋วตะโกนบอกลู่เซิ่งอยู่ไกลๆ แล้วขึ้นรถจากไป
ลู่เซิ่งมองตามรถม้าสีดำลายแดงคันนั้นจากไป ดูออกว่านั่นเป็นรูปแบบรถม้าที่ที่ว่าการจวนขุนนางใช้โดยเฉพาะ
เขายืนอยู่ตรงประตูสถานศึกษาสักพัก ก็หมุนตัวกลับไปเรียนต่อ
เรื่องครอบครัวของหวังจื่อเฉวียนกระจายไปทั่วสถานศึกษาอยู่พักหนึ่ง ก็ถูกหยุดไว้อย่างรวดเร็วยิ่ง ลู่เซิ่งเห็นคนของจวนขุนนางมาพูดคุยกับนักศึกษาในสถานศึกษาสองสามคนหลายครั้ง บางทีที่ข่าวถูกปรามไว้เป็นพวกเขากระทำ ส่วนครอบครัวของหวังจื่อเฉวียนก็ไม่ได้มาก่อเรื่องอีกแล้ว
หลังจากซ่งเจิ้นกั๋วไปด้วยในวันนั้น ใบหน้าผ่อนคลายสบายใจขึ้นหลายส่วน คาดว่าชดเชยอันใดให้ครอบครัวของหวังจื่อเฉวียนแล้ว
คดีคนหายสาบสูญนี้วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ก็สงบลงอย่างรวดเร็วยิ่ง หลังคลื่นลม สถานศึกษาก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นเหมือนเดิม คล้ายเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
…
ตระกูลซ่ง
ซ่งเจิ้นกั๋วกินอาหารที่สตรีรับใช้ส่งมาให้อยู่เงียบๆ ไก่ เป็ด ปลา ห่าน วางอยู่เต็มโต๊ะ แต่เขาไม่อยากอาหาร มีบางอย่างติดค้างในใจ
ด้านนอกแว่วเสียงฝีเท้ากับเสียงสนทนาของบิดาที่เดินผ่านมาเลือนราง เขาไม่ได้ออกไปคำนับ เพียงนั่งระบายลมหายใจยาวๆ อยู่ในห้อง
พวกเขาก็เป็นผู้อพยพที่โยกย้ายมาถึงเมืองเลียบคีรีเช่นกัน กิจการของบิดาอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยุ่งเป็นพิเศษ อารมณ์เดิมทีก็ไม่ดีอยู่แล้ว บวกกับเรื่องของเขาอีก ยิ่งน่าอึดอัดกว่าเดิม
‘แต่ทำไมท่านพ่อจึงไม่เข้าใจข้อดีของจวินเอ๋อร์ ถ้าเราแต่งนางเข้าบ้าน ภายหลังในบ้านปรองดอง กิจการสำเร็จ มีจวินเอ๋อร์คอยช่วยเหลือ ในบ้านสงบ การทดสอบประจำปีเราจะต้องมีส่วนสำเร็จแน่…’ ซ่งเจิ้นกั๋วโอดครวญ
พั่บๆ
ขณะกำลังทานขาว หน้าต่างพลันมีนกพิราบสีดำตัวหนึ่งบินมา เบิ่งตาสีชมพูจ้องเขา
คู คู
นกพิราบร้อง
ซ่งเจิ้นกั๋วพอเห็น บนใบหน้าฉายแววยินดี
เขาเดินไปสองสามก้าว รีบคว้านกพิราบไว้ ปลดม้วนกระดาษม้วนหนึ่งจากเท้าของมัน แล้วคลี่ออกอย่างรวดเร็ว
‘คำพูดของจวินเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ไม่ต้องกังวลแล้ว จวินเอ๋อร์ใช้ความตายขมขู่ หัวหน้าเรือในที่สุดก็ตอบรับ คืนพรุ่งนี้อาศัยวันเทศกาล ขอแค่พี่ใหญ่ซ่งนำเงินหนึ่งหมื่นตำลึงมา ก็ไถ่ตัวจวินเอ๋อร์ได้ พี่ใหญ่ซ่งไม่ต้องกังวล หนึ่งหมื่นตำลึงแม้ว่ามาก แต่หลายปีมานี้จวินเอ๋อร์ก็สะสมเงินไว้ไม่น้อย อย่างน้อยก็สมทบได้มากกว่าครึ่ง
คืนพรุ่งนี้ พี่ใหญ่ซ่งต้องมาคนเดียว จวินเอ๋อร์จะมอบร่างกายตัวเองให้แก่พี่ใหญ่อย่างสมบูรณ์ ขอท่าน… สงสารเถิด…’
ซ่งเจิ้นกั๋วอ่านจบ เพียงรู้สึกลิงโลดยินดี ลุกขึ้นยืน ใบหน้าแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือม้วนกระดาษเดินพล่านอยู่ในห้อง
‘จวินเอ๋อร์… จวินเอ๋อร์… เจ้าเป็นของข้า! ข้าจะต้องนำเจ้าออกจากเรือสำราญ พาเจ้าออกจากสถานที่ผีสางนั่น มอบสถานะแก่เจ้าให้ได้!’ เขากำหมัดแน่น พึมพำอย่างเคร่งขรึม กลับลืมคำเตือนที่เสี่ยวจวินบอกว่า อย่าได้ไปเรือสำราญในเทศกาลภูษาควันจนหมดสิ้น
หลังจากตื่นเต้นยินดีอยู่ในห้องสักพัก ซ่งเจิ้นกั๋วก็ค่อยๆ ใจเย็นลง
‘แต่ก่อนหน้านี้จวินเอ๋อร์บอกว่าอย่าได้ไปเรือสำราญในเทศกาลภูษาควันไม่ใช่หรือ กลัวว่าเราจะถูกหลอกหรือนี่’
เขาครุ่นคิด สีหน้าค่อยๆ เยือกเย็นลง ยืนลังเลอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง
‘รอให้เจอจวินเอ๋อร์ ค่อยถามว่าก่อนหน้านี้ทำไมไม่ให้เราไปเรือสำราญในเทศกาลภูษาควัน บางทีนางมีเหตุผลพิเศษอันใด’
ซ่งเจิ้นกั๋วเริ่มเตรียมตั๋วเงินอย่างดีอกดีใจ หนึ่งหมื่นตำลึง สำหรับเขาเป็นจำนวนมหาศาล สมบัติส่วนหนึ่งที่เขาสั่งสมไว้ในหลายปีมานี้ ได้ใช้จ่ายกับจวินเอ๋อร์ในช่วงเวลานี้ ต้องรวบรวมหนึ่งหมื่นตำลึงอย่างฉุกละหุก มีความยากอยู่บ้าง ถึงแม้จวินเอ๋อร์บอกว่านางจะสมทบเพิ่มมากกว่าครึ่ง แต่เขาไหนเลยเป็นคนที่ให้สตรีของตัวเองรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้
‘ไม่สนแล้ว ไปขอพี่สาวมาหมุนเวียนส่วนหนึ่งก่อน’ เขากินก็ไม่กินแล้ว รีบร้อนวิ่งไปถึงประตูกำลังจะออกไป ทันใดนั้นก็นึกอันใดได้ หยุดกึก
‘เรื่องดีแบบนี้ ถึงแม้จวินเอ๋อร์จะเขินอาย บอกให้เราไปคนเดียว แต่ว่าเรื่องน่ายินดีแบบนี้ อย่างไรก็ต้องให้สหายสนิทสองคนช่วยฉลองถึงจะถูก’ ซ่งเจิ้นกั๋วกลับไปนั่งหน้าโต๊ะหนังสืออย่างรวดเร็ว เทน้ำฝนหมึก เริ่มยกพู่กันขึ้น จะเขียนจดหมายส่งให้สหายสนิทสองคนที่ตนมีอยู่ในตอนนี้
แต่ขณะเริ่มเตรียมหมึกพู่กัน เขาก็ลังเลอีก วางพู่กันลง
‘ช่างเถอะ ยังคงไปคนเดียวดีกว่า หลีกเรื่องไม่ให้เกิดเหตุแทรกซ้อน เพิ่มตัวแปรเข้าไป รอเรื่องราวจบลงแล้ว ค่อยบอกคนอื่นๆ ก็ได้’
เขารีบไปหาพี่สาวตัวเอง ยืมตั๋วเงินหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงจากที่นั่น บอกว่าจะใช้เงินทำธุรกิจ เตรียมทุกอย่างไว้อย่างรวดเร็ว
…
การทดสอบประจำปีใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทางครอบครัวของลู่เซิ่งก็ส่งเฉี่ยวเอ๋อร์มา ทั้งส่งตั๋วเงินมาหนึ่งพันตำลึง นับว่าเสริมค่าใช้จ่ายในช่วงนี้ของเขา
แต่ลู่เซิ่งก็เข้าใจว่า ในบ้านกำลังขายอาคารร้านค้าแปลงเป็นเงิน เตรียมจะเคลื่อนย้าย เป็นเพราะว่าการระเบิดในครั้งนั้นของเมืองเก้าประสาน คนที่ย้ายออกมีมากมาย ราคาในการขายอาคารร้านค้าต่ำค่าลงมาก ภายหลังในบ้านหากต้องการซื้อทรัพย์สินใหม่ จะต้องเก็บเงินไว้เป็นจำนวนมาก
ดังนั้นสามารถให้เงินเขาหนึ่งพันตำลึงได้ ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่เจียดออกมาแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ตระกูลลู่ก็ยังอยู่ในช่วงโอนเอนกลางลมฝน
ลมฝนสงบลงอย่างช้าๆ ลู่เซิ่งค่อยๆ สลัดเรื่องหวังจื่อเฉวียนทิ้ง เริ่มรวมรวมสมาธิยกระดับตัวเอง อีกทั้งยังเริ่มหาวิธีทำเงิน
“ในภูเขาทางเหนือมีน้ำพุใส! ในคูแดงไซร้มีสีเหลืองงาม! นอกเมืองนกกระจอกกองบนทรายขาว! ขมิ้นไหลบนแม่น้ำซินจาว”
“เมืองเลียบคีรีเอ๋ย! บ้านเกิดของเรา เมืองเลียบคีรีเอ๋ย! บ้านเกิดของเรา ลาล้าลาลา ลาล้าลาลา…”
“ลาล้าลา! ลาล้าลาลา!”
“ลาล้าลา! ลาล้าลาลา!”
ลู่เซิ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่างด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ฟังเสียงบุรุษร้องเพลง ที่แหลมน่าหนวกหูดังมา
เขาสะดุ้งตื่นตอนตีสาม หรือก็คือโดนก่อกวนจนตื่นขึ้นในยามเหยี่ยน จากนั้นก็เห็นขบวนคนด้านนอกเหล่านี้ต่อแถวกันเรื่อยๆ บ้างเสียงแหลม บางเสียงหยาบ ผ่านไปบนถนนอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้ขบวนคนแถวยาว เป่าปี่ปากใหญ่ ร้องเพลงเสียงดัง สวมเสื้อสีแดงแซมน้ำเงิน ส่วนใหญ่เป็นคนมีอายุ ตีกลอง เคาะฆ้อง กำลังร้องเพลงพื้นบ้านอุ่นเครื่องก่อนเทศกาลภูษาควัน ค่อยๆ เดินไปยังใจกลางเมือง
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งหมดคำพูดยิ่งกว่าก็คือ คนที่ออกมาชมดูความคึกครื้นบนถนนรอบๆ ถึงกับไม่รู้สึกหนวกหูแม้แต่น้อย ติดตามขบวนคนด้วยความสนุกสนาน บางคนยังร้องเพลงตามไปด้วย ยังมีเจ้าหน้าที่จากที่ว่าการ รักษาความเป็นระเบียบด้วย
………………………………………….