ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 473 สถานการณ์ชุลมุน (1)
บทที่ 473 สถานการณ์ชุลมุน (1)
‘อัคคีกรรมบัวแดง? ภัยอัคคีหรือ’ ลู่เซิ่งก้มหน้ามองเปลวไฟที่สัมผัสอุณหภูมิไม่ได้ตรงหน้า โอสถภายในที่เขาสร้างขึ้นมาเห็นได้ชัดว่าเป็นโอสถทองคำสามขั้นบน ดังนั้นภัยอัคคีกรรมบัวแดงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในตำนานจึงโผล่ออกมา
‘นี่เป็นเปลวไฟในตำนานซึ่งสามารถเผาไหม้บาปของสิ่งมีชีวิตได้’ ลู่เซิ่งยื่นมือออกมาลูบแสงไฟสีแดง น่าเสียดายที่เปลวไฟนี้คล้ายจะเป็นแค่ภาพหลอนสำหรับเขา เลยสัมผัสการดำรงอยู่ของมันไม่ได้แม้แต่น้อย
‘เป็นเพราะบาปของเราไม่ได้อยู่ในชาตินี้ ดังนั้นอัคคีกรรมบัวแดงจึงไม่มีความหมายสำหรับเราแม้แต่น้อย’ ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง
หลังจากสร้างโอสถทองคำเสร็จ ต่อไปจะเป็นการใส่สมบัติอย่างวารีฟ้าครามเข้าไปโดยอาศัยจังหวะที่ปราณโอสถรวมตัว
ลู่เซิ่งลุกขึ้นเร่งฝีเท้าออกจากวิมานถ้ำแล้วหายไปในน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อไม่เจอทรัพยากรดีๆ อย่างนั้นก็ใช้จำนวนชดเชยเอา
ทะเลมีอะไรมากที่สุดเล่า ย่อมเป็นน้ำ!
ลู่เซิ่งพุ่งตัวลงไปในน้ำ แล้วแหวกว่ายผ่านเขตทะเลน้ำตื้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ไปถึงสถานที่ที่เขาใช้สร้างของขลังเมื่อก่อนหน้านี้
แสงจำนวนนับไม่ถ้วนสาดออกมาจากบนร่างเขา ก่อนจะกระจายออกไปรอบๆ เหมือนกับใยแมงมุม จากนั้นก็จับตัวกันเป็นจานวังวนชั้นน้ำแข็งเก้าสิบเก้ากลุ่มอย่างรวดเร็ว
ปรากฏสภาพสุดกำลังก่อนหน้าอีกครั้ง เกิดการกลืนกินอย่างบ้าคลั่ง น้ำทะเลอันเย็นเยียบนับไม่ถ้วนทะลักเข้าไปในโอสถภายใน ขณะเดียวกันโลหะสีเงินก็เริ่มกลืนน้ำทะเลจำนวนมากอย่างคลุ้มคลั่งเช่นกัน
น้ำทะเลนับไม่ถ้วนถูกปราณโอสถดูดเข้าไปในโอสถทองคำและของขลังโดยมีปราณโอสถที่น่ากลัวและมีจำนวนมหาศาลของลู่เซิ่งคอยสนับสนุน ถ้าหากต้องการใช้แค่วิธีการทางกายภาพบีบอัดน้ำทะเลเหล่านี้ พลังที่ต้องใช้จะน่าหวั่นสะพรึงถึงขีดสุด
ทว่าหลังจากใช้วิชาพิเศษบางส่วนในโลกของการบำเพ็ญเปลี่ยนแปลง จะสามารถเปลี่ยนมันให้อยู่ในสภาพพิเศษกึ่งว่างเปล่าและลดขนาดลงได้อย่างใหญ่หลวง จากนั้นก็ใส่เข้าไปในโอสถทองคำและของขลัง
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า ในวิชาเหล่านี้เหมือนจะมีหลักการสูงส่งเช่นมิติเขาพระสุเมรุแฝงซ่อนอยู่ เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาศึกษาเรื่องนี้ น้ำทะเลนับไม่ถ้วนถูกบีบอัดและจับยัดเข้าไปในช่องว่างที่ลึกลับและเปิดกว้างของโอสถภายใน
โลกใบนี้มีการบำเพ็ญและคัมภีร์ที่มหัศจรรย์ล้ำลึก นอกจากวิชาหลักแล้ว ยังมีเคล็ดคาถาที่ลี้ลับจนไม่เข้าใจหลักการอยู่อีกมากมาย
ความจริงแล้วต่อให้จะเป็นคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสาน ลู่เซิ่งก็ไม่อาจทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้ เขาเพียงเข้าใจหลักการสำคัญของวิชาเท่านั้น ในนั้นยังบันทึกวิชาอาคม วิชาหลอมสร้าง หรือไม่ก็อาคมระเบิดที่ชั่วร้ายไว้หลากหลายรูปแบบ
คัมภีร์เล่มเดียวบันทึกทุกสรรพสิ่ง รวมถึงความพยายามในเวลาหลายร้อยปีของมู่อวิ๋นเอาไว้
ลู่เซิ่งเพียงแค่เน้นเส้นทางหลักในการฝึกฝนระดับโอสถภายในเท่านั้น ยังไม่สนใจของอย่างอื่น
แต่พอตอนนี้สัมผัสได้ว่าด้านในโอสถทองคำยังมีหลักการลี้ลับซ่อนอยู่อีก ลู่เซิ่งก็วางแผนว่าอีกประเดี๋ยวจะจัดระเบียบวิชาเล็กๆ น้อยๆ ในสองเคล็ดวิชาทั้งหมดแล้วฝึกฝนดู ไม่แน่ว่าจะเกิดความยินดีเหนือความคาดหมายก็ได้
เหมือนอย่างวิชาเขาพระสุเมรุในตอนนี้ที่ซ่อนกฎเกณฑ์และความมหัศจรรย์ของมิติของโลกใบนี้เอาไว้
ซ่า…
กลางทะเลลึก งูน้ำแข็งขนาดมหึมาอ้าปากกลืนกินน้ำทะเลจำนวนเหลือคณานับ ทุกๆ การดูดกลืนจะมีน้ำทะเลนับสิบตันไหลเข้าไปในโอสถทองคำ
ลู่เซิ่งดูดกลืนอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดยั้ง ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น่านน้ำในรัศมีหลายพันหมี่ค่อยๆ กลายเป็นวังวนทะเลลึกที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กกลุ่มหนึ่งเพราะได้รับผลกระทบจากการกลืนกินของเขา
…
บนทะเลสีฟ้าคราม
ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้า ตรงดิ่งไปยังทางถ้ำยุทธพฤกษา
อยู่ๆ ลำแสงก็หยุดชะงัก เป็นนักพรตผอมแห้งสวมอาภรณ์ขาว และไว้หนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่ง
นักพรตก้มหน้ามองวังวนที่ปรากฏบนผิวทะเลพลางขมวดคิ้ว สัมผัสได้ว่ามีคลื่นอันบางเบาของปราณโอสถซ่อนอยู่ด้านล่างผิวทะเล
‘กลิ่นอายนี้…เหมือนกับเผ่าพันธุ์ทะเลโลหิตมังกรอยู่บ้าง…’ เผ่าพันธุ์ทะเลโลหิตมังกรแทบจะทั้งหมดเป็นเผ่าพันธุ์ใหญ่ในทะเลลึก มีพลังน่าตกตะลึง ผู้ที่สร้างโอสถได้ล้วนเป็นคนที่โดดเด่นทั้งสิ้น นอกจากนี้เผ่าพันธุ์ทะเลไม่ได้มีนิสัยดีอะไรนัก และไม่ได้ชอบแผ่นดินด้วย
นักพรตชราลังเลอยู่ชั่วขณะ ไม่ได้หยุดดู ยังคงบินไปในทิศทางที่ตั้งใจไว้
หลังข้ามผ่านวังวนเบื้องล่าง นักพรตก็เร่งความเร็วอีกครั้ง ผ่านไปไม่เกินหนึ่งเค่อ ก็เห็นหน้าผาสีดำของถ้ำยุทธพฤกษาซึ่งอยู่ด้านหน้า
ปีศาจหลายกลุ่มคอยลาดตระเวนอยู่รอบๆ หน้าผา มีปีศาจเห็นนักพรตบินมาแต่ไกล จึงรีบปล่อยปราณปีศาจออกมาแจ้งข่าว
เสียงกระดิ่งเตือนภัยดังสะท้อนไปทั่วหน้าผา เงาร่างสูงใหญ่สีขาวพลันวิ่งออกมาจากถ้ำที่อยู่ติดหน้าผา เป็นปีศาจหมีขาวที่มีศีรษะเป็นหมีตัวเป็นคน
“ผู้มาเป็นใคร!?” ปีศาจหมีขาวเถี่ยฉุยตวาด จับจ้องนักพรตเฒ่าอาภรณ์ขาวที่บินมากลางอากาศขณะที่ถือค้อนยักษ์แปดเหลี่ยมทองม่วงเอาไว้
“ขอบังอาจถาม ประมุขถ้ำยุทธพฤกษาอยู่หรือไม่” ชายชราส่งเสียงถามด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหยุดร่างลง
“ประมุขถ้ำออกไปด้านนอกยังไม่กลับมา ถ้าหากท่านเซียนมีธุระ สามารถมารอในวิมานถ้ำก่อนได้” เถี่ยฉุยเห็นอีกฝ่ายมีบุคลิกไม่ธรรมดา ท่วงท่าหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่มียอดวิชา จึงเกิดความเคารพนับถือและใช้น้ำเสียงเป็นมิตรขึ้น
“อย่างนั้นก็ได้” นักพรตชรายิ้มพลางผงกศีรษะ ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงด้านหน้าถ้ำยุทธพฤกษาบนหน้าผา
เถี่ยฉุนกระโดดขึ้นบนหน้าผาหลายครั้ง มาถึงประตูถ้ำเช่นกัน
“ตามข้ามาเถอะ ในถ้ำนี้มีค่ายกล ท่านอย่าเพ่นพ่าน”
“วางใจเถอะ ไม่เป็นไรๆ” ชายชราตอบด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองทยอยเข้าถ้ำยุทธพฤกษา เถี่ยฉุยพาคนไปถึงโถงรับแขกของถ้ำ ก่อนจะให้เด็กยกชาดีกาหนึ่งและผลไม้ส่วนหนึ่งมา จากนั้นก็ผละไป
ช่วงเวลานี้เขากลับมารักษาความปลอดภัยรอบๆ ทางอวิ๋นหวนไปจัดการธุระบนเกาะด้านนอก นึกไม่ถึงว่าจะมีแขกสูงศักดิ์มา
ออกจากวิมานถ้ำ เถี่ยฉุยกวาดตามองรอบๆ นอกจากนักพรตเฒ่าแล้วก็ไม่มีใครอยู่อีก เห็นได้ว่าถ้าไม่กล้าเกินไป สมองมีปัญหา ก็คงครอบครองยอดวิชา จึงไม่กลัวถ้ำยุทธพฤกษารุมโจมตี
‘ต้องรีบแจ้งอาจารย์แล้ว’
เขาครุ่นคิดสักครู่ สุดท้ายก็หยิบกระดาษยันต์สีแดงฉานออกมาฉีกเบาๆ
แคว่ก
กระดาษยันต์พลันลุกไหม้แล้วกลายเป็นควันขาวในพริบตาเดียว
“ท่านอาจารย์ มีนักพรตเฒ่าผมขาวคนหนึ่งมาหา บอกว่าต้องการพบท่าน เถี่ยฉุยคลำเบื้องลึกเบื้องหลังไม่ออก ท่านกลับมาดูด้วยตัวเองดีกว่า” เขารีบกล่าวสองสามประโยค เสียงเพิ่งจะขาดลง ควันขาวที่เกิดขึ้นเพราะกระดาษยันต์ลุกไหม้ก็จางหายไปหมดสิ้นในชั่วเสี้ยววินาที
…
ใต้ทะเลลึก
โอสถทองคำด้านหน้าลู่เซิ่งปรากฏแสงสีทองแกมน้ำเงินอันแปลกประหลาด แม้จะเหมือนมีน้ำนับไม่ถ้วนทะลักเข้าไป แต่ลู่เซิ่งก็คอยคำนวณอยู่ตลอด
ตอนที่สร้างของขลังในระดับสร้างรากฐานครั้งแรก เขาได้ใส่น้ำทะเลราวห้าสิบตันเข้าไปในก้อนโลหะอันเป็นของขลัง และตอนนี้โอสถทองคำของเขาที่ได้กลืนกินน้ำทะเลไปราวๆ สองสามพันตันก็ใกล้จะเต็มแล้ว
ตอนนี้ต่อจากระดับสร้างโอสถ ก้อนโลหะสีเงินอันเป็นของขลังมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ตั้งแต่วังวนเก้าสิบเก้ากลุ่มที่รวมตัวกันกลืนกินน้ำทะเลอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ก้อนโลหะก็กลืนกินน้ำทะเลไปอย่างน้อยสองสามหมื่นตันแล้ว มิหนำซ้ำยังเร่งความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
ปราณจริงแท้จำนวนเหลือคณานับทะลักเข้าก้อนโลหะอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็ผสมผสานก้อนโลหะนี้เข้ากับกายเนื้อทีละน้อยๆ จนกลายเป็นของวิเศษที่เหมือนกับโอสถทองคำ
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงของของวิเศษหลังจากระดับสร้างโอสถ ของวิเศษคู่ชีวิตของพวกเซียนพรตในระดับสร้างโอสถเทียบได้กับโอสถภายในก้อนที่สองของพวกเขา บางคนใช้มันกักเก็บพลังอาคมและปราณโอสถ บางคนใช้มันเป็นเตาหลอมในร่างกายเพื่อสร้างสิ่งของ บางคนสร้างมิติกักเก็บมิติหนึ่ง มีการใช้งานมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
ส่วนลู่เซิ่งใช้มันเป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง
น้ำทะเลจำนวนมากทะลักเข้าไปในของขลังอย่างรวดเร็ว ผิวสีเงินของก้อนโลหะในตอนแรกค่อยๆ กลายเป็นสีทองแกมน้ำเงินที่เหมือนกับโอสถภายใน ลวดลายหัวลูกศรกลับด้านสะดุดตาขึ้นเรื่อยๆ
พรึ่บๆ
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากบนร่างลู่เซิ่ง
เขามีสีหน้าเปลี่ยนแปลง แบ่งสมาธิไปหยิบกระดาษยันต์สีแดงที่กำลังลุกไหม้ออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ
‘ยันต์โลหิตของเถี่ยฉุยหรือ’
ตอนที่กดลงบนยันต์โลหิต ก็มีเสียงของเถี่ยฉุยส่งเข้าหูทันที ลู่เซิ่งหยีตาฟังจนจบ ในใจคาดถึงสถานะของผู้มา
‘เจ้านักพรตคนนั้นอีกแล้ว เตี๋ยซาจื่อ…’ ตอนนั้นคนผู้นี้หาโอกาสมาเจอกับมู่อวิ๋นเพื่อแจ้งเตือนให้เขากระทำตามแผนการของวิถีธรรมะ นึกไม่ถึงว่าหลังจากมาแล้วรอบหนึ่ง ตอนนี้ยังจะมาซ้ำอีก
‘น่าจะเพราะว่ากลัวเราคิดไม่ตก แล้วลงมือด้วยโทสะ’ ลู่เซิ่งหัวเราะเย็นชาในใจ
วิถีธรรมะ…ความจริงพรรคอันดับหนึ่งฝ่ายธรรมะพรรคนี้เป็นผลกรรมที่ใหญ่ที่สุดของนักพรตมู่อวิ๋นเช่นกัน หากคิดจะหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณและกายเนื้อของนักพรตมู่อวิ๋นโดยสมบูรณ์ ลู่เซิ่งจะต้องสะสางบุญคุณความแค้นกับวิถีธรรมะด้วย
หลังฟังข่าวจบ ลู่เซิ่งก็ยังไม่ได้ไปสนใจ หากแต่มอบพลังให้ปราณโอสถและเร่งความเร็วในการดูดซับน้ำทะเลมากขึ้น
เวลานี้โอสถทองคำหยุดการดูดซับแล้ว เหลือแค่ก้อนโลหะเท่านั้นที่ยังกลืนกินอย่างบ้าคลั่ง แถมความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ลู่เซิ่งใช้ปราณโอสถหลอมรวมกับน้ำทะเล ก่อนจะส่งเข้าสู่ก้อนโลหะทองไปเรื่อยๆ หลังจากเขาสร้างโอสถ ก็มีปราณโอสถขนาดมากกว่ามู่อวิ๋นหลายร้อยเท่า โอสถทองคำกลืนและคายปราณกำเนิดในฟ้าดินด้วยความเร็วอันน่าตกตะลึง แม้จะไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์พิเศษ แต่แค่ปริมาณของปราณโอสถที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญธรรมดาอ้าปากตาค้างได้แล้ว
น้ำทะเลทะลักไหลเข้ามาเร็วและมากขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งตัดสินใจเด็ดขาด อย่างไรก้อนโลหะก็ไม่ใช่กายเนื้อของตน ขอแค่ใส่ปราณโอสถเข้าไปต้านแรงดันของน้ำทะเล ก็จะสามารถสร้างความมั่นคงให้แก่โครงสร้างได้
เขาแบ่งปราณโอสถทั้งหมดออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้หลอมรวมกับน้ำทะเล ส่วนหนึ่งเอาไว้หลอมรวมกับก้อนโลหะ
เกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ก้อนโลหะปล่อยเส้นแสงสีน้ำเงินออกมาอย่างฉับพลัน แล้วหดตัวลง จากนั้นก็ขยายตัวอย่างกะทันหัน
ตูม!
น้ำทะเลรอบๆ ตกเข้าไปในก้อนโลหะเหมือนกับถล่มทลาย
ความเร็วเปลี่ยนจากหนึ่งวินาทีต่อสิบตันเป็นหนึ่งวินาทีต่อยี่สิบตัน สามสิบตัน และสี่สิบตันอย่างรวดเร็ว…
พริบตาเดียวความเร็วไนการไหลของน้ำทะเลก็เพิ่มสูงมากกว่าร้อยตัน
โอสถทองคำของลู่เซิ่งหมุนติ้วๆ ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ การมอบปราณโอสถให้ยังคงเป็นไปอย่างมีลำดับขั้นตอน แสดงให้เห็นว่านี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของโอสถทองคำ
ลู่เซิ่งรู้จักความได้เปรียบของตนดี
แม้วิชาที่เขาฝึกฝนจะไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก อย่างมากสุดก็ใช้คัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานเป็นโครงหลัก แล้วใช้เคล็ดหอยกาบทองแปลงมังกรเป็นตัวชดเชยและปรับปรุงเท่านั้น
อานุภาพหลังสร้างโอสถทองคำสำเร็จก็แค่ธรรมดาๆ แม้จะแข็งแกร่งกว่ามู่อวิ๋น แต่ความจริงพลังจากการระเบิดปราณโอสถในระดับเดียวกันไม่ต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญระดับสร้างโอสถคนอื่นๆ เท่าไหร่
ในความเป็นจริง วิชาที่ลู่เซิ่งเรียนรู้มีความได้เปรียบมากที่สุดอยู่ที่ด้านปริมาณพลังอาคม อานุภาพในพลังอาคมของเขาไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ นัก แต่ว่าด้านปริมาณและด้านความเร็วในการฟื้นฟูกลับเป็นหลายร้อยเท่าของผู้บำเพ็ญในระดับเดียวกัน!
พลังอาวรณ์บวกกับการเรียนรู้ของดีปบลูสร้างพื้นฐานที่มั่นคงที่สุดให้แก่ระดับทุกระดับได้ และหลังจากไปถึงระดับนั้นๆ แล้ว พลังอาวรณ์ก็จะเรียนรู้วิธีการจำนวนมากออกมาแล้วยัดใส่เข้าไป เพื่อกำจัดกระบวนการการสั่งสมอันเชื่องช้าของการกลืนกินปราณกำเนิดในฟ้าดินเป็นเวลาหลายปีได้
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากไม่มีวิธีการสั่งสมปริมาณพลังอาคมที่ใช้เวลานานขนาดนี้ เพียงแต่เมื่อขอบเขตถึงแล้ว ก็ย่อมเลื่อนระดับเอง
ดังนั้นจุดนี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พลังอาคมของลู่เซิ่งในตอนนี้มีทั้งความน่ากลัวและความตกตะลึง
ผ่านไปหลายนาที ความเร็วในการดูดซับน้ำทะเลของก้อนโลหะก็เพิ่มถึงราวหกร้อยกว่าตันต่อหนึ่งวินาทีแล้ว
……………………………………….