ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 475 ความขัดแย้ง (1)
บทที่ 475 ความขัดแย้ง (1)
โลกผู้บำเพ็ญเป็นเซียนโพ้นทะเลเหลือแต่แมวสองสามตัว คนที่แบกรับเรื่องใหญ่ได้มีแค่จอมสัจจะเก้ามังกรแต่เพียงผู้เดียว น่าเสียดายที่ปัจจุบันเก้ามังกรถูกวิถีธรรมมะผนึกกำลังกับผู้บำเพ็ญเพียนฝ่ายธรรมะคนอื่นๆ รุมฆ่า คนที่เหลือจึงเป็นเพียงกุ้งฝอยที่พลิกคลื่นยักษ์อะไรไม่ได้
ปีศาจผู้บำเพ็ญอย่างนักพรตมู่อวิ๋นยิ่งกระจัดกระจาย ไม่ทราบว่ามีกี่คน
โพ้นทะเลกว้างใหญ่เกินไป แค่น่านน้ำแห่งเดียวก็มีประชากรมนุษย์รวมกับเผ่าปีศาจอย่างน้อยหลายสิบหมื่นคนแล้ว แต่ความหนาแน่นของการแบ่งประชากรจำนวนหลายสิบหมื่นคนนี้กลับอยู่บนเกาะแต่ละเกาะที่ห่างกันหลายพันลี้ หรือกระทั่งมากกว่าหมื่นลี้ จึงปกครองได้ยาก
ความจริงลู่เซิ่งกับเตี่ยซาจื่อล้วนทราบสภาพการณ์ดี โลกของผู้บำเพ็ญเป็นเซียนโพ้นทะเลมีอาณาเขตกว้างขวางและมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แต่ชาติพันธุ์ที่อยู่บนแผ่นดินไม่ได้ใช้ประโยชน์ นี่จึงเป็นสาเหตุที่วิถีธรรมะต้องการรวบรวมและจัดการผู้บำเพ็ญโพ้นทะเลเท่าที่จะเป็นไปได้
ลู่เซิ่งที่ได้ยินดังนั้นสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับหัวเราะเย็นชา เขาคิดจะสะสางกรรม และอย่างหนึ่งในนี้คือการสะสางบุญคุณความแค้นเรื่องที่ถูกไล่ฆ่ากับเตี๋ยซาจื่อที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าย่อมทราบว่าที่ท่านนักพรตมาในครั้งนี้ ก็เพราะไม่วางใจข้ากระมัง” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงเย็น
“ก็มีนิดหน่อยจริงๆ การจัดการก่อนหน้าดำเนินไปตามแผนการเดิมอย่างไม่มีปัญหากระมัง” เตี๋ยซาจื่อส่งกระแสเสียงถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอแค่ทางพวกท่านไม่เกิดปัญหา ทางข้าก็ไม่มีปัญหา” ลู่เซิ่งตอบอย่างสงบ ปัจจุบันเขายังไม่คิดจะหันหลังให้กับวิถีธรรมะโดยสิ้นเชิง
“ก็ดี ครั้งนี้มาเพราะต้องการปรึกษารายละเอียดกับท่าน ตามความก้าวหน้าของแผนการ ประมุขถ้ำท่านสมควรลงมือได้แล้ว” เตี๋ยซาจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร
“สองคนนั้นจะมาเมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับการจัดการของพวกท่านไม่ใช่หรือ”
“จำเป็นต้องระวังไว้ อย่าให้เกิดข้อผิดพลาด” เตี๋ยซาจื่อย้ำซ้ำๆ แล้วเริ่มพูดถึงรายละเอียดส่วนหนึ่งที่วางแผนไว้กับลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งร่วมวางแผนกับนักพรตเฒ่าเช่นว่า หากเกิดสถานการณ์นี้ควรรับมืออย่างไร และจัดการขั้นตอนวิธีการหลากหลายรูปแบบ
ทว่าบทสรุปของวิธีการทุกวิธีการล้วนเป็นการส่งมอบไข่มุกออกไป เพียงแต่จะส่งอย่างไรให้ไม่ชัดเจนมากนัก นี่จำเป็นต้องใช้ทักษะแล้ว
นักพรตเฒ่าเตี๋ยซาจื่อรั้งอยู่สองชั่วยามกว่าๆ จึงค่อยผละไป
หลังจากเขาไปแล้ว ลู่เซิ่งก็ได้รับการแจ้งเตือนจากเผ่าปีศาจว่า ลูกศิษย์วิถีธรรมมะสองคนทางด้านเกาะที่สามได้ทำร้ายปีศาจหมีดำที่เฝ้าเกาะไปแล้ว และกำลังนั่งเรือมุ่งหน้ามาทางนี้
“เจ้าหมีดำได้รับบาดเจ็บหรือ” พอเถี่ยฉุยปีศาจหมีขาวได้ยินเรื่องนี้ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หมีดำเป็นขุนพลในสังกัดของเขา สามารถเฝ้าเกาะเกาะหนึ่งได้อย่างสบายๆ สมัยนี้เผ่าปีศาจที่ซื่อสัตย์เช่นนี้หาไม่ได้ง่ายๆ
“คนที่ทำร้ายมันเป็นใคร?! ได้แจ้งชื่อแซ่หรือไม่?!”
“ไม่ขอรับ…แต่เผ่าพันธุ์ทะเลที่ผ่านไปเจอบอกว่าเป็นศิษย์ฝ่ายธรรมะที่มาจากจงหยวนสองคน” ปีศาจน้อยคุกเข่าอยู่ในถ้ำอย่างนอบน้อมพร้อมกับตอบเสียงดัง
“ไหนเลยมีเหตุผลเช่นนี้! ข้าเถี่ยฉุยจะไปพบสองคนนี้เอง!” ปีศาจหมีขาวเดือดดาล ลุกขึ้นยืนเตรียมจะไปมอบบทเรียนให้แก่ทั้งสอง
“หยุด!” ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ตรงกลางถ้ำส่งเสียงตวาดเพื่อหยุดปีศาจหมีขาว
“ท่านอาจารย์!?” เถี่ยฉุยทำหน้าไม่เขาใจ
“เรื่องนี้อาจารย์มีแผนการแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องสอดมือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย เตี๋ยซาจื่อมาแจ้งเขาก่อน ตอนนี้เกรงว่ายังติดตามสองคนนี้อยู่
นอกจากเตี๋ยซาจื่อแล้ว รอบๆ ตัวสองคนนี้ไม่แน่ว่าจะไม่มีคนอื่นๆ จากวิถีธรรมะอยู่อีก
“อีกนานเท่าไหร่กว่าพวกมันจะมาถึงที่นี่” ลู่เซิ่งถาม
ปีศาจน้อยตนนั้นตกใจเพราะปีศาจหมีขาว ขาเลยสั่นกึกๆ จนแทบจะยืนไม่อยู่ พอได้ยินคำถามนี้ก็รีบตอบว่า
“เรียน…เรียนประมุขถ้ำ เรือของพวกเขาแล่นต้านลม อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกสองชั่วยามกว่าๆ…”
‘สองชั่วยามกว่าๆ หรือ…เพียงพอแล้ว’ ลู่เซิ่งผุดสีหน้าเฉื่อยชา ตอนแรกนึกว่ายังมีเวลาเตรียมตัวอย่างน้อยครึ่งเดือน นึกไม่ถึงว่าบุตรแห่งโชคชะตาจะมาหาถึงที่เร็วแบบนี้
พวกผู้บำเพ็ญ เผ่าปีศาจ ฝ่ายมารและฝ่ายนอกรีตที่พวกบุตรแห่งโชคชะตาเจอระหว่างทางมีอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเผ่าปีศาจและฝ่ายมารเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่เข้าร่วมวิถีธรรมมะเพราะอิทธิพลของคนทั้งสองอย่างไม่รู้เรื่อง ก็ถูกทั้งสองคนเข่นฆ่าสังหารและโดนล้างตระกูลทำลายเผ่าพันธุ์ชนิดไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
เปลือกนอกดูเหมือนบุตรแห่งโชคชะตาใจกว้าง มีคุณธรรม แต่ความจริงกระหายเลือดและไม่มองโลกตามความเป็นจริง
เวลาสองชั่วยาม ใช้เลื่อนระดับได้พอดี
ลู่เซิ่งตกลงใจ “เจ้าไปก่อนเถอะ” เขาโบกมือให้ปีศาจน้อยออกไปก่อน
“อาจารย์…” ปีศาจหมีขาวอยากพูดอะไรแต่หยุดไว้
“เจ้าเองก็ไปด้วย จำไว้ให้ดีว่าอีกประเดี๋ยวให้หาข้ออ้างไปลาดตระเวนด้านนอก อย่าเจอกับสองคนนั้น” ลู่เซิ่งสั่ง “อาจารย์จะจัดการเรื่องนี้เอง”
“แต่ว่า” ปีศาจหมีขาวยังคิดเถียง แต่ลู่เซิ่งใช้สายตาปรามไว้
“ขอรับ…” เถี่ยฉุยค่อยๆ ถอยไปอย่างไม่ยินยอม
ลู่เซิ่งมองตามจนเขาจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบใบหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“รายงาน ไข่มุกสายัณห์นิลของเผ่าหอยเมฆหมอกส่งมาแล้วหรือยัง”
ปีศาจที่ศีรษะเป็นแกะตัวเป็นมนุษย์วิ่งเข้ามา
“เรียนประมุขถ้ำ ไข่มุกวารีเมฆส่วนหนึ่งกับทองคำ เงิน สำริด และเหล็กธรรมดาล้วนส่งมาถึงแล้ว ไข่มุกสายัณห์นิลยังอยู่ระหว่างทางด้านหลัง ปีศาจทะเลที่เป็นผู้ส่งบอกว่าจำเป็นต้องใช้เวลาในการเก็บเกี่ยวก่อน จึงล่าช้าเล็กน้อย”
“อา ไปเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ในเมื่อยังไม่มา อย่างนั้นก็ทดลองเลื่อนระดับต่อดีกว่า
เขาค่อยๆ หลับตาลง ระดับต่อจากระดับสร้างโอสถ นอกจากขั้นเติมเต็มแล้ว ก็จะเหลือแค่จุดยากสองจุดได้แก่การขัดเกลาพลังอาคมและการฝ่าภัยพิบัติ
พลังอาคมเขาใช้พลังอาวรณ์แทนได้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการปล่อยให้กายเนื้อปรับตัว เขาคงจะก้าวสู่ระดับสร้างโอสถช่วงกลางซึ่งเป็นขั้นต่อไปเรียบร้อยแล้ว
ด้านภัยพิบัติก็ไม่มีความยากสำหรับเขาเช่นกัน จิตวิญญาณอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของมารสวรรค์ทำให้ลู่เซิ่งปกปิดไม่ให้ธรรมชาติของโลกใบนี้สัมผัสได้อย่างง่ายดาย เป็นเหตุให้ภัยพิบัตินึกว่าผู้ฝ่าภัยพิบัติกลายเป็นเถ้าธุลีไปแต่แรกแล้ว จึงไม่เกิดภัยพิบัติขึ้น
นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขากล้าจะทะลวงสู่ระดับทารกจิตในทีเดียว
ไข่มุกสายัณห์นิลยังมาไม่ถึง ลู่เซิ่งเลยได้แต่นั่งขัดเกลาพลังอาคมเงียบๆ เพื่อรอให้บุตรแห่งโชคชะตามาถึง
เวลาฝึกฝนผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ลู่เซิ่งกำลังจะกระตุ้นให้ปราณโอสถไหลเวียนในร่างกายอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้กายเนื้อปรับตัวเข้ากับปราณโอสถที่ใกล้จะยกระดับขึ้น แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากด้านนอกถ้ำอย่างเลือนลาง
ตูม!
จากนั้นถ้ำก็ส่ายโคลงเบาๆ
ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลง ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านนอกถ้ำ
ยังไม่ทันออกจากถ้ำ ก็ได้ยินเสียงตะโกนฆ่าดังมาจากด้านนอกถ้ำ ศิษย์ผู้บำเพ็ญนอกรีตซึ่งเป็นเผ่าปีศาจกลุ่มใหญ่กับพวกปีศาจน้อยกำลังห้อมล้อมคนหนุ่มสาวท่าทางมีคุณธรรมรักความถูกต้องสองคนเอาไว้
พวกปีศาจน้อยไม่มีสติปัญญา อาศัยความป่าเถื่อนพุ่งเข้าไป พวกเขาแต่ละคนล้วนใช้ทักษะพรสวรรค์โดยสัญชาตญาณเพื่อฆ่าคนทั้งสอง แต่ล้วนถูกคนหนุ่มสาวทั้งสองปัดป้องได้อย่างสบาย ก่อนจะพลิกมือแทงกระบี่ใส่ ฆ่าฟันจนรอยเลือดกระเซ็นเต็มพื้น น่าอเนจอนาถโดยแท้
แม่ทัพองครักษ์ที่นำกลุ่มไม่ใช่ปีศาจหมีขาว หากเป็นปีศาจหนูที่ถือง่ามเหล็กสองตน ปีศาจหนูสองตนนี้เดิมทีพลังปีศาจมีสิ่งเจือปน แต่อย่างไรก็เป็นแม่ทัพที่ฝึกฝนจนมีพลังปีศาจในสังกัดของถ้ำยุทธพฤกษา ทั้งยังเทียบได้กับผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานเผ่ามนุษย์
พวกเขาควงง่ามเหล็กราวพายุบุแคมเข้าต่อสู้กับคนหนุ่มสาวทั้งสองคนอย่างต่อเนื่อง บวกกับมีการช่วยเหลือจากปีศาจน้อยตนอื่นๆ เพียงแค่ไม่ตกเป็นรองเท่านั้น
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่า แม้สองคนนี้จะถือกระบี่วิเศษสู้กับเหล่าปีศาจ แต่ว่าบุรุษหนุ่มคนนั้นยังสะพายกระบี่ยาวทรงโค้งเล่มหนึ่งเอาไว้ด้านหลัง ในฝักกระบี่ยังมีรอยสีดำรอยหนึ่งอยู่
กระบี่ยาวเล่มนี้ปล่อยกลิ่นอายอันแข็งกล้าอย่างเลือนลางออกมา ทว่ากลิ่นอายนี้เร้นลับสุดขีด ถ้าไม่ใช่ลู่เซิ่งครอบครองวิญญาณระดับอริยะเจ้า เกรงว่าจะสัมผัสไม่ได้
‘ถ้าหากเราไม่ได้มาสิงร่างเอง เกรงว่านักพรตมู่อวิ๋นประมุขถ้ำยุทธพฤกษาจะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ถูกสองคนนี้เข่นฆ่าสังหารระหว่างทาง ยอดคนฝ่ายอธรรมเป็นเพียงสิ่งที่ใช้สร้างผลงานและชื่อเสียงให้แก่สองคนนี้เท่านั้น’ ลู่เซิ่งหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ
ความจริงมู่อวิ๋นถูกกำหนดให้เป็นยอดฝีมือฝ่ายอธรรมเพื่อให้ทั้งสองคนนี้ใช้เป็นเสบียงผลงานสำหรับคัดทิ้งแต่แรกแล้ว โครงเรื่องนี้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนที่มู่อวิ๋นถูกปล่อยให้หนีได้แล้ว
เซียนพรตระดับสร้างโอสถผู้ยิ่งใหญ่ไม่อาจหาที่หยั่งเท้าบนแผ่นดิน ทั้งยังถูกกดดันจนได้แต่หนีออกโพ้นทะเลอย่างจนปัญญา ไอ้คำว่าถูกกดดันที่ว่านี้ ความจริงเป็นหมากที่วิถีธรรมะได้ซ่อนเอาไว้ในตอนนั้น
‘แต่ไม่เป็นไรหรอก ข้ามาเพื่อหาทางออกให้เจ้าอยู่แล้วนี่นา!’ ลู่เซิ่งหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ สัมผัสได้ถึงสายตาอันแข็งกร้าวและซ่อนเร้นสองสายจากในที่ลับ ในนี้ยังมีความระแวดระวังเจืออยู่ด้วย เขาจึงแสดงสีหน้าสงบนิ่งกว่าเดิม
“ผู้มาเป็นใคร” เขาซึ่งหันหน้าหาคนทั้งสองที่กำลังอยู่ในกลางวงล้อมของการต่อสู้ กล่าวเสียงกังวาน
ตู้กวางชื่อเห็นนักพรตหล่อเหลาอายุน้อยที่เดินออกมาจากถ้ำแล้วเช่นกัน นักพรตผู้นั้นมีสายตาเย็นยะเยียบ บนตัวมีปราณชั่วร้ายวนเวียนเหมือนมีเหมือนไม่มี สวมเสื้อคลุมสีกรมท่า แขนเสื้อใหญ่พัดพลิ้ว ถ้าหากมองผ่านเฉยๆ คงไม่เห็นความชั่วร้าย มีแต่ความเคร่งขรึมเย็นชาเท่านั้น
“เจ้าคือประมุขถ้ำยุทธพฤกษามู่อวิ๋นหรือ” ตู้กวงชื่อแทงกระบี่ไปด้านหน้าอย่างฉับพลัน รังสีแสงสีทองกลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นรอบๆ ตัว ปีศาจน้อยทั้งหมดที่รังสีแสงสัมผัสโดนพากันร้องโอดโอยแล้วกระเด็นลอยออกไป ทรวงอกถูกระเบิดเป็นแสงสีทอง จากนั้นก็หมดสติไป
ปีศาจหนูทั้งสองตนฝืนต้านไว้ได้ เพียงแต่อาศัยพลังปีศาจเท่านั้นจึงยังไม่ล้มลง สติลางเลือน เคลื่อนไหวไม่ได้อีกแล้ว
“ถูกต้อง” ลูเซิ่งตอบอย่างสงบ “เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาอาละวาดด้านหน้าถ้ำยุทธพฤกษาของข้า”
“ก็แค่เด็กไร้นามสองคนเท่านั้น ทว่านักพรตมู่อวิ๋น เจ้าสั่งให้บริวารทำร้ายชาวบ้าน แถมยังปล่อยให้เผ่าปีศาจกลืนกินสารกายของเผ่ามนุษย์และฆ่าสัตว์ตัดชีวิต วันนี้ข้าตู้กวงชื่อจะมาหาคำว่ากล่าวจากเจ้าเอง” ตู้กวางชื่อยิ้ม กระบี่วิเศษบนมือคายปราณกระบี่สีขาวหลายสายออกมา
“คำว่ากล่าว” ลู่เซิ่งหัวเราะ “อาศัยเจ้าสองคนหรือ เป็นแค่ผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานสองคนก็กล้ามาวางโตที่ถ้ำยุทธพฤกษาของข้า รนหาที่ตาย!”
“กล่าวถูกต้องแล้ว ถ้าหากไม่มีความสามารถ พวกเราไหนเลยจะกล้ามาท้าทายตามใจ” ตู้กวงชื่อใช้อีกมือชักกระบี่ยาวที่สะพายไว้บนหลังเล่มนั้นออกมาจากด้านหลังอย่างช้าๆ
กระบี่เล่มนั้นค่อยๆ ถูกชักออก เพิ่งจะออกจากฝัก ก็เกิดเสียงกระบี่ร้องก้องกังวานปานมีชีวิต
หลังจากตู้กวางชื่อถือมันไว้ในมือ เส้นแสงสีม่วงที่ค่อยๆ สว่างบนคมดาบก็เริ่มเจิดจ้าสว่างไสว
ลู่เซิ่งเห็นเช่นกันว่า กลางคมกระบี่สลักคำว่าปฐพีเอาไว้อย่างชัดเจน
ตามโครงเรื่อง ตอนนี้สีหน้าเขาสมควรเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กลายเป็นเคร่งขรึม ถูกกระบี่ธารปฐพีสะกิดความทรงจำจนรับมือไม่ถูก
จากนั้นตู้กวงชื่อก็จะฉวยโอกาสใช้กระบี่สร้างความเสียหายให้เขา หลังจากพ่ายแพ้แล้วค่อยวิงวอนด้วยถ้อยคำสำนึกเสียใจ แล้วเข้าร่วมกับวิถีธรรมะ
กระบี่เล่มนี้เชี่ยวชาญในการตามหาจุดอ่อนข้อบกพร่องมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือจิตวิญญาณ ขอแค่มีจุดอ่อนข้อบกพร่องแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกพลังของกระบี่กระตุ้น จากนั้นจิตกระบี่ก็จะฉวยโอกาสทำลายจิตใจ
สำหรับนักพรตมู่อวิ๋นในตอนแรก เมื่อโอสถภายในจากคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานที่มีแต่รูโหว่เหมือนกระชอนเผชิญกับของวิเศษชิ้นนี้ จะต้องถูกกดข่มอย่างแน่นอน
……………………………………….