ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 458 คฤหาสน์มืด (4)
บทที่ 458 คฤหาสน์มืด (4)
“มีคนไหม” ลู่เซิ่งเคาะประตู
ประตูอาคารที่เป็นไม้หุ้มด้วยเหล็กโยกไหวช้าๆ ด้านในว่างเปล่า เปี๋ยเฟยเฮ่อที่เพิ่งเข้าไปหายตัวไปในเวลาสั้นๆ
เดิมทีเป้าหมายที่ลู่เซิ่งมาที่นี่ก็คือการตรวจสอบสถานที่ลับและเสากาลเวลา เขาทำลายเสาต้นแรกไปอย่างราบรื่น แต่คิดจะตามหาเสาต้นที่สองรวมถึงทำลายมัน ลู่เซิ่งรู้ดีว่าน่าจะลำบากกว่าเสาต้นแรก
ด้านในอาคารไม่มีใครตอบ มีแต่เสียงที่ลู่เซิ่งเพิ่งตะโกนออกไปดังสะท้อนไปมา
“หายไปแล้วหรือ”
ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองชั้นที่หนึ่งของคฤหาสน์มืดเบื้องหน้า
เครื่องเรือนเป็นไม้เก่าและผุพัง ม่านหน้าต่างที่หนาหนัก ม้วนภาพที่เหลือแค่แกนม้วนภาพแขวนอยู่บนผนัง อาหารสำหรับใช้เซ่นไหว้ส่วนหนึ่งบนโต๊ะแห้งกรังและขึ้นราเป็นสีดำ ธูปที่ยังไหม้ไม่หมดสองสามก้านปักอยู่ในกระถางธูปสำริดใบหนา
เขาเดินไปดูกระถางธูป ได้กลิ่นหอมประหลาดๆ เหมือนกลิ่นชะมด แต่ก็จางไปมากแล้ว
“อาจารย์” อยู่ๆ ตรงปากบันไดก็มีเสียงที่แฝงความเคร่งขรึมของเปี๋ยเฟยเฮ่อดังมาจากมุมโค้ง “ข้าเจอของบางอย่างที่ชั้นสอง ท่านรีบมาดูเถอะ”
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วพลางหันกลับไป เห็นใบหน้าอันชัดเจนที่ซีดขาวเล็กน้อยของเปี๋ยเฟยเฮ่อโผล่มาตรงปากบันไดที่มืดทะมึน นางคล้ายกับร้อนใจและกระสับกระส่ายอย่างควบคุมไม่ได้
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร” ลู่เซิ่งไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับทันที
“อาจารย์…ท่านเป็นอะไรไป” ใบหน้าซีดขาวของเปี๋ยเฟยเฮ่อค่อยๆ หายไปในความมืด เสียงค่อยๆ ดังมาจากชั้นที่สอง
ลู่เซิ่งมีสีหน้าแปลกใจ เขาไม่ได้ตอบ หากเดินไปถึงปากบันไดอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง แล้วมองขึ้นไป
ทันใดนั้น เขาก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของเปี๋ยเฟยเฮ่อยืนอยู่ตรงปากบันไดชั้นสอง นางเดินไปถึงชั้นสองแล้ว มือถือโคมไฟ จ้องมองทิศทางหนึ่งบนนั้นด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
“อาจารย์…ยุ่งยากแล้ว…ท่านมาดูเถอะว่าควรจัดการอย่างไร…แย่แล้ว ของสิ่งนั้นวิ่งแล้ว!”
เปี๋ยเฟยเฮ่อที่กำลังพูดอยู่สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางพุ่งเข้าระเบียงชั้นสองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีเสียงชนกระแทกโครมครามดังมา
ลู่เซิ่งก้าวเท้าฉับๆ พุ่งขึ้นชั้นสอง แล้วหยุดยืนอยู่ตรงปากบันได เขาเห็นร่างของเปี๋ยเฟยเฮ่อมุดเข้าห้องตรงกลางตรงระเบียงทางซ้ายพอดี
“โอ๊ย!” อยู่ๆ ด้านในห้องก็มีเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดของเปี๋ยเฟยเฮ่อดังมา
ลู่เซิ่งรีบพุ่งเข้าไป เมื่อมาถึงหน้าประตู ก็เห็นเปี๋ยเฟยเฮ่อที่มีบาดแผลเต็มตัวตรงประตูพอดี สตรีอ้วนร่างยักษ์คนนี้ล้มอยู่บนพื้นด้วยร่างโชกเลือด กำลังตะเกียกตะกายคลานมาทางลู่เซิ่ง
“ช่วย…ช่วยด้วย…”
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งเข้าไปถีบใส่อกของนาง
พละกำลังอันมหาศาลกระแทกเปี๋ยเฟยเฮ่อให้กระเด็นไปชนกับกำแพงด้านข้าง กำแพงถูกกระแทกจนยุบลงเป็นช่องใหญ่ ปากแผลบนร่างเปี๋ยเฟยเฮ่อพลันมีเลือดกระฉูดออกมามากกว่าเดิม
“โง่เง่า! หากเป็นศิษย์ข้าจริงๆ ควรรู้ว่าขอร้องข้าไปก็มีแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้น!” ลู่เซิ่งหัวเราะเสียงเย็นชาพร้อมกับก้าวเข้าไปกระทืบศีรษะของ ‘เปี๋ยเฟยเฮ่อ’ อย่างรุนแรง
“สวะสมควรไปตายเสีย!”
พรึ่บ!
ทุกสิ่งตรงหน้าบิดเบี้ยวและสลายไป ลู่เซิ่งจึงค่อยรู้สึกตัวว่าเขากำลังยืนอยู่ในโถงใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่คล้ายๆ โถงจัดงานเลี้ยงอันว่างเปล่า
‘นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของชั้นที่สองหรือ’ ลู่เซิ่งกวาดตามอง แต่ไม่เจอร่องรอยของเปี่ยเฟยเฮ่อหรือผู้ใด
พรมสีดำผืนหนาปูอยู่บนพื้น บนพรมมีโพรงสีดำขนาดใหญ่จำนวนมาก ลมเย็นเยียบพัดอยู่ด้านใน ส่งกลิ่นเน่าฉุนจมูกออกมาตลอดเวลา
ทั้งๆ ที่ตรงนี้เป็นชั้นที่สอง แต่โพรงดำกลับมีความลึกมากกว่าความหนาของพื้นชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สอง
“นางไม่ใช่ลูกศิษย์ของเจ้าหรือ เหตุใดเจ้าจึงไม่เป็นห่วงนางแม้แต่น้อย” บุรุษวัยหนุ่มสวมชุดคลุมสีเงินอ่อนนั่งบนบัลลังก์หรูหราตัวหนาอยู่อีกด้านของประตูโถงใหญ่ สีหน้าสับสนตะลึงงัน
“ช่างเถอะ อย่างไรก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ พวกเขาบอกว่าเจ้าแตกต่างจากคนอื่นๆ ถึงข้าจะมองไม่ออกว่าเหตุใดสัตว์ประหลาดตัวนั้นถึงเลือกเจ้า แต่การกระทำทั้งหมดของเจ้าต้องหยุดลงเพียงเท่านี้แล้ว”
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่เปี๋ยเฟยเฮ่อเรียกเขาว่าอาจารย์ เขาก็รู้แล้วว่าต้องมีเลศนัยแน่ ตอนนี้นับว่าในที่สุดความยุ่งยากก็มาหาถึงที่แล้ว เทียบกับความสบายในครั้งแรก ครั้งนี้จะต้องยากกว่าครั้งก่อนมากแน่ เขาได้เตรียมใจเอาไว้แล้วเช่นกัน
“เจ้าเป็นใคร เป็นคนที่คิดจะหยุดข้าหรือ”
บุรุษนั้นพลันหัวเราะลั่น
“เจ้าจะมาช่วยคนไม่ใช่หรือ หากคิดช่วยคนก็ต้องทำตามกฎของข้า” เขาโบกมือ ฉับพลันนั้นร่างกายที่สลบไสลร่างหนึ่งลอยขึ้นมาจากโพรงโพรงหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
“หลุมดำทุกหลุมของที่นี่บรรจุผู้มาจากภายนอกที่เพิ่งเริ่มย่อยสลายไว้คนหนึ่ง คนที่เจ้าต้องการตามหาอยู่ในนี้…จริงสิ ขอเตือนสักประโยค หากหาผิดตัว คนที่เจ้าชี้ตัวจะตายทันที และเจ้าต้องหาคนมาเติมช่องว่างที่เหลืออยู่” บุรุษคล้ายกำลังดำเนินการละเล่นประหลาดบางอย่าง
“เจ้าเป็นคนของคฤหาสน์มืดหรือ” ลู่เซิ่งไม่สนใจว่าเขาพูดอะไร หากถามกลับตรงๆ
“ใช่” บุรุษนั้นยิ้ม “โลกนี้ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่เจ้าจินตนาการหรอก ข้าชื่อเฮยเสิง จริงสิ ถ้าเจ้าทายผิดสามครั้ง ข้าจะสังหารเจ้า”
“เสากาลเวลาเล่า” ลู่เซิ่งถาม
“เจ้าจะเห็นเอง อยู่ด้านหลังข้า” เฮยเสิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาสวมชุดกับกางเกงสีดำแบบเย็บติดกัน นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่เหมือนกับเอาถ่านดำมากองรวมกัน
“ข้ามาที่นี่เพื่อรอเจ้าโดยเฉพาะ ย่อมรู้ดีว่าเจ้ามาหาเสากาลเวลา” เฮยเสิงอธิบาย
ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งขรึม ทราบว่าในที่สุดการทำลายเสากาลเวลาต้นที่หนึ่งของตนก็ทำให้ขุมกำลังระดับสุดยอดในโลกใบนี้เคลื่อนไหวแล้ว
แต่เป้าหมายของเขาเป็นแค่การทำตามคำไหว้วานของจวี้เยี่ยนเท่านั้น ไม่ใช่การต่อสู้กับขุมกำลังระดับสุดยอดของโลกใบนี้โดยตรง บางทีอาจจะมีโอกาสอื่นๆ อยู่ตรงกลาง ทว่าลู่เซิ่งไม่คิดจะวกอ้อมไปมา
“อย่างนั้นพวกเรามาเล่นด้วยกัน ขอแค่ข้าทายถูก ก็จะพาคนไปได้หนึ่งคนถูกหรือไม่” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม
“ถูกต้อง” เฮยเสิงพยักหน้า
“ก็ได้ ข้าทาย” ลู่เซิ่งมองโพรงดำที่กระจายอยู่เต็มโถงใหญ่ พร้อมกับเดินไปยังด้านหน้าโพรงดำโพรงหนึ่ง
“ในหลุมนี้ไม่ใช่คนของข้า” เขาพลันส่ายหน้า แล้วก็เดินไปยังหลุมอีกหลุมพร้อมกับสำรวจต่อ
เฮยเสิงเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร
ลู่เซิ่งเดินไปถึงหน้าหลุมที่สอง “หลุมนี้ก็ไม่ใช่”
หลุมที่สาม หลุมที่สี่ หลุมที่ห้า ล้วนไม่ใช่ สีหน้าของเฮยเสิงเริ่มเหยเกแล้ว ลู่เซิ่งเดินแทบจะทั่วโถงใหญ่
“หลุมนี้” อยู่ๆ เขาก็ชี้หลุมดำที่มีขนาดใหญ่หน่อยพร้อมกับพูดว่า “ศิษย์ของข้าและเหมยโย่วเจียงที่มาที่นี่ก่อนหน้าล้วนอยู่ตรงนี้”
เงียบสงัด…
เฮยเสิงมุมปากกระตุก สุดท้ายก็ยกคนในหลุมดำให้ลอยขึ้นมา
เป็นอย่างที่คาด ด้านในปรากฏเปี๋ยเฟยเฮ่อกับเหมยโย่วเจียงที่ยืนอยู่กลางอากาศ
“เอาล่ะ จัดการเรียบร้อย จงทำตามคำสัญญาซะ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ”
เฮยเสิงเงียบเสียง
“ขออภัย ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้าจะต้องทายให้ถูกสามครั้ง ถึงจะพาพวกนางไปได้!” เขาพลันยิ้มอย่างลึกลับ “ทุกคนต้องทายถูกสามครั้ง!”
ลู่เซิ่งงุนงง ก่อนจะตอบกลับ
“ก็ได้”
แล้วเขาก็เดาถูกทุกคำตอบภายใต้การจับตามองที่ตกตะลึงเป็นพิเศษของเฮยเสิงได้อย่างสบาย
“ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้” ไม่นานลู่เซิ่งก็ชี้ตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง
เฮยเสิงสีหน้าบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ ลู่เซิ่งชี้ตำแหน่งทั้งหมดได้อีกครั้งโดยไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย
“คราวนี้พอหรือยัง” ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ขอบหลุมหลุมหนึ่งถาม
เฮยเสิงกัดฟันกรอด ใบหน้าบูดบึ้งเหยเก แต่ก็จนปัญญา ต่อให้เป็นเขา เมื่ออยู่ในโลกนี้ก็ได้แต่ต้องทำตามกฎเช่นกัน
เพียงแต่ว่า
“ไม่! ไม่ได้! เจ้าโกง! บัดซบเอ้ย ถ้าเจ้าไม่โกง จะทายถูกทุกรอบได้อย่างไร!” เฮยเสิงพลันส่งเสียงร้อง เขาโมโหจริงๆ ที่แผนการซึ่งตนเองคิดอย่างยากลำบากถูกแก้ไขได้ง่ายๆ แบบนี้ ถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองมีช่องโหว่ตรงไหน
ลู่เซิ่งมีสีหน้าค่อนข้างเรียบเฉย คล้ายกับคาดเดาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเฮยเสิงจะต้องเสียใจแน่
“อย่างนั้นมาสู้กันสักครั้งไหม ไม่ต้องใช้ชีวิตคนอื่น เดิมพันชีวิตของเจ้าและข้านี่แหละ”
พอได้ยินลู่เซิ่งพูดประโยคนี้ สีหน้าของเฮยเสิงที่ตอนแรกร้อนรนก็ชะงักค้างในทันที ใบหน้าของเขาประเดี๋ยวซีดขาวประเดี๋ยวเขี้ยวคล้ำ พูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ
“ไม่กล้าหรือ อย่างนั้นก็ช่างเถอะ เสากาลเวลาเล่า” ลู่เซิ่งประคองเปี๋ยเฟยเฮ่อกับเหมยโย่วเจียงออกจากโถงใหญ่ สุดท้ายก็ถามเฮยเสิงก่อนจะจากไป
“หากเจ้าหาเจอก็เอาไปเองเถอะ” เฮยเสิงทำท่ากัดฟันกรอด ทั้งๆ ที่อยากลงมือมาก แต่คล้ายติดที่อะไรบางอย่างจึงอดกลั้นไว้
นี่ทำให้ลู่เซิ่งรู้สึกประหลาดใจ การเป็นปฏิปักษ์ของอีกฝ่ายไม่ได้รุนแรงเหมือนที่เขาได้คาดไว้ ความจริงเขารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนเจอเสากาลเวลาต้นแรกแล้ว
ลู่เซิ่งพาทั้งสองออกมาจากอาคารเล็ก แล้ววางทั้งสองไว้บนพื้นหญ้า ก่อนจะหันกลับไปมองชั้นสองของอาคาร
ใบหน้าของเฮยเสิงปรากฏตรงหน้าต่างอย่างเลือนรางทั้งยังฉายแววได้ใจ
“ปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนี้หรือ จะทำแบบนี้จริงๆ หรือ” เฮยเสิงหันกลับไปมองคนอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เดิมทีทุกคนวางแผนไว้หมดแล้วไม่ใช่หรือ” คนผู้นี้มีสีหน้าเรียบเฉย “ลู่จ้งเป็นดาวมารจุติ มีแต่เขาเท่านั้นที่ทำลายเสากาลเวลาได้ คนอื่นๆ ทำไม่ได้ จวี้เยี่ยนอาศัยพลังของเขาเปิดพันธนาการบนร่างของตัวเอง พวกใต้เท้าต่างก็อนุญาตแล้ว ตอนนี้เหตุใดเจ้ายังไม่ยอมอีก เป็นเพราะว่าลู่จ้งผู้นั้นฝึกฝนพลังวิญญาณที่มนุษย์ยากจะควบคุมได้อย่างนั้นหรือ”
เฮยเสิงได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป “ข้าก็แค่ไม่สบอารมณ์ ไม่สบอารมณ์กับท่าทางเย็นชาที่ไม่เห็นสิ่งใดในสายตาของมันเท่านั้น เจ้าเองก็รู้ว่า ตั้งแต่เด็กแล้วที่ข้า…รอประเดี๋ยว! นั่นคืออะไร?!”
ฟ้าว!
เฮยเสิงพุ่งถึงหน้าต่าง เห็นแสงสีทองตกใส่เรือนตรงกลางคฤหาสน์มืดพร้อมเสียงดังสนั่นพอดี
ไม่รอให้เขาดีใจที่เห็นแสงสีทองตกผิดตำแหน่ง
“รีบหมอบลงเร็ว!” อยู่ๆ เสียงเร่งร้อนก็ดังมาจากด้านหลัง
เฮยเสิงพุ่งล้มตัวลงโดยสัญชาตญาณ
ตูม!
ชั่วพริบตานั้นดาบใหญ่สีทองสายหนึ่งพุ่งผ่านศีรษะเขาไป ส่วนยอดของคฤหาสน์มืดถูกดาบนี้ฟันขวางจนปลิวกระจุย
เศษหินและแผ่นกระเบื้องจำนวนมากตกกระจัดกระจาย
แค่กๆๆ…
แสงสีดำกะพริบทั่วร่างเฮยเสิง เขาตกใจขวัญหาย ขาดไปนิดเดียว อีกนิดเดียวเขาจะถูกแยกจากหนึ่งเป็นสอง โดนฟันตายคาที่
“อ้อ? หลบเร็วดีนี่” เสียงของลู่เซิ่งดังมาจากอากาศเหนือศีรษะ
เฮยเสิงยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกคนจิกผมกระแทกเข้ากับพื้น
ตูม!
พื้นชั้นสองของคฤหาสน์มืดถูกทุบทะลุ พื้นหินของชั้นหนึ่งถูกกระแทกเป็นหลุมใหญ่ลึกหนึ่งหมี่กว่าๆ กรวดหินดินทรายลอยฟุ้งกระจัดกระจายไปทั่ว
เฮยเสิงศีรษะอาบเลือด ชักกระตุกอยู่บนพื้น ขยับเขยื้อนไม่ได้
ลู่เซิ่งปล่อยมือ ปล่อยให้ศีรษะของเขาหล่นลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง
“อ่อนแอจริง…”
เขาเงยหน้าขึ้น ไม่ได้สนใจเฮยเสิง หากมองไปยังเงาสีดำอีกสายที่กระโดดลงมาจากชั้นสองอย่างช้าๆ
“เจ้าดูเหมือนจะไม่เลว”
……………………………………….