ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 453 ราบรื่น (1)
บทที่ 453 ราบรื่น (1)
“เสาหินธรรมดาหรือ” ลู่เซิ่งพิจารณามังกรเงินตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ “ถ้าหากท่านหาเสาหินธรรมดาที่เหมือนอย่างนี้ให้ข้าได้อีกต้น ข้าจะจากไปทันที”
ผมยาวของสตรีนางนั้นพัดพลิ้วกระจัดกระจายช้าๆ เหมือนกับสาหร่าย พอได้ยินคำพูดนี้ ก็เข้าใจว่าคนตรงหน้าไม่ได้เลอะเลือนเหมือนกับพวกหน้าโง่เมื่อก่อนหน้า ในที่สุดนางก็จริงจังขึ้น “ดูเหมือนจะมีคนให้เจ้ามาที่นี่โดยเฉพาะ”
“จะพูดแบบนั้นก็ได้” ลู่เซิ่งพยักหน้า “เอาล่ะ ตัดสินใจเถอะว่าจะละทิ้งการขัดขืน หรือให้ข้าลงมือเอง”
สตรีนางนั้นมีสีหน้าใคร่ครวญ “เจ้าตัดสินใจแล้วว่าต้องการเสาหินต้นนั้นหรือ”
“ใช่ ท่านตอบสนองความปรารถนาทั้งหมดของข้าได้หรือไม่” ตอนนี้ลู่เซิ่งเข้าใจแล้วว่าเสาหินสีทองขาวต้นนั้นเป็นร่างหลักของมังกรเงินตรงหน้า
“เจ้าเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดแล้ว แต่ไม่เป็นไร เสาหินมอบให้เจ้าได้ เพียงแต่เจ้าจะจ่ายค่าตอบแทนอะไรเพื่อแลกไปเล่า” สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ท่านว่าอย่างไรเล่า นี่ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะกำหนดราคาอย่างไร” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“การกำหนดราคาของข้า…” สตรีนางนั้นเว้นเล็กน้อย มองตาของลู่เซิ่ง ตั้งแต่นางเกิดจิตขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอมนุษย์ประหลาดแบบนี้
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าคิดทำอะไร แต่ว่าเสาหินต้นนั้นเป็นร่างหลักที่ข้าเคยลอกคราบ ดังนั้น ข้าต้องการพลังวิญญาณทั้งหมดบนตัวเจ้าเป็นค่าตอบแทน”
“แลกเปลี่ยนจริงๆ หรือนี่” ลู่เซิ่งงุนงง เขาเตรียมจะพลิกหน้าอยู่แล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเสนอราคาอย่างจริงๆ จังๆ
พอได้ยินเงื่อนไขนี้ เขาก็ได้สติกลับมาพร้อมกับแย้มยิ้ม
“ไม่มีปัญหา” พลังวิญญาณบนร่างเขาใช้พลังอาวรณ์แค่ไม่กี่หน่วยเท่านั้น สำหรับเขาที่มีพลังอาวรณ์หลายหมื่น ราคาแค่นี้แทบไม่ต้องพิจารณาเลยก็ได้
“ใช่รู้สึกว่าถูกมากหรือไม่” สตรีมังกรเงินผู้นั้นพลันถาม
“ใช่ ถูกไปหน่อย” ลู่เซิ่งพยักหน้าตามจริง
“กล่าวตามจริง หลักๆ เป็นเพราะคิดว่าสู้เจ้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ขายให้เจ้าถูกๆ แบบนี้หรอก ถือเป็นการกึ่งขายกึ่งส่งให้ก็แล้วกัน” สตรีมังกรเงินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่านกลับจริงใจนัก” ลู่เซิ่งพลันหัวเราะ “จะจ่ายพลังวิญญาณให้ท่านอย่างไร”
“เจ้าปล่อยออกมาทางข้าก็พอ” สตรีตอบ “ข้าดูดพลังวิญญาณค่อนข้างหมดจด ตอนเจ้าฟื้นฟูจะช้าเล็กน้อย”
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา ถึงอย่างไรพลังวิญญาณของเขาก็เปลี่ยนมาจากพลังอาวรณ์ไม่กี่หน่วยเท่านั้น เทียบกันแล้ว พลังอาวรณ์มีคุณสมบัติกับความหนาแน่นเหนือกว่าพลังวิญญาณมาก พลังอาวรณ์จำนวนน้อยๆ ถึงได้เปลี่ยนออกมาเป็นพลังวิญญาณมากขนาดนี้ได้
อย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งปล่อยพลังวิญญาณทั่วร่างของตัวเองใส่อีกด้านหนึ่งของผนังหินภายใต้การชี้นำของสตรีผู้นี้ เพียงเวลาชั่วถ้วยน้ำชา ปราณวิญญาณบนร่างเขาก็กลายเป็นกลุ่มปราณวิญญาณสีทองขนาดเท่าอ่างล้างหน้าเก้ากลุ่ม แล้วลอยอยู่กลางอากาศ
“เป็นบุรุษที่น่ากลัวจริงๆ” สตรีมังกรเงินทอดถอนใจขณะมองลู่เซิ่ง การคุกคามจากบนร่างของเขาที่รู้สึกได้ไม่ลดน้อยลงเพราะการหายไปของพลังวิญญาณแม้แต่น้อย กลับกันมีแต่จะอันตรายขึ้นกว่าเดิมเหมือนกับม่านกำบังถูกฉีกไปชั้นหนึ่ง
“สำหรับพวกเราแล้ว พลังวิญญาณคือทุกสิ่งอย่าง แต่สำหรับเจ้า เป็นแค่ภาพปะติดปะต่อชิ้นเล็กๆ ของพลังเท่านั้นกระมัง” นางถามด้วยน้ำเสียงกึ่งซักไซ้
“ผู้ใดรู้เล่า” ลู่เซิ่งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ “ตอนนี้เสาหินต้นนั้นเป็นของข้าแล้วกระมัง”
“แน่นอน ตามสบายเถอะ” สตรีมังกรเงินค่อยๆ เลื่อนร่างมังกรขนาดยักษ์ออกไปเพื่อหลบให้แก่เสาหินสีทองขาวที่ถูกบังไว้
ลู่เซิ่งยิ้ม แล้วเดินเข้าไปหาเสาหินต้นนั้น
ตอบสนองคำไหว้วานขั้นแรกของจวี้เยี่ยนสำเร็จแล้ว
…
ข้างใต้หมู่บ้านควันม่วง
จวี้เยี่ยนที่นั่งบนบัลลังก์อย่างเบื่อหน่าย ก้มมองวิญญาณร้ายที่ไหลเวียนอยู่เบื้องล่างซึ่งกำลังจัดเรียงเป็นสภาพอย่างหนึ่งเหมือนกับวิญญาณในม่านหมอก ราวกับกำลังรับชมการเต้นระบำ
อยู่ๆ บัลลังก์ด้านล่างของเขาก็เกิดเสียงดังเบาๆ
แกร๊ก…
เหมือนกับมีบางอย่างค่อยๆ แตกออก
‘พันธนาการแรก…เปิดแล้ว…’ จวี้เยี่ยนสีหน้าไร้อารมณ์ แต่มือที่กำที่วางแขนไว้อยู่กระชับแน่นในทันที
‘เสากาลเวลา…ถูกทำลายเร็วขนาดนี้ เด็กน้อยนั้นใช้ได้ยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก…แต่เสาต้นแรกง่าย หลังจากสร้างความตื่นตัวให้แก่เจ้าพวกนั้นแล้ว เสาอีกสองต้นที่เหลือจะไม่ได้ราบรื่นเหมือนเดิมอีกแล้ว มารสวรรค์น้อย ให้ข้าได้เห็นหน่อยเถอะว่า เจ้าทำได้ถึงขั้นไหน…’ มือของจวี้เยี่ยนที่กำแน่นผ่อนคลายออกช้าๆ เขากลับกลายเป็นเกียจคร้านเรียบเฉยเหมือนเดิม
…
ออกมาจากในถ้ำ ลู่เซิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างประหลาดใจ
ตอนนี้ท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้มีเมฆขาวเต็มไปหมดเต็มไปด้วยเมฆสีแดง ชั้นเมฆสีแดงจำนวนมากกลายเป็นกลุ่มสีดำก้อนใหญ่เหนือศีรษะของเขา มองไกลออกไป เหมือนกับไข่สีดำขนาดยักษ์กำลังฟักอะไรอยู่
ไข่ดำใบนี้ยังดูดซับเมฆแดงจำนวนมากที่อยู่รอบๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
การทำลายเสาหินไป ไม่ได้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอะไร เหมือนกับทำลายก้อนหินธรรมดาๆ ไม่ได้แข็งมาก และไม่ได้เปราะมาก ยิ่งไม่เกิดปรากฏการณ์ผิดปกติอื่นๆ
สภาพของเขาไม่ต่างอะไรกับตอนเข้าไป สิ่งที่แตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือ พลังวิญญาณบนร่างถูกใช้จนหมดเกลี้ยงไปชั่วคราว
ยืนอยู่ที่ปากถ้ำ ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ บนผนังหินและพื้นดินรอบๆ มีลวดลายสีเลือดเล็กๆ คลานไต่ไปทั่วเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ลวดลายเหล่านี้ไม่มีแบบแผนแม้แต่น้อย เหมือนกับลวดลายธรรมดาๆ มีเพียงคลื่นพลังวิญญาณหลายสายของพลังวิญญาณที่เบาบางถึงขีดสุดเท่านั้น
“ออกมาเถอะ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างผ่อนคลาย “ดูเหมือนคนที่กล้ามาของตระกูลจางจะมาถึงแล้ว”
เสียงเพิ่งขาดลง รอบๆ ปากถ้ำก็มีคนสามคนเดินออกมาเป็นรูปพัดทันที
เป็นบุรุษผอมแห้งวัยกลางคนคนหนึ่งและชายชราหน้าแดงสวมเสื้อคลุมดำหมวกขาว ด้านหลังปักคำว่าจางตัวใหญ่สองคน
จางเฮ่อหลุน จางเวิ่นจี้ ทั้งสองขึ้นสู่ระดับสูงสุดมาตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีก่อน เร็วกว่าพวกจางมู่ แถมยังโด่งดังกว่า เวลาที่ทั้งสองปรากฏ จะเป็นเวลาที่ตระกูลจางเหมือนกับดวงอาทิตย์กลางหาว
กล่าวได้ว่าสองคนนี้เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่เคยปกครองสี่ตระกูลคุ้มครองมายุคหนึ่ง
ส่วนบุรุษวัยกลางคนที่เหลือคือประมุขตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลจาง จางจุ่น
“นึกไม่ถึงว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะปล่อยเจ้าออกมาจริงๆ” จางเฮ่อหลุนถอนใจยาว “ข้าเพิ่งได้ยินคนรุ่นหลังส่งข่าวทางด้านนี้ จึงรู้ว่าดาวมารจุติแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง” ใบหน้าที่แก่ชราเหมือนเปลือกไม้ของเขาฉายแววเมตตาสงสารมนุษย์ชาติ
“ฟ้าส่งดาวมารมาถึง เดิมนึกว่าจะเป็นวิญญาณมารที่รั่วไหลออกมาจากต้นกำเนิด กลับคิดไม่ถึงว่าจะกำเนิดในสี่ตระกูลคุ้มครองของพวกเรา” จางเวิ่นจี้ซึ่งเป็นผู้ชราอีกคนเอ่ยอย่างจนใจเช่นกัน “คำพูดของจี๋เหล่าซิงไม่ผิดจริงๆ”
“ดาวมาร วิญญาณมารหรือ ของไร้สาระอะไรกันนั่น” ลู่เซิ่งไม่เข้าใจว่าตาเฒ่าสองคนนี้คุยพึมพำอะไรกัน
“ลู่จ้ง ครั้งกระโน้นลู่ตั้งเฟิงบิดาของเจ้าคุยกันถูกคอกับพวกเรา นึกไม่ถึงว่าวันนี้เจ้าที่เป็นลูกชายจะเหิมเกริมจนบุกมายังแดนต้องห้ามของตระกูลจางด้วยตัวเอง จี๋เหล่าซิงบอกว่าเจ้าเป็นดาวมารจุติลงมา ตอนแรกข้าไม่เชื่อ เพียงแต่เมื่อได้เห็นฟ้าเกิดอาเพศเช่นในตอนนี้ จึงค่อย…” จางจุ่นผุดสีหน้าลำบากใจ “ตอนนี้เจ้ายังยอมแพ้ทัน ข้าส่งคนไปแจ้งบิดาเจ้าแล้ว”
“ไม่เข้าใจว่าพวกท่านพูดอะไรกัน” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว “คนที่ข้าพามาด้วยเล่า”
“กักขังไว้แล้ว ลู่จ้ง งอมือให้จับเสียโดยดี ตอนนี้ยังทันอยู่” จางจุ่นกล่าวเตือนด้วยสีหน้าหนักใจ
“นำคนกลับมา เรื่องนี้เป็นอันเลิกรา” ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบนอก เห็นเงาคนจำนวนไม่น้อยผลุบๆ โผล่ๆ พลังวิญญาณหลายสายสานกันเป็นตาข่ายแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่มโหฬารเหมือนกับใยแมงมุม หมายจะห่อหุ้มเขาไว้ตรงกลาง
“เป็นไปไม่ได้ ลู่จ้ง ยอมแพ้เถอะ ค่ายกลนี้มีชื่อว่าค่ายกลสวรรค์กักความชั่วร้าย เกิดว่ากางออกแล้ว จะเหมือนกับแหฟ้าตาข่ายดิน ไม่อาจดิ้นหลุดได้เด็ดขาด ต่อให้เป็นระดับสูงส่งก็ตาม…” จางจุ่นเกลี้ยกล่อม “ดังนั้น ยอมแพ้เสียเถอะ ข้ารับประกันว่าจะไม่ฆ่าเจ้า”
“ช่างเถอะ มักมีคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” ลู่เซิ่งถูกเด็กน้อยผู้นั้นวางแผนเล่นงาน เดิมทีคับข้องใจอยู่บ้าง ตอนนี้ดูจากสภาพนี้แล้ว ถึงกับถูกวางแผนเล่นงานซ้ำสอง เขาบังเกิดเพลิงโทสะขึ้นในใจ สายตาเริ่มเลื่อนไปทั่วหุบเขา
“ยังมีเด็กน้อยที่เมื่อครู่วางแผนเล่นงานข้า ในหนึ่งร้อยลมหายใจ หากไม่เจอคน พวกท่านสามคนก็อย่าคิดกลับไปเลย”
“ดูเหมือนต้องสู้กันก่อนถึงจะค่อยคุยกันได้” จางจุ่นถอยหลังก้าวหนึ่ง สองมือประสานมุทราท่าหนึ่งในพริบตา
วู้ม!
แสงสีขาวบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งแผ่ตลบอบอวลรอบๆ คนทั้งสี่ จากนั้นก็มีเถาวัลย์เล็กละเอียดที่ส่องแสงสีขาวบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งงอกขึ้นมาในรัศมีหลายสิบหมี่โดยมีคนทั้งสี่เป็นศูนย์กลาง
เถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งแผ่ความเย็นเยียบเสียดกระดูกผนึกอาณาเขตรอบๆ ตัวลู่เซิ่งไว้อย่างรวดเร็ว แม้แต่ทิศทางด้านบนก็มีควันขาวหนาแน่นระเหยขึ้นมาเช่นกัน
ฟิ้ว!
เหนือศีรษะลู่เซิ่งมีเชือกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ทุกๆ ช่วงหนึ่งบนเชือกแขวนกระดิ่งสลักอักขระที่ประณีตเอาไว้ กระดิ่งทุกใบเป็นสีทองขาว หมอกแดงหนาแน่นแผ่กระจายลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว
หมอกแดงกับควันขาวสะท้อนแสงใส่กันและผสมผสานกัน หนีบลู่เซิ่งไว้ตรงกลาง กลิ่นอายสองชนิดผสมกันพร้อมกับแผ่วัตถุในสภาพเป็นเม็ดๆ สีดำที่เล็กละเอียดออกมาอย่างรวดเร็ว
วัตถุสภาพเป็นเม็ดๆ เหล่านี้เหมือนกับสิ่งมีชีวิต พุ่งเข้ามาหาลู่เซิ่งโดยมีความคิดกลืนกินอย่างละโมบ
“นี่คือค่ายกลปีศาจกินวิญญาณระดับสูงสุด หากถูกมันผนึกไว้ ก็จะสิ้นเรี่ยวแรงขัดขืน ค่ายกลนี้สามารถผนึกพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างเจ้าได้ งอมือให้จับเสียโดยดีเถอะลู่จ้ง เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว” จางจุ่นถอนใจกล่าว
ลู่เซิ่งมองเม็ดสีดำที่ลอยมาแล้วค่อยๆ ยื่นมือออกไป
“โง่เง่าเต่าตุ่น” ความคิดที่เขาคิดจะให้โอกาสตระกูลจางหายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
…
หลายวันให้หลัง ยอดฝีมือตระกูลจางแห่งธารเมฆาซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลคุ้มครองและเป็นหนึ่งในตระกูลเร้นลับ สูญหายไปในคืนเดียว ระดับสูงส่งสี่คนประกาศกักตนแทบจะพร้อมกัน ประมุขตระกูลจางจุ่นถูกกดดันให้ลงจากตำแหน่ง ผู้รับตำแหน่งประมุขตระกูลแทนคือจางซือโฉวน้องรองของเขา ส่วนตัวเขาป่วยตายคาเตียง
อาณาเขตของขุมกำลังในแต่ละที่ของตระกูลจางหดตัวลงอย่างรุนแรง เมื่อไม่มีระดับสูงส่งคอยคุ้มครอง ตระกูลในสังกัดแต่ละแห่งก็เริ่มก่อการ
ไม่นานอีกข่าวหนึ่งก็กระจายไปทั่ววงการลับแต่ละแห่งของต้าเซี่ย
ลู่จ้งคุณชายใหญ่ตระกูลลู่เล่นงานระดับสูงส่งสี่คนของตระกูลจางจนบาดเจ็บสาหัส พร้อมกับทำลายค่ายกลแดนต้องห้ามในหุบเขาด้านหลังเขาแห่งความมืดทิ้ง
หลังจากพานพบเหตุการณ์นี้ ตระกูลจางที่เหมือนดวงอาทิตย์กลางหาวก็ตกต่ำสู่ก้นเหวในพริบตา ระดับสูงส่งสี่คนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องกักตนรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนประมุขตระกูลต้องเปลี่ยนคนใหม่แทน กิจการของตระกูลมีเหล่าหมาป่าคอยวนเวียนเพื่อหาทางขย้ำก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งออกมาทุกเวลา
ตระกูลจางถูกลู่เซิ่งเพียงคนเดียวลากลงมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
คำพยากรณ์ของจี๋เหล่าซิงกระจายไปทั่วต้าเซี่ยพร้อมกับความตกต่ำของตระกูลจาง
ในแวดวงพลังวิญญาณเร้นลับที่ตั้งตัวเป็นอิสระบนยุทธภพเกิดข่าวลือว่า ตระกูลลู่ให้กำเนิดลู่จ้งซึ่งถูกประณามว่าเป็นดาวมาร
ข่าวลือเรื่องที่ภัยพิบัติจะบังเกิดเมื่อดาวมารจุติค่อยๆ แพร่กระจายออกไป
ส่วนลู่เซิ่งที่ทำลายเสากาลเวลาต้นแรกเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ได้ออกจากอาณาเขตขุมกำลังของตระกูลจางและกำลังมุ่งหน้าไปยังปู้ซาเจีย สถานที่ลับที่เสาต้นที่สองตั้งอยู่
……………………………………….