ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 460 ชั่วคราว (2)
บทที่ 460 ชั่วคราว (2)
“เจ้า…คิดสังหารข้าหรือ” หน้ากากขาวถามเบาๆ อย่างอ่อนแรง
“แน่นอนว่าไม่” ลู่เซิ่งยิ้ม “ข้าไม่เคยสังหารใคร ข้าเพียงแค่ส่งพวกเขาไปยังโลกที่ตัวเองต้องการเท่านั้น อย่างเช่น…”
เขาชี้มือขวาไปที่เฮยเสิงซึ่งอยู่ด้านข้างเบาๆ
“แบบนี้”
เปรี้ยง!
ศีรษะเฮยเสิงระเบิดออกเหมือนกับแตงโมที่ถูกทุบแตก สิ่งที่มีสีแดงกับขาวโปรยปรายเป็นกลุ่มหนึ่งในพริบตา
ลู่เซิ่งค่อยๆ เลื่อนนิ้วไปถึงหน้าผากของหน้ากากขาว
เกิดเสียงพึมพำอันแปลกประหลาดดังขึ้น ดวงตาของหน้ากากขาวตกสู่ความงุนงงสับสนอย่างรวดเร็ว ความสามารถของอสรพิษริษยาแข็งแกร่งกว่าเดิมแล้ว
ภาพความทรงจำใหม่ๆ มากมายเริ่มประกอบขึ้นในห้วงสมองของหน้ากากขาวโดยอัตโนมัติ
ขณะเดียวกันพลังวิญญาณสีทองคำขาวของลู่เซิ่งก็กระจัดกระจายอย่างเงียบๆ เช่นกัน พวกมันปกคลุมและแผ่กระจายไปยังวัตถุที่อยู่รอบๆ นี่เป็นความทรงจำที่ลู่เซิ่งจงใจทิ้งเอาไว้ หลังจากเขาแสดงร่างหลัก ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตนกำลังถูกดาวเคราะห์ดวงนี้กดดันและปฏิเสธอยู่
แรงผลักดันนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา
‘หากไม่มีกายเนื้อ นี่จะเป็นผลลัพธ์สุดท้ายหรือ’ แม้จะทิ้งความทรงจำไว้แล้ว แต่ลู่เซิ่งก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก หากกลับมาได้ก็ดี ถ้ากลับมาไม่ได้ก็คงได้แต่พอเท่านี้
ในการทำความปรารถนาของลู่จ้งให้เป็นจริงในครั้งนี้ แม้จะหลอมรวมกับกายเนื้อของลู่จ้งแล้ว แต่เนื่องจากเหตุและผลยังไม่จบลง เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตนยังไม่ได้หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของลู่จ้งโดยสมบูรณ์
ดังนั้นการเดินทางมายังโลกด้านนอกของเขาในครั้งนี้จึงไม่นับว่าสมบูรณ์แบบ
ดีที่ตามบันทึกในคัมภีร์หยกซึ่งจวี้เยี่ยนมอบให้ ทำให้เขาค้นหาตัวเองในโลกใบอื่นเพื่อกำหนดการเดินทางครั้งต่อไปได้เอง
เมื่อพลังวิญญาณประสานกับแก่นหยาง ก็เริ่มสร้างตราประทับย้อนกลับตามบันทึกในคัมภีร์ ลู่เซิ่งสร้างตราประทับย้อนกลับไปพลาง เริ่มตักตวงสิ่งของบนตัวหน้ากากขาวไปพลาง
เขาสะบัดตัวหน้ากากขาวใส่พื้น สิ่งของมากมายกระจายออกมาเป็นจำนวนมาก ทั้งทองคำ พู่กัน ถุงมือ คัมภีร์ และหินหยก
ไม่นานเขาก็เจอวิธีการฝึกฝนพลังวิญญาณที่หน้ากากขาวใช้จากในคัมภีร์หลายเล่ม นี่จึงเป็นเป้าหมายของเขา
ลู่เซิ่งโยนหน้ากากขาวออกไปแล้วพลิกคัมภีร์ดู บนบันทึกมีวิธีการฝึกฝนพิเศษเกี่ยวกับทักษะพลังวิญญาณอยู่ไม่น้อย
‘ไอ้นี่ไม่เลว’ เขาทำได้แค่พิจารณาคัมภีร์หยก ไม่อาจเอามาใช้ในความเป็นจริงได้ ผลของการทดลองจึงยังไม่ทันออกมา ทว่าลู่เซิ่งไม่คิดว่าจวี้เยี่ยนจะเป็นคนอุทิศตนโดยไม่หวังผลตอบแทน หากว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา เปลี่ยนเป็นตัวเขาเอง ก็คงต้องวางกลลวงไว้ในคัมภีร์หยกเช่นกัน
เก็บคัมภีร์ไว้ สุดท้ายลู่เซิ้งทิ้งพลังวิญญาณพิเศษของตนไว้ส่วนหนึ่ง ให้มันกระจายไปรอบๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกทิศทางในตอนขากลับมา
ไม่นาน ตราประทับย้อนกลับก็สร้างเสร็จ เป็นสิ่งของกึ่งโปรงแสงเหมือนกลีบดอกไม้แก้ว
คัมภีร์หยกเรียกสิ่งนี้ว่าบุปผาแห่งความว่างเปล่า
ลู่เซิ่งกดมือลงบนบุปผาแห่งความว่างเปล่า จิตวิญญาณสั่นสะเทือน เริ่มใช้ของสิ่งนี้สัมผัสโลกเดิมของตน
แต่ว่าเขายังคงเสียดายเล็กน้อย โลกใบนี้ยังเหลือความลับมากมาย จวี้เยี่ยน พลังวิญญาณ วิญญาณร้ายในตราผนึก เมล็ดที่ผนึกสร้างขึ้นมาได้เม็ดนั้น และเหมยโย่วเจียง…
‘หวังว่าครั้งหน้าจะกลับมาได้อีก’ หลังนึกในใจเป็นครั้งสุดท้าย บุปผาแห่งความว่างเปล่าตรงหน้าลู่เซิ่งก็ระเบิดออกอย่างฉับพลันแล้วกลายเป็นช่องว่างทรงกลม ด้านในมีสิ่งของที่เหมือนกับสายน้ำสีเทาจำนวนมากไหลเวียนอยู่
กลิ่นอายของสารกายที่คุ้นเคยโชยออกมาจากในสายน้ำ
เขาหันกลับไปมองทิศทางที่จวี้เยี่ยนอยู่แล้วหมุนตัวพุ่งเข้าไปในวังวน พริบตาเดียวก็หายสาบสูญไป
ช่องว่างทรงรีหดเล็กและหุบตัวปิดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายไม่ถึงสิบวินาทีก็หายไปในอากาศ
หน้ากากขาวบนพื้นไม่ขยับเขยื้อน แต่ว่าด้านในซากคฤหาสน์มืดที่อยู่ไกลออกไปมีเงาร่างสองสายตะเกียกตะกายลุกขึ้น พร้อมกับมองรอบๆ ด้วยความสงสัย
ในนี้คือซูหรั่นผู้ซึ่งก่อนหน้านี้มาตรวจสอบที่คฤหาสน์มืดนั่นเอง เขาพิจารณารอบๆ อย่างฉงนใจ อยู่ๆ ก็ปวดที่คอ รีบยื่นมือไปคลำบริเวณที่ปวด แต่กลับลูบไม่เจอสิ่งใด
‘ถลอกอย่างนั้นหรือ ครั้งนี้โชคดีจริงๆ ต้องรีบออกไปแล้ว’ ซูหรั่นไม่ได้รู้สึกเลยว่าบนคอตัวเองมีงูมีปีกสีแดงเข้มที่กำลังกางปีกตัวหนึ่งไต่ให้เห็นปราดหนึ่งแล้วหายไป สิ่งที่น่าพิศวงก็คือขนปีกของงูมีปีกตัวนี้เป็นสีทอง
ซูหรั่นออกจากซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว จากนั้นติดๆ กันก็มีคนทยอยกันฟื้นขึ้นมาในซากอาคารก่อนจะผละไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
คนเหล่านี้ต่างมีจุดพิเศษร่วมกันจุดหนึ่ง คือบนคอของพวกเขามีลวดลายงูมีปีกสีแดงเข้มตัวหนึ่งกะพริบแล้วหายไป
……
ข้างใต้หมู่บ้านควันม่วง
จวี้เยี่ยนนั่งบนบัลลังก์อย่างสงบนิ่ง
‘ถูกกดดันให้จากไปแล้วหรือ แต่ก็ยังดีที่ยังมีผลลัพธ์ ทำลายเสากาลเวลาไปได้ต้นหนึ่ง’ เขาเคาะนิ้วบนบัลลังก์ช้าๆ
‘เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน มารสวรรค์น้อยผู้นี้แปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ เพิ่งฝึกพลังวิญญาณไปได้ไม่นาน แต่กลับเลื่อนถึงระดับมังกร เข้าสู่ระดับเมล็ดสัมผัสวิญญาณแล้ว…ทั้งๆ ที่ข้าไม่ได้มอบวิชาต่อเนื่องให้มันแท้ๆ ดูท่าต้องหาเป้าหมายใหม่เพื่อควบคุมเสียแล้ว’
เขามองวิญญาณร้ายด้านล่างด้วยสายตาเย็นชา ในใจมีความคิดที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
……
ต้าอิน ทะเลบูรพา เกาะมายา
หมอกสีเทาอันหนาแน่นแผ่ตลบอบอวลอยู่บนลานกว้างที่ว่างเปล่า ทำให้ลานกว้างทั้งหมดตกสู่ความขมุกขมัว
วังวนสีเทากลุ่มหนึ่งกางออกในอากาศด้านหน้าบ่อน้ำรูปหกแฉกตรงกลางลานกว้างอย่างฉับพลัน ก่อนจะขยายขนาดจนสูงเท่าหนึ่งคนครึ่งอย่างไร้สุ้มเสียง
เงาร่างสีดำน่ากลัวสายหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นลู่เซิ่งที่เพิ่งจะกลับมาจากโลกพลังวิญญาณ
‘กลับมาได้จริงๆ หรือนี่’ ลู่เซิ่งตั้งหลัก เกราะเกล็ด หาง และฟันแหลมบนร่างพากันหายไป กลับเป็นสภาพมนุษย์ธรรมดาในตอนแรก
ลู่เซิ่งมองช่องลึกกลางวังวนในบ่อน้ำพลางย้อนนึกถึงมือสีดำอันน่าหวั่นสะพรึงที่เคยปรากฏขึ้นข้างนั้น อริยะเจ้าที่ก่อนหน้านี้เฝ้าอยู่ด้วยกันไม่มีความสามารถต่อต้านแม้แต่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน นั่นจะต้องเป็นสัตว์ประหลาดระดับเจ้าแห่งอาวุธแน่
‘ไม่รู้ว่าเราใช้ชีวิตในโลกพลังวิญญาณมานาน ทางนี้เวลาจะไหลไปเท่ากันไหม’ เขาเคยอ่านบันทึกส่วนหนึ่งที่บอกว่าการไหลของเวลาในโลกใบเล็กๆ กับต้าอินมีความแตกต่างกัน
เหมือนกับที่หอคอยวิญญาณจริงแท้ในสามสำนักก็เป็นสิ่งก่อสร้างซึ่งเวลาไหลต่างกัน แน่นอนว่าในสามตระกูลใหญ่ก็มีสิ่งก่อสร้างคล้ายๆ กัน แต่คำเรียกอาจจะไม่เหมือนกัน
ลู่เซิ่งเดินวนอ้อมบ่อน้ำรอบหนึ่ง พอไม่พบร่องรอยการกลับมาของอริยะเจ้าคนที่เหลือ จึงทราบว่าพวกเขาคงจะต้องถูกสังหารไปแล้ว ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่อาศัยอีกาดำของสือจื้อซิงในโลกแห่งความเจ็บปวด เขาอาจประสบเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี
เขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป
ต้าอินมียอดฝีมือนับไม่ถ้วน แม้ฟ้าถล่มลงมาก็มีเจ้าแห่งอาวุธแบกรับไว้ ลู่เซิ่งจึงตัดสินใจล่าถอยอย่างแน่วแน่
เขากลับไปที่อยู่ของตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อเก็บข้าวของ จากนั้นก็ขยายแก่นหยางเพื่อสร้างม้วนเมฆดำกลุ่มหนึ่ง แล้วบินไปยังทิศตะวันตก
หลังจากบินห่างจากเกาะมายาออกมาได้หลายสิบไห่หลี่[1] เขาจึงค่อยโล่งใจ แล้วเริ่มจัดระเบียบสิ่งที่ได้จากการเดินทางในครั้งนี้
‘อันดับแรกคือได้หลอมรวมกับลู่จ้งในโลกพลังวิญญาณ จิตวิญญาณเลยหนาแน่นขึ้นมาก ทั้งๆ ที่จิตวิญญาณของลู่จ้งซึ่งหลอมรวมด้วยเป็นคนธรรมดาแท้ๆ…แต่กลับทำให้จิตวิญญาณของเราแข็งแกร่งขึ้นถึงขนาดนี้เชียว’ ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กลางเมฆดำ เทียบกับตัวเขาก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังโลกพลังวิญญาณแล้ว เขารู้สึกว่าจิตวิญญาณของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อยห้าส่วน มิหนำซ้ำยังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติไม่น้อยด้วย
‘ถ้าหากบอกว่าจิตวิญญาณของเราในตอนแรกเป็นเหล็กกล้าสีดำสนิทก้อนหนึ่ง อย่างนั้นจิตวิญญาณในตอนนี้ก็มีการใส่อัลลอย์ชนิดพิเศษซึ่งมีโลหะเป็นสัดส่วนเข้าไปด้วย ความแข็งแกร่งและความคงทนจึงได้รับการยกระดับขึ้นอย่างมากมาย’
ลู่เซิ่งประเมินจิตวิญญาณของตนเองในตอนนี้อย่างเรียบง่าย
เขายื่นมือไปคว้าใส่น้ำทะเลตรงหน้า
การคว้านี้ไม่ได้ใช้แก่นหยางใดๆ เพียงแค่ทำให้พลังจิตวิญญาณจับตัวกันแล้วจินตนาการว่าคว้าออกไปเท่านั้น
ซู้ม…
ชั่วพริบตานั้น ผิวทะเลด้านล่างลู่เซิ่งรัศมีในหลายร้อยหมี่ปรากฏรอยมืออันชัดเจนขึ้น
รอยมือลึกขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับมีฝ่ามือล่องหนไร้รูปร่างค่อยๆ วักน้ำทะเลด้านล่างขึ้นมา น้ำทะเลจำนวนมากไม่ได้รั่วไหลออกมาจากกลางฝ่ามือ หากแต่รวมตัวกันอยู่กลางฝ่ามือตั้งแต่ต้นจนจบ
‘ไม่เลว…จิตใจบิดเบือนความเป็นจริง อาณาเขตกับความแข็งแกร่งไม่ได้ดีเด่นนัก แต่ก็ทำให้กระบวนการที่น่าเหลือเชื่อมากมายกลายเป็นจริงได้’ ลู่เซิ่งพอใจในอานุภาพของจิตวิญญาณของตัวเองเป็นอย่างมาก
ตามการเปรียบเทียบ เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนสมควรเป็นอริยะเจ้าระดับเทวปัญญาแล้ว ถึงอย่างไรทงเซิงก็เคยบอกกับเขาว่ามาตรฐานระดับต่ำสุดของเทวปัญญาคือสิ่งใด
ดูจากอาณาเขตกับความแข็งแกร่งในการบิดเบือนความเป็นจริง ณ เวลานี้ คล้ายกับมีจิตวิญญาณระดับเทวปัญญาแล้ว
‘จิตใจได้มาตรฐานแล้ว ต่อจากนี้การทำให้กายเนื้อเลื่อนสู่ระดับเทวปัญญา จำเป็นต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของกฎเกณฑ์ ขอบเขตดาวหยกมี ได้รับกฎเกณฑ์ หลอมกฎเกณฑ์ รวมกฎเกณฑ์ ควบคุมกฎเกณฑ์ และวิถีกำเนิด ห้าขั้น กุญแจสำคัญที่ทำให้กายเนื้อบรรลุระดับเทวปัญญา จะต้องได้รับกฎเกณฑ์ก่อน ปัจจุบันจิตวิญญาณของเรายกระดับขึ้นมาก เลยศึกษาธรรมชาติของไฟหยินหรืออัคคีอนธการได้ง่ายกว่าเดิมแล้ว’
การที่จิตวิญญาณไปถึงระดับเทวปัญญา ไม่ได้หมายถึงว่ามีพลังของอริยะเจ้าระดับเทวปัญญาแล้ว เพียงแต่ลู่เซิ่งเป็นตัวอย่างแบบย้อนกลับเท่านั้น
คนอื่นล้วนศึกษากฎเกณฑ์ของตัวเอง จากนั้นก็จะได้รับกฎเกณฑ์ หลอมกฎเกณฑ์ และรวมกฎเกณฑ์ แล้วจิตวิญญาณก็จะไปถึงระดับเทวปัญญา สุดท้ายค่อยได้รับการยกระดับ
แต่เขาแตกต่างออกไป คือจิตวิญญาณหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของลู่จ้งก่อน จากนั้นค่อยถูกพลังวิญญาณกระตุ้นและยกระดับถึงระดับเทวปัญญา
จากนั้นค่อยกลับมาได้รับกฎเกณฑ์ เริ่มตั้งแต่ตอนแรกสุด
ลู่เซิ่งเริ่มศึกษาต้นกำเนิดและโครงสร้างของอัคคีอนธการอย่างรวดเร็วในขณะที่เหินบิน โดยเริ่มจากมุมมองต่างๆ เช่น คุณสมบัติของอัคคีอนธการ สภาพการดำรงอยู่ตามปกติ สภาพผิดปกติมีกี่อย่าง สภาพสุดโต่งมีกี่ประเภท
จากนั้นก็บันทึกตัวแปรมากมายในสภาพต่างๆ เช่น อุณหภูมิ ความเป็นพิษ การเปลี่ยนแปลงของอาณาเขตที่ส่งผลกระทบในอัตราส่วนที่เท่ากัน ความเข้ากันได้ต่อวัสดุชนิดต่างๆ
ลู่เซิ่งใช้ความคิดและวิทยาศาสตร์ของคนในโลกเดิมศึกษาอัคคีอนธการ ความก้าวหน้าจึงเป็นไปอย่างมีระบบระเบียบและเร็วกว่าอริยะเจ้าคนอื่นๆ อย่างชัดเจน
สิ่งที่อริยะเจ้าคนอื่นๆ ให้ความสำคัญคือความเข้าใจและการตระหนักรู้ โดยจะปล่อยให้ตัวเองเจอเรื่องราวต่างๆ ผ่านการเดินทางจำนวนมาก จากนั้นค่อยสำรวจและสรุปแบบแผนของกฎเกณฑ์ที่ตัวเองครอบครองอยู่ พวกเขาส่วนใหญ่ศึกษาแบบเป็นฝ่ายถูกกระทำ หากแต่ลู่เซิ่งเป็นฝ่ายศึกษาตัวแปรจำนวนมากที่คนอื่นๆ เห็นว่าไม่มีประโยชน์ด้วยตัวเอง
ลู่เซิ่งบินออกจากเกาะมายาในทะเลบูรพาเป็นเวลาเกือบสามวัน จึงค่อยออกจากอาณาเขตหมอกหนาที่ปกคลุมบนทะเล
เพิ่งบินพ้นอาณาเขต เขาก็ใช้อักขระหยกแจ้งข่าวด่วนทันที
อักขระหยกลุกไหม้กลายเป็นแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปยังท้องฟ้าไกล
ลู่เซิ่งมองดูอักขระหยกหายไปจากทัศนวิสัยพร้อมกับคอยอยู่ที่เดิม
ไม่นานแค่เวลาชั่วถ้วยน้ำชา ไกลออกไปก็ปรากฏจุดเล็กๆ สีดำจำนวนหนึ่งมาด้วยความรวดเร็ว เป็นผู้บำเพ็ญสวมอาภรณ์เหลืองที่ยืนอยู่บนด้านหลังฉลามสีดำ
คนกลุ่มนี้เห็นลู่เซิ่งที่นั่งอยู่บนเมฆดำกลางอากาศทันที
ผู้นำทะยานร่างขึ้น สารกายสีทองเหมือนเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นทั่วร่าง
“เฉินซือถีเจ้าสำนักย่อยทะเลบูรพาแห่งสำนักพันอาทิตย์คารวะอริยะเจ้าลู่!” เขาที่เป็นเจ้าสำนักผู้คุ้มครองเกาะแก่งแถบทะเลบูรพาย่อมรู้จักอริยะเจ้าลู่เซิ่งที่อยู่บนเกาะมายา
ตอนแรกเขากำลังเพลิดเพลินกับการปรนนิบัติอันผ่อนคลายของอนุในห้องนอน นึกไม่ถึงว่าจะเห็นอักขระหยกเตือนภัยสูงสุดระดับอริยะเจ้าอย่างเหนือความคาดหมาย จึงสะดุ้งสุดตัว แล้วลากระดับสูงของสำนักบินไปยังทิศทางที่อักขระหยกบินมาทันที
……………………………………….
[1] ไห่หลี่ หมายถึง ไมล์ทะเล