ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 467 วางแผน (1)
บทที่ 467 วางแผน (1)
ลู่เซิ่งเดินวนในวิมานถ้ำรอบหนึ่ง และได้อ่านวิชานอกรีตในคัมภีร์หลากหลายชนิดที่นักพรตมู่อวิ๋นเก็บซ่อนไว้ ในนี้มีวิชายิบย่อยของฝ่ายธรรมมะและฝ่ายมารบางส่วน แต่เนื่องจากไม่เป็นระบบระเบียบ เป็นคำพูดกระจัดกระจายจนใช้การไม่ได้ จึงได้แต่ใช้อ้างอิงเท่านั้น
ลู่เซิ่งไม่สนใจสิ่งอื่น หากแต่ให้ความสำคัญกับความรู้ทั้งหมดที่สามารเพิ่มประสบการณ์และแนวคิดด้านวรยุทธ์ของตัวเองได้ถึงขีดสุด เพราะดีปบลูของเขาก็ใช้การสั่งสมความรู้ในห้วงสมองของตัวเองเป็นพื้นฐานในการดำเนินการเรียนรู้ขั้นต่อไป
ยังเหลือแค่ครึ่งเดือนกว่าบุตรแห่งโชคชะตาจะมาถึง เขาใช้เวลาหนึ่งวันอ่านคัมภีร์ด้านในวิมานถ้ำ จึงเข้าใจระบบพลังของโลกใบนี้คร่าวๆ แล้ว
ความจริงแล้วโลกใบนี้ใช้ปราณวิญญาณเช่นกัน แต่ปราณวิญญาณของที่นี่แตกต่างกับของโลกพลังวิญญาณตรงที่ปราณวิญญาณของที่นี่กว้างขวางยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่เป็นพลังวิญญาณอย่างในโลกพลังวิญญาณเท่านั้น แต่ยังรวมพลังงานบริสุทธิ์หลากหลายรูปแบบที่คนสามารถนำมาใช้ประโยชน์เอาไว้ด้วย
ลู่เซิ่งศึกษาคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานอันเป็นเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์ที่สุดในมือตัวเองอย่างละเอียด
วิชาวรยุทธ์ชนิดนี้เป็นคัมภีร์ล้ำค่าสำหรับใช้หลอมปราณบำเพ็ญเพียร อย่างมากสุดเป็นแค่ระดับโอสถภายในขั้นหนึ่ง แม้เคล็ดวิชานี้จะเป็นวิชาที่ล้ำค่าถึงขีดสุดในสายตาของคนอื่นๆ แต่ในสายตาของลู่เซิ่ง มันยังมีจุดที่หยาบกระด้างอยู่ไม่น้อย เขาลองเทียบสิ่งที่ตนได้เรียนรู้มากับคัมภีร์ล้ำค่าเล่มนี้ ถึงแม้ว่ากฎของโลกจะแตกต่างกัน แต่แบบแผนและกฎเกณฑ์พื้นฐานที่สุดส่วนหนึ่งก็ยังมองเห็นความคล้ายคลึงได้อยู่
กอปรกับจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ในระดับอริยะเจ้าของลู่เซิ่ง ไม่นานก็เจอจุดบกพร่องในคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานนี้
‘สิ่งที่คัมภีร์นี้ใช้บำเพ็ญคือน้ำมีพิษที่มีชื่อว่าวารีฟ้าคราม วารีฟ้าครามนี้อยู่ใกล้กับโลกบาดาล มีความเย็นสุดขั้ว ทั้งยังมีพิษชนิดพิเศษที่ทำให้พลังชีวิตเสื่อมโทรมลงได้ เก็บรวบรวมได้ยากลำบากสุดขีด ตอนที่มู่อวิ๋นสร้างโอสถภายในสำเร็จ เป็นเพราะได้รับไข่มุกที่กักเก็บวารีฟ้าครามไว้หลายหยดด้วยความโชคดีสูงสุด ก็เลยประสบความสำเร็จ’ ลู่เซิ่งซึ่งนั่งอยู่บนเตียงในวิมานถ้ำคล้ายนึกอะไรได้
‘แม้ว่าวารีฟ้าครามจะลึกลับและร้ายกาจมากสำหรับคนธรรมดา แต่สำหรับผู้บำเพ็ญระดับสูงแล้ว มันเป็นแค่ของเล่นที่อยู่บริเวณชายขอบ หรือของไม่ได้มาตรฐานที่อยู่ใกล้โลกบาดาลเท่านั้น ยังล้ำค่าสู้วัตถุฟ้าสมบัติดินอย่างน้ำแร่นรกจากแม่น้ำอนธการไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นเพราะวารีฟ้าครามมีคุณสมบัติไม่สูงนักมีอานุภาพธรรมดา จึงทำให้คัมภีร์ใช้มันเป็นพื้นฐาน แถมทำให้โอสถภายในที่ฝึกฝนได้เป็นแค่ขั้นหนึ่งตามไปด้วย…อย่างนั้นหากว่าวารีฟ้าครามใช้การไม่ได้ เราจะหาอะไรมาเป็นรากฐานให้คัมภีร์ดีล่ะ’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญอย่างหาได้ยาก
…
ด้านนอกวิมานถ้ำ
หญิงสาววัยแรกแย้มสวมกระโปรงสีขาวคนหนึ่งกับปีศาจหมีที่มีศีรษะเป็นหมีร่างเป็นมนุษย์ตนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูถ้ำ ขมวดคิ้วรอคอยให้นักพรตมู่อวิ๋นประมุขถ้ำเรียกตัว
รอบๆ มีเด็กชายเด็กหญิงที่คอยรับใช้ประมุขถ้ำยืนอยู่หลายคน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ประมุขถ้ำกักตนมานานขนาดนี้แล้ว ปกติเจ็ดวันจะเรียกพบพวกเราครั้งหนึ่ง…แต่ว่านับตั้งแต่คนลึกลับที่มาครั้งก่อนจากไป ประมุขถ้ำก็…” หญิงสาววัยแรกแย้มมีใบหน้าหมดจด อิริยาบถเรียบร้อยเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสา ดูเหมือนจะมีอายุสิบห้าสิบหกปี ทว่าเพราะหอกสั้นที่คมกริบและเรืองแสงอ่อนๆ ซึ่งนางสะพายไว้ด้านหลัง กลับทำให้คนไม่กล้าดูแคลน
ปีศาจหมีขาวส่ายหน้าเช่นกัน เขาคือเถี่ยฉุยศิษย์เอกของประมุขถ้ำยุทธพฤกษา ส่วนหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างคืออวิ๋นหวนศิษย์น้องรอง ทั้งสองเป็นศิษย์ที่นักพรตมู่อวิ๋นรับไว้มานานหลายปีแล้ว
แม้นักพรตมู่อวิ๋นจะมีนิสัยคุ้มดีคุ้มร้าย ทว่าไม่เคยต่อว่าลูกศิษย์ของตัวเอง แถมยังให้ท้ายถึงขีดสุด ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถตั้งหลักหยั่งเท้าในโลกบำเพ็ญเซียนโพ้นทะเล และได้รับการสนับสนุนจากผู้บำเพ็ญกับปีศาจจำนวนมากในเวลาสั้นๆ ได้
“เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นหรือเปล่า” อวิ๋นหวนถามอย่างเป็นห่วง
ความจริงแล้วนางกับศิษย์พี่เถี่ยฉุยเป็นผู้รับผิดชอบถ่ายทอดทักษะการบำเพ็ญเพียรให้แก่ศิษย์จากขุมกำลังต่างๆ ใต้สังกัดถ้ำยุทธพฤกษาส่วนใหญ่ โดยที่คนหนึ่งรับผิดชอบศิษย์ที่เป็นมนุษย์ อีกคนรับผิดชอบศิษย์ที่เป็นปีศาจ
สิ่งที่ศิษย์ทั้งหมดฝึกฝนเป็นวรยุทธ์พื้นฐานที่นักพรตมู่อวิ๋นได้รับเมื่อนานมาแล้ว มีชื่อว่าวิชาธวัชเงาพิษ หากฝึกฝนวิชานี้ถึงจุดสูงสุดจะเสกเงาพิษขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายธงออกมาสังหารศัตรูได้ในการโบกสะบัดเพียงครั้งเดียว โจมตีวงกว้างได้ดีที่สุด
ส่วนคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานเป็นสิ่งที่นักพรตมู่อวิ๋นเก็บไว้ในก้นกุฎิ ย่อมไม่แสดงออกมาให้เห็นง่ายๆ แม้แต่ศิษย์ที่สั่งสอนด้วยตัวเองสองคนนี้ก็ไม่ได้รับการถ่ายทอดเช่นกัน
“ไม่มีทาง อาจารย์เป็นเซียนพรตโอสถภายใน ไหนเลยจะเกิดอุบัติเหตุง่ายเช่นนี้ รออีกหน่อยเถอะ อาจจะเป็นการเข้าสู่สภาพสงบนิ่งชั่วคราวก็ได้” เถี่ยฉุยปีศาจหมีขาวกล่าวพลางส่ายหน้า
ทั้งสองยืนอยู่กันอีกสักพัก อวิ๋นหวนกลับถามปีศาจหมีขาวในตอนที่กำลังเบื่อหน่ายว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่มาเพราะเรื่องที่ปีศาจกระต่ายบนเกาะที่สามถูกสังหารกระมัง”
“ไม่นานมานี้ได้ยินมาว่ามีเรือจากจงหยวนเข้ามาใกล้ที่นี่ ข้าได้สั่งให้ปีศาจทั้งหมดทำตัวสงบเสงี่ยมและหยุดดูดซับสารกายแล้วแท้ๆ แต่ว่าก็ยังถูกคนที่ทำท่ามีคุณธรรมอย่างวิญญูชนจอมปลอมพวกนั้นฆ่าทิ้งอยู่ดี” เถี่ยฉุยถอนใจอย่างจนปัญญา “พวกเราไม่ได้ฝึกเป็นมารเสียหน่อย เพียงดูดสารกายของมนุษย์เท่านั้น ในวันต่อมาคนปกติก็จะฟื้นฟูได้เอง อย่างมากก็แค่เหนื่อยเพลียไปเล็กน้อยเท่านั้น หรือว่านักพรตเหล่านี้จะไม่ยอมให้แม้แต่เรื่องนี้”
“พวกมันก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ” อวิ๋นหวนถอนใจยาว
เถี่ยฉุยสีหน้าอึมครึม ก่อนจะมองอวิ๋นหวน “ครั้งนี้ศิษย์น้องเจ้ามาทำอะไรหรือ”
“ไข่มุกวารีเมฆที่อาจารย์ให้เก็บรวบรวมในครั้งก่อนได้ทำการซื้อมาเรียบร้อยแล้ว ราคาจากเผ่าหอยเมฆหมอกสูงขึ้นเรื่อยๆ จำนวนของไข่มุกวารีเมฆในครั้งนี้จึงลดลง หากเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าจะไม่พอให้พวกเราใช้ฝึกฝนแล้ว ดังนั้นข้าจึงมาขอมาตรการรับมือจากอาจารย์” ไข่มุกวารีเมฆที่อวิ๋นหวนพูดถึงก็คือทรัพยากรชนิดหนึ่งที่นักพรตมู่อวิ๋นกับศิษย์อย่างพวกเขาต้องใช้ในการฝึกฝน
เป็นเพราะว่าเกาะแถบนี้อยู่ใกล้กับเผ่าหอยเมฆหมอก เป็นระยะทางที่สั้นที่สุดที่หาไข่มุกวารีเมฆได้ ตอนนั้นมู่อวิ๋นเลยตัดสินใจสร้างสำนักตั้งพรรคขึ้นตรงนี้
เพียงแต่ปัจจุบันไม่ทราบว่าเผ่าหอยเมฆหมอกไปทราบข่าวอะไรมา ถึงกับเพิ่มราคาขึ้นเพื่อสร้างความลำบากให้แก่ถ้ำยุทธพฤกษา
“ไข่มุกวารีเมฆหรือ…” เถี่ยฉุยจนปัญญาเช่นกัน หากขุมกำลังอื่นๆ กล้าทำแบบนี้ เขาก็กล้าใช้ค้อนฟาดใส่ไปแล้ว แต่ว่าราชาหอยของเผ่าหอยเมฆหมอกเป็นเซียนพรตสายโอสถเหมือนกัน ต่อให้อาจารย์ของพวกเขาไปก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ ยิ่งอย่าว่าแต่พวกเขา
หลังจากทั้งสองคุยกันพักหนึ่ง ไม่นานเด็กหญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในถ้ำแล้วทักทายพวกเขาเบาๆ
“ศิษย์พี่ทั้งสอง เชิญเข้าถ้ำเจ้าค่ะ ประมุขถ้ำออกจากการกักตนพักผ่อนแล้ว”
“ขอบคุณศิษย์น้องเล็กมาก” ทั้งสองพยักหน้าคารวะตอบ จากนั้นก็เดินตามเด็กหญิงเข้าไปในวิมานถ้ำ เดินอยู่ในถ้ำที่มืดครึ้มสองสามนาที ไม่นานก็เห็นลู่เซิ่งยืนไพล่มือไว้ด้านหลังอยู่ด้านในโถงศิลาตรงสุดทางเดินด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ศิษย์เถี่ยฉุย/อวิ๋นหวน คำนับอาจารย์ ขอให้อาจารย์มีความสุขตลอดกาล อายุขัยยืนยาวเทียบเทียมฟ้า!”
ลู่เซิ่งยกมือบอกให้ทั้งสองลุกขึ้น
“มีเรื่องอะไร เถี่ยฉุยบอกมาก่อน” เขาถามไปพลางพิจารณาคุณสมบัติของศิษย์สองคนไปพลาง มองออกว่าแม้นักพรตมู่อวิ๋นจะมีพลังฝึกปรือไม่เท่าไหร่ แต่สายตาถือว่าใช้ได้ ทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่มีคุณสมบัติล้ำเลิศทั้งสิ้น
หรือควรบอกว่า คนที่มีคุณสมบัติดีๆ ในโลกใบนี้มีอยู่นับไม่ถ้วน แต่ว่าคนที่ได้รับโอกาสให้เริ่มฝึกฝนมีน้อยถึงขีดสุด
ท่ามกลางผู้ฝึกฝนพวกนี้ คนที่มีวาสนาได้ฝึกฝนวิชามหามรรคามีน้อยยิ่งกว่าน้อย สุดท้ายคนที่ฝึกฝนและอดทนโดยไม่ตายได้ยิ่งเป็นหนึ่งในคนจำนวนนับไม่ถ้วน
คุณสมบัติไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเคล็ดวิชา วิชาบำเพ็ญ และทรัพยากร สิ่งเหล่านี้ทำให้โลกใบนี้ให้ความสำคัญกับอาจารย์ถึงขีดสุด
เถี่ยฉุยเล่าความลำบากของตัวเองก่อน
ลู่เซิ่งพยักหน้าโดยที่ยังมีสีหน้าคงเดิม ทราบว่าบุตรแห่งโชคชะตามาถึงแล้ว ตามโครงเรื่อง คนพวกนี้จะต้องเผชิญความลำบาก สุดท้ายเข้าไปพักผ่อนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง พอดีที่ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นถูกปีศาจก่อกวน รู้สึกไม่ปลอดภัย บุตรแห่งโชคชะตาจึงอาสาเข้าไปสังหารปีศาจในภูเขาเพื่อแสดงความกล้าหาญ สุดท้ายเมื่อสังหารปีศาจลงได้ จอมปีศาจก็โผล่มา จากนั้นก็จะกระตุ้นให้ประมุขถ้ำของถ้ำยุทธพฤกษาอย่างเขาเข้าห้ำหั่นด้วย
นี่เป็นโครงเรื่องที่คนเมื่อก่อนหน้าของวิถีธรรมะส่งให้เขา เพียงแต่ปีศาจที่จะก่อกวนหมู่บ้านไม่ใช่ฝ่ายของถ้ำยุทธพฤกษา เลยจะต้องให้เขาร่วมมือด้วยถึงจะทำสำเร็จ
บุตรแห่งโชคชะตาผู้นั้นต้องการหยกดำบนศีรษะนักพรตมู่อวิ๋นเพราะเหตุผลบางอย่าง การจะรักษาคุณธรรมจะต้องมีเหตุผลที่สง่าผ่าเผย บวกกับยังทำให้บุตรแห่งโชคชะตาได้รับการเคี่ยวกรำได้ด้วย ดังนั้นภายใต้แผนการของมือมืดหลังฉาก โครงเรื่องที่มีการตั้งค่ามากมายจึงปรากฏขึ้นอย่างง่ายดาย
“ผู้นำของคนที่สังหารปีศาจแซ่ตู้ใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งถาม บุตรแห่งโชคชะตาในโครงเรื่องมีแซ่ตู้
“อาจารย์สายตากระจ่างแจ้ง แซ่ตู้จริงๆ” ปีศาจหมีขาวงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะตอบตรงๆ
‘มาแล้วจริงๆ ด้วย’ ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้งแล้ว จึงมองไปยังอวิ๋นหวนที่อยู่ด้านข้าง
“ทางเจ้ามีเรื่องอะไร”
อวิ๋นหวนบอกเล่าเรื่องราวของไข่มุกวารีเมฆให้แก่ลู่เซิ่งฟังอย่างละเอียด
“ไข่มุกวารีเมฆ เผ่าหอยเมฆหมอกหรือ เรื่องนี้รอก่อน ภายหลังข้าจะจัดการเอง พวกเจ้าจงรวบรวมศิษย์กลับมา อย่าให้เกิดความขัดแย้งกับขุมกำลังใดๆ อาจารย์ต้องจัดการเรื่องยุ่งยากบางส่วน จึงปลีกตัวไปไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
พวกอวิ๋นหวนก้มหน้าขานรับ แต่ทั้งสองรู้สึกว่าครั้งนี้อาจารย์เหมือนจะน่านับถือยิ่งกว่าเดิม บุคลิกหนักแน่นขึ้น ไม่แสดงอาการคุ้มดีคุ้มร้าย และให้ความรู้สึกสบายใจที่มั่นคงชนิดหนึ่งด้วย
หลังจากศิษย์ทั้งสองคนจากไป ลู่เซิ่งนั่งอยู่สักพัก ดวงตาฉายแววคิดคำนวณ
เขาทบทวนคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานที่ตนเองครอบครองอยู่ใหม่
‘ช่างเถอะ ลองเรียนรู้ดูก่อน ดูว่าจะพัฒนาได้อีกขั้นหรือไม่ เพียงแต่วารีฟ้าครามนี้…มีความตั้งใจในการสร้างต่ำเกินไป กลับจำกัดการพัฒนาพลังฝึกปรือของตัวเอง แต่ถ้ารีบร้อนเปลี่ยนเป็นเส้นทางอื่น เราก็ยังไม่ได้สั่งสมระบบของโลกใบนี้ถึงระดับนั้น’
ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้คัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานก่อน จากนั้นจึงค่อยใช้พลังฝึกปรือเก็บรวบรวมคัมภีร์ล้ำค่าจำนวนมากพอเพื่อเพิ่มการสั่งสมและเลื่อนระดับไปสูงกว่าเดิม
‘เวลาครึ่งเดือนไม่นับว่านานเท่าไหร่ ต้องเร่งมือเท่าที่จะทำได้’ พอลู่เซิ่งตกลงใจเสร็จ ก็ผนึกรวมจิต สารกาย และปราณทันที จิตวิญญาณในร่างกายเป็นจิตเช่นกัน จึงเริ่มสั่นสะเทือนด้วยเส้นทางและวิธีการที่มหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ขณะเดียวกันก็กระตุ้นจุดสำคัญหลายแห่งที่ควบคุมความเย็นบนร่างไปพร้อมกัน นี่เป็นวิธีการหลอมปราณเบื้องต้นในคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสาน
ภายการกระตุ้นจากจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของลู่เซิ่ง ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที เขาก็เก็บรวบรวมปราณความเย็นในอากาศของโลกภายนอกได้สายหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นปราณภายใน ให้มันไหลเวียนในร่างกายได้แล้ว
‘ดีปบลู’ ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
จากนั้นสายตาก็กวาดมองกรอบด้านบนอินเตอร์เฟซ พริบตาเดียวก็หยุดที่กรอบของคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานที่เพิ่งโผล่มา
‘ร่างกายนี้ฝึกฝนวิชาลี้ลับนี้มาหลายปี จุดสำคัญและเส้นลมปราณที่จำเป็นต้องเปิดก็เปิดเรียบร้อยแล้ว จุดที่จำเป็นต้องหลอมรวมปรับปรุงก็จัดการเรียบร้อยแต่แรกแล้วเช่นกัน คิดจะฟื้นฟูพลังฝึกปรือจึงง่ายดายถึงขีดสุด แต่เราต้องปรับปรุงวิชานี้ให้สมบูรณ์โดยการเรียนรู้ไปทีละขั้นๆ ก่อน’ เนื่องจากไม่ทราบว่าวิถีโอสถเป็นตัวตนที่ตรงกับพลังยุทธ์ระดับใดในต้าอิน ดังนั้นลู่เซิ่งจึงต้องใช้พลังอาวรณ์อย่างระมัดระวังสุดขีด
‘คัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานแบ่งเป็นระดับหลอมปราณเก้าขั้น และระดับสร้างรากฐานหกขั้น สุดท้ายจึงเป็นระดับโอสถภายในช่วงต้น ตอนนี้เราเพิ่งเข้าสู่ระดับหลอมปราณ ซึ่งถือเป็นช่วงที่หนึ่งของการหลอมปราณ’ ลู่เซิ่งนึกทบทวนความทรงจำในการฝึกฝนของมู่อวิ๋นเมื่อก่อนหน้า ความรู้สึกคุ้นเคยมากมายบังเกิดขึ้นในใจ ร่างหลักในหัวใจเริ่มพ่นปราณโอสถที่กลืนกินเข้าไปเมื่อก่อนหน้าออกมาทีละน้อยๆ จากนั้นก็แบ่งแยกกลายเป็นปราณจริงแท้ระดับพื้นฐานด้วยการควบคุมจิตวิญญาณอันร้ายกาจของลู่เซิ่ง
ปราณจริงแท้ที่เปลี่ยนจากปราณโอสถสายหนึ่งดันเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายร่างนี้ให้บวมเป่งจนเกิดความเจ็บปวดในพริบตาเดียว
……………………………………….