ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 463 รวมเป็นหนึ่ง (1)
บทที่ 463 รวมเป็นหนึ่ง (1)
คัมภีร์หยกมาจากจวี้เยี่ยน แต่เป็นเพราะเหตุผลพิเศษ ลู่เซิ่งจึงไม่เชื่อเนื้อหาส่วนใหญ่ในนั้น แน่นอนว่าหากใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพียงอย่างเดียวก็ยังถือว่าไม่เลว
ส่วนเคล็ดวิชาพลังวิญญาณ เขาได้ทดลองดูแล้ว เขาไม่ได้พาวิญญาณคุ้มครองสิบกว่าตนที่อยู่ข้างกายกลับมาด้วย นอกจากนี้ก็ไม่ได้พบสัญลักษณ์การดำรงอยู่ของปราณวิญญาณในต้าอินเช่นกัน
คล้ายกับที่นี่ไม่ใช่มิติการใช้ชีวิตของพลังวิญญาณ
เรื่องนี้แปลกประหลาดมาก
ด้านในวังมารของสำนักมารกำเนิด ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในตำหนักวิจัย ชิ้นส่วนอาวุธเทพจำนวนไม่น้อยวางระเกะระกะอยู่รอบๆ ตัว บนพื้นด้านหน้าเยื้องไปทางขวาสร้างบ่อทรงรีไว้บ่อหนึ่ง เป็นบ่อน้ำสีฟ้าครามที่แข็งแรง อีกทั้งยังใช้โลหะสีดำสลักหัวหมาป่ากับหัวงูไว้ นี่เป็นบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อนหน้านี้เขาเคยจะทดลองสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ดู
แน่นอนผลลัพธ์คือล้มเหลว
‘ภารกิจของสำนักมารกำเนิดเหลืออีกไม่มาก มีผู้เฒ่าสือกับราชาเงามืดอยู่ด้วย ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แม้พวกเขาจะเป็นเผ่ามาร แต่ก็มีบารมีของเราอยู่ สามสำนักคงลืมตาข้างหลับตาข้าง ขอแค่สำนักมารกำเนิดยังอยู่ สถานการณ์ของต้าอินก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และคฤหาสน์ลู่ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของขุมกำลังสำนักก็จะไม่เกิดปัญหาเช่นกัน แน่นอนว่าทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานที่พลังของเราต้องแข็งแกร่งมากพอ เกิดว่าเราเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อไหร่ ผลลัพธ์จะ…’ ลู่เซิ่งวาดลวดลายประณีตซับซ้อนลงบนพื้นไปพลาง ใช้ความคิดไปพลาง
“ดังนั้น ขอแค่เรามีพลังมากพอ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย ขอบเขตดาวหยก เราคลำถึงขั้นได้กฎเกณฑ์ออกมามากกว่าครึ่งแล้ว ต้นกำเนิดของอัคคีอนธการคือไฟหยิน ส่วนต้นกำเนิดของไฟหยินก็คือกลิ่นอายอันเย็นเยียบซึ่งสั่งสมในร่างกายและทำให้สมรรถภาพเสื่อมลงอย่างต่อเนื่อง
เขาเพิ่งจะคลำจุดนี้ออกมาได้เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง อย่างไรยอดฝีมือขอบเขตอริยะเจ้าก็เป็นบุคคลที่เหมือนกับผู้นำในด้านใดด้านหนึ่ง สิ่งของในระดับชั้นผิวแค่นี้ไม่ได้สร้างความลำบากให้แก่เขาเลย
ลู่เซิ่งแกะลวดลายค่ายกลชุดสุดท้ายอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นำเอาน้ำหมึกชนิดพิเศษที่หลอมรวมวัตถุดิบล้ำค่าแตกต่างกันหลายสิบชนิดมาหยดใส่ด้านในลวดลายค่ายกลอย่างช้าๆ
น้ำหมึกที่เป็นสีแดงอ่อนเหมือนกับเลือดค่อยๆ แผ่กระจายออกไปทั่วเส้นสายลวดลายค่ายกลสีดำ มันค่อยๆ ขยายตัวไปตามลวดลาย ไม่นานก็ปกคลุมพื้นที่มากกว่าครึ่งของตำหนักวิจัย
‘ได้แต่ทำถึงขั้นตอนนี้ไปก่อน หากคิดจะพัฒนาขึ้นอีก อาศัยแค่สภาพแวดล้อมในตอนนี้เพียงอย่างเดียว เราทำตามลำพังไม่ได้ จำเป็นต้องใช้สภาพแวดล้อมที่พิเศษกว่าช่วยเหลือด้วย’ ลู่เซิ่งยืนห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อรอให้น้ำหมึกกับลวดลายค่ายกลปรับตัวและไหลซึมเข้าหากันและกัน
ขณะเดียวกันเขาก็ยื่นมือไปหยิบเอาข่าวสารที่อยู่ในช่องบนผนังใกล้ๆ ออกมาตรวจสอบดูด้วย
เนื่องจากเขาชอบอยู่ในตำหนักวิจัย ถ้าไม่ใช่ฝึกฝน ศึกษาลวดลายค่ายกล ก็ทำการทดลองด้านเคล็ดวิชาและอาวุธเทพ ดังนั้นสำนักมารกำเนิดจึงส่งข่าวสารหลังจากคัดเลือกเสร็จแล้วมาให้เขาจนกลายเป็นความเคยชิน
กระดาษพลิกเสียงดังพรึ่บ นิ้วของลู่เซิ่งพลันหยุดชะงักแล้วกดลงบนหน้ากระดาษแผ่นหนึ่ง
‘อาวุธเทพหมื่นแปรผันเปลี่ยนเจ้านาย พระโอรสฉยงซังหายตัวไป น่าจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว’
เพียงแค่ข่าวเพียงข่าวเดียว แต่ลู่เซิ่งกลับอดนึกถึงหลี่ซุ่นซีที่เดินทางไปทั่วอย่างมุ่งมั่นเพื่อหยุดการแพร่ลามของภัยพิบัติมารไม่ได้
‘อาวุธเทพหมื่นแปรผัน…’ เขาใคร่ครวญเล็กน้อย อาวุธเทพที่เหนือกว่าระดับเทวปัญญา เขาอยากจะลิ้มลองรสชาติเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่อาวุธเทพชิ้นนี้มีความเกี่ยวพันมากเกินไป เกรงว่าจะมีอริยะเจ้าเหมือนกับเขาเข้าร่วมผสมโรงด้วยไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน โอกาสที่จะได้มามีน้อยมาก
ส่ายหน้าเล็กน้อย ลู่เซิ่งหยุดคิดมาก เขาใกล้จะผ่านช่วงได้กฎเกณฑ์แล้ว ขั้นได้กฎเกณฑ์ก็คือการจดจำและทำความคุ้นเคยกับการโคจรและหลักการของธรรมชาติในพลังของตัวเอง ส่วนที่ยากอย่างแท้จริงคือการหลอมรวมกฎเกณฑ์
อริยะเจ้าคือชีวิต มีกายเนื้อ ส่วนกฎเกณฑ์และพลังงานคือความว่างเปล่า เป็นสิ่งที่ล่องลอย สองสิ่งจะหลอมรวมกันได้อย่างไร ระหว่างทั้งสองอย่างต้องมีความขัดแย้งที่ไม่อาจปรับให้เข้ากันได้อยู่มากมายแน่
นี่จึงทำให้เหล่าอริยะเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณของตัวเอง โดยใช้พลังบิดเบือนความจริงอันแข็งแกร่งของตัวเองมาชดเชยความขัดแย้งระหว่างทั้งสองสิ่ง เพื่อทำให้พวกมันหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ระหว่างนี้ก็คือช่วงหลอมกฎเกณฑ์และรวมกฎเกณฑ์
ขั้นตอนนี้เป็นความยากอย่างถึงที่สุดสำหรับอริยะเจ้าระดับดาวหยกจำนวนมาก นอกจากการใช้เวลามากมายในการสะสมความรู้ความเข้าใจแล้ว ก็ไม่มีทางลัดอื่นๆ อีก
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเปิดดีปบลู ยังเหลือพลังอาวรณ์อีกแปดพันกว่าหน่วย เขาทดลองใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนเรียนรู้ดู แต่ก็ไม่เป็นผล
ความจริงขั้นได้กฎเกณฑ์กับขั้นหลอมกฎเกณฑ์ไม่ใช่วิชาการฝึกฝนที่เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด หากเป็นการบรรยายถึงขอบเขต เลยไม่มีร่องรอยอะไรให้ใช้สืบสาว เป็นเหตุให้ได้แต่อาศัยความรู้ความเข้าใจที่ล่องลอยมายกระดับ ดีปบลูถึงขั้นไม่มีกรอบตัวเลือกด้วยซ้ำ ย่อมเพิ่มระดับและเรียนรู้ไม่ได้
‘ถึงอย่างไรการเรียนรู้ของดีปบลูก็มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์มรรคายุทธ์ของตัวเราเอง ดังนั้นจึงไม่อยู่เหนือขอบเขตความรู้ความเข้าใจของตัวเรา เหมือนกับโจทย์คณิตศาสตร์ยากๆ ของคณิตศาสตร์ระดับมัธยมต้น ถึงจะยาก แต่ก็ยังคงใช้คณิตศาสตร์ระดับมัธยมต้นแก้โจทย์ได้อยู่’ ลู่เซิ่งเข้าใจ ถึงเวลาแล้ว
เขาวางข้อมูลในมือลงแล้วเดินไปกลางลวดลายค่ายกล
ลู่เซิ่งหลับตาลงพร้อมกับเริ่มสัมผัสคลื่นอันเบาบางบนค่ายกลที่ตนออกแบบ ค่ายกลค่ายนี้เป็นค่ายกลที่เขาวิจัยเพื่อใช้พัฒนาการสิงร่างข้ามมิติครั้งที่สองในคัมภีร์หยก
การทะลุมิติของเขาก่อนหน้านี้เพียงใช้พลังงานในรูปสลักอีกาดำ ถือว่าเป็นการเสี่ยงดวง และปรากฎว่าเขาโชคดีที่ไม่ได้หลงเข้าไปในอาณาเขตส่วนบุคคลของตัวตนอันน่ากลัวเข้า
แต่ไม่มีใครที่โชคดีซ้ำๆ ดังนั้นลู่เซิ่งจึงนึกทบทวนความรู้สึกตอนทะลุมิติเมื่อก่อนหน้านี้อย่างละเอียด ขณะเดียวกันก็ใช้อำนาจของตัวเองตรวจสอบความรู้เกี่ยวกับค่ายกลส่งตัวในด้านการเข้าออกโลกด้านนอกเช่นกัน
สำนักพันอาทิตย์มีหนังสือตำราทางด้านนี้มากมาย อย่างไรพวกเขาก็สร้างค่ายกลที่ใช้ส่งตัวเข้าออกโลกด้านนอกไว้ในเขตจันทราสารท ดังนั้นความรู้ทางด้านนี้จึงไม่นับว่าน้อย
หลังจากลู่เซิ่งอ่านแล้ว ก็เข้าใจหลักการคร่าวๆ จึงเริ่มออกแบบค่ายกลเอง
ยืนอยู่กลางค่ายกล เขาหยิบเศษอาวุธเทพขนาดเท่ากำปั้นชิ้นหนึ่งออกมาเสียบเข้าไปในช่องว่างข้างใต้เบาๆ
เกิดเสียงดังแกร๊กขึ้นมา
ค่ายกลบนพื้นพลันสั่นสะเทือน แต่ก็ไม่เกิดปฏิกิริยาอะไรขึ้น
‘ล้มเหลวหรือ’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ
แต่เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าในอากาศมีพลังงานพิเศษหลายสายไหลเวียนอยู่ คล้ายกับมีกระแสพลังงานที่ค่อนข้างปั่นป่วนจำนวนมากคิดจะรวมตัวกันเหนือรูปค่ายกลด้านหน้าเขา ทว่าเนื่องจากการรบกวนที่รุนแรงถึงขีดสุดชนิดหนึ่ง ดังนั้นสุดท้ายแล้วการรวมตัวนี้จึงล้มเหลว
หลังทบทวนและตรวจสอบค่ายกลอย่างละเอียด ลู่เซิ่งก็ทุ่มตัวทำการศึกษาต่อ
หลังกินข้าวเที่ยงและแนะนำทักษะมรรคายุทธ์ให้แก่มู่เจวี๋ยชิ่งเสร็จ ขณะลู่เซิ่งกำลังจะกลับไปศึกษาลวดลายค่ายกลในตำหนักวิจัยต่อ ก็มีศิษย์ของสำนักมารกำเนิดเข้ามารายงานข้อมูลพอดี บอกว่าคนของตระกูลหยวงกวงมาถึงและต้องการพบเขา
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตัดสินใจไปพบด้วย
ลู่เซิ่งนั่งบนบัลลังก์ด้านในตำหนักข้างของสำนักมารกำเนิด มองทูตจากตระกูลหยวนกวงที่คุกเข่าข้างเดียวด้วยความนอบน้อมเป็นพิเศษตรงหน้า
“หมายความว่าสถานการณ์ทางด้านหยวนกวงไม่ค่อยน่าดูชมนักใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“ขอรับ การต่อสู้ของคุณหนูหยวนกวงย่วนกับนายน้อยเจิงแทบจะชัดเจนแล้ว คุณหนูใหญ่หวังว่าเจ้าสำนักจะส่งยอดฝีมือหลายคนหรือยอดฝีมือที่แท้จริงไปช่วยนางสะกดทัพได้” ผู้มากล่าวเสียงทุ้ม
“ยอดฝีมือที่แท้จริงหรือ ยอดฝีมือระดับปฐพีกำเนิดครั้งก่อนยังไม่พออีกหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
“เอ่อ…นายน้อยเจิงได้รับการสนับสนุนจากสำนักวารีครามทางเหนืออย่างสุดกำลัง บรรพบุรุษวารีครามที่อยู่เบื้องหลังสำนักวารีครามมีพลังเลิศล้ำ เคยเอาชนะดาบภูผาอุดรที่แข็งแกร่งที่สุดในสองแคว้นใหญ่ทางเหนือเมื่อหกสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้พลังยิ่งสูงล้ำยากหยั่งคาด แถมยังสำเร็จเป็นเซียน หนำซ้ำสำนักวารีครามยังมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ยอดฝีมือทั่วไปจึงสะกดไม่อยู่ ตอนนี้เนื่องจากเหล่าบรรพบุรุษกักตนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ขุมกำลังและกิจการของตระกูลหยวนกวงจึงหดเล็กลงอย่างใหญ่หลวง ตำแหน่งสำคัญๆ ว่างลงเพราะสงครามภัยพิบัติมาร เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของคุณหนูย่วนแล้ว”
“นั่นเป็นโอกาสของพวกเจ้า ข้าเพียงสนใจว่าข้าจะได้รับอะไร” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
ทูตพลันลำบากใจ ไม่ทราบว่าควรตอบอย่างไรดี
ครู่ต่อมาเขาจึงค่อยกล่าวอย่างฝืนใจว่า “ปัจจุบันคุณหนูย่วนเป็นผู้จัดการเรื่องราวภายนอกลำดับที่ห้าในตระกูล คนรุ่นเดียวกันก็มีจำนวนงอนิ้วนับได้เช่นกัน คนที่สามารถสู้กับนางได้ก็มีแต่นายน้อยเจิงกับนายน้อยหนิงเท่านั้น ก่อนที่ข้าน้อยจะมา คุณหนูย่วนได้กำชับเป็นพิเศษว่า แม้ปัจจุบันอำนาจของตระกูลหยวนกวงจะลดลงมา แต่นางในตอนนี้มีสิทธิ์เข้าออกหอคัดเลือกลับของตระกูลแล้ว
“อ้อ หอคัดเลือกลับของตระกูลหยวนกวงหรือ” ลู่เซิ่งเคยได้ยินถึงสถานที่นี้มาก่อน ในช่วงเวลาที่ติดต่อกับหยวนกวงย่วน เขาย่อมไม่ใช่ว่าไม่ได้รับอะไรเลย ตระกูลหยวนกวงเป็นตระกูลใหญ่ระดับสุดยอดที่ตั้งตระหง่านมานาน ต่อให้ปัจจุบันจะอ่อนแอลง แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าตระกูลขุนนางทั่วไปอยู่ดี
ปัจจุบันอำนาจของหยวนกวงย่วนเพิ่มมากขึ้นมาเพราะการสนับสนุนของเขา แม้จะล้มเหลวในการคัดเลือกผู้สืบทอดของกระบี่อริยะสนธยาเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ตระกูลหยวนกวงก็ไม่ใช่ว่ามีแค่อาวุธเทพอย่างกระบี่อริยะสนธยาเพียงเล่มเดียว
ปัจจุบันหยวนกวงย่วนกลายเป็นผู้มีสิทธิ์รับสืบทอดลำดับที่ห้าของหอกเทวะในตระกูลหยวนกวง ขอแค่ภายหลังไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย รอพลังฝึกปรือของนางเลื่อนสู่ระดับปฐพีกำเนิด บรรลุจุดสุงสุด ก็จะสามารถรับหอกเทวะได้อย่างเป็นทางการ แล้วสำเร็จเป็นผู้ถืออาวุธ
ตามทฤษฎีแล้ว ตระกูลขุนนางจะยอมให้มีแค่อาวุธเทพชิ้นหนึ่งดำรงอยู่เท่านั้น เนื่องจากอาวุธเทพมีนิสัยชอบผูกขาด แต่สามตระกูลใหญ่นั้นแตกต่าง พวกเขามีอาวุธเทพคุ้มครองตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด อาวุธเทพคุ้มครองตระกูลทุกชิ้นบวกกับเจ้าแห่งอาวุธก็คือการรวมกันของตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด ทำให้สะกดได้ซึ่งทุกสิ่ง
ส่วนอาวุธเทพชนิดอื่นๆ ก็ล้วนสยบต่ออาวุธเทพคุ้มครองตระกูล
แน่นอนว่าอาวุธเทพที่ยอมสยบเหล่านี้เป็นแค่ระดับดาวหยกกับใบไม้ทองคำเท่านั้น อาวุธเทพระดับเทวปัญญาย่อมไม่ยอมสยบง่ายๆ
ลู่เซิ่งไตร่ตรองสักครู่ก่อนกล่าวเสียงขรึม
“เจ้าจงบอกต่อคุณหนูย่วนว่า ข้าต้องการคัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดูของตระกูลหยวนกวง ไม่ได้จะเอาทั้งเล่ม ขอแค่เนื้อหาหน้าสุดท้ายก็พอ”
“นี่…” ทูตมีสีหน้าผกผัน คนของตระกูลใหญ่ๆ ย่อมไม่ใช่คนขาดความรู้ คัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดูเป็นคัมภีร์ลับระดับสูงสุดที่ตระกูลหยวนกวงได้มาหลังจากทำลายตระกูลใหญ่อีกตระกูลหนึ่ง เป็นคัมภีร์แก่นจริงแท้ที่มีการถ่ายทอดสมบูรณ์ ตั้งแต่ช่วงสารกายอันเป็นพื้นฐาน ไปจนถึงระดับปฐพีกำเนิด ระดับอาวุธเทพ และระดับอริยะเจ้า สุดท้ายสำเร็จเป็นเจ้าแห่งอาวุธ คัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดูมีบันทึกที่สมบูรณ์แบบถึงขีดสุด
คัมภีร์แบบนี้ย่อมเป็นเนื้อหาที่ได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นหนา แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ข้อหนึ่ง
คัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดูเป็นวิชาพิเศษที่มีแต่คุณสมบัติร่างธารน้ำแข็งเท่านั้นถึงจะฝึกได้ คนปกติต่อให้ได้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้คุณสมบัติร่างธารน้ำแข็งสูญพันธุ์ไปแล้ว จึงไม่มีใครฝึกคัมภีร์ลับนี้ได้อีก
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ คัมภีร์ลับเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในคัมภีร์ลับที่มีความสำคัญถึงขีดสุดของตระกูลหยวนกวง ต่อให้เป็นผู้อาวุโสจัดการเรื่องราวทั่วไปก็อย่าคิดแตะต้อง
“เรื่องนี้…เกรงว่า…” ทูตกัดริมฝีปากเบาๆ คุณหนูย่วนในตอนนี้อยู่ในวิกฤติเป็นตาย การต่อสู้ภายในอยู่ในขั้นน้ำเททิ้งยากเก็บคืน เพาะความแค้นล้ำลึกแล้ว แถมผู้สวามิภักดิ์ที่เข้าไปอยู่ในสังกัดของนางอย่างพวกเขาก็ไม่มีทางถอยให้พูดถึงเช่นกัน
สถานะของอริยะเจ้าลู่ผู้นี้ไม่เพียงเป็นผู้ปกครองขุมกำลังใหญ่คนหนึ่งในอาณาเขตห่างไกลเท่านั้น ในตัวเขายังมีเลือดของตระกูลหยวนกวงไหลเวียนอยู่ด้วยเช่นกัน แม้ตัวเขาจะไม่อยากยอมรับก็ตามที
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ลู่หนิงบุตรชายของคนผู้นี้เป็นผู้มีสายเลือดที่มีโลหิตผู้สันดาปแข็งแกร่งที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุดด้วย
ในตอนที่ลู่หนิงเกิด สายหลักของหยวนกวงสัมผัสได้ถึงร่องรอย จึงรีบส่งคนมาเพื่อหวังจะรับลู่หนิงไปอบรบเลี้ยงดูที่ตระกูล
แต่ก็ถูกลู่เซิ่งยันกลับไป
……………………………………….