ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 478 ลูกโซ่ (2)
บทที่ 478 ลูกโซ่ (2)
โพ้นทะเล ถ้ำยุทธพฤกษา
ลู่เซิ่งที่ถือกระบี่ธารปฐพีอยู่ในมือกำลังพิจารณาตู้กวงชื่อกับเหยาเหลียนที่ผุดสีหน้าบูดบึ้งอยู่ไม่ไกลออกไปอย่างเรียบเฉย
“คนหนึ่งมีจิตวิญญาณกลับชาติมาบำเพ็ญใหม่ อีกคนเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ…พวกเจ้าสองคนค่อนข้างมีเรื่องราวทีเดียว” เขามีสีหน้าราบเรียบ คล้ายกับคนที่ตนเพิ่งฆ่าไปไม่ใช่ยอดฝีมือของสำนักอันดับหนึ่งฝ่ายธรรมะ หากแต่เป็นแค่หนอนแมลงไม่มีตาสองตัว
แม้พวกตู้กวงชื่อกับเหยาเหลียนจะถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา แต่นอกจากคราบสกปรกบนเสื้อผ้าแล้ว ที่เหลือก็ไม่ได้รับการทารุณแต่อย่างใด
เหมือนกับที่พวกเขาลงมืออย่างปรานีต่อเหล่าปีศาจน้อยของถ้ำยุทธพฤกษาเมื่อก่อนหน้านี้ พวกเขาเพียงแค่ใช้แสงสีทองทำให้ปีศาจน้อยสลบไปเท่านั้น ไม่ได้เข่นฆ่าสังหารอย่างโหดเหี้ยม
นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ลู่เซิ่งไม่ได้บดขยี้สองคนนี้จนตาย
ดูเหมือนพวกเขาสองคนจะเป็นคนจิตใจดีอย่างแท้จริง ส่วนคนที่มีฝีมือโหดเหี้ยมของจริงคงจะเป็นเตี๋ยซาจื่อที่ซ่อนหัวเก็บหางมาโดยตลอดรวมถึงยายแก่หลังค่อมไม่รู้จักที่ตายเบื้องหลังพวกเขา
ด้านในโถงศิลาของวิมานถ้ำที่โล่งกว้างเป็นสีน้ำเงินกลางถ้ำยุทธพฤกษา พอทั้งสองเห็นลู่เซิ่งกลับมา ก็ยืดตัวตรงพร้อมกับมองลู่เซิ่งด้วยสายตาไม่ยอมแพ้ทันที
“วันนี้ประมุขถ้ำร้ายกาจขึ้น พวกเราสองคนยอมศิโรราบ แต่ว่าพวกเรามาจากวิถีธรรมะ หลังจากติดอยู่ที่นี่ พวกผู้อาวุโสในสำนักจะต้องไม่เลิกราเท่านี้แน่” ตู้กวงชื่อพูดอย่างน่าเกรงขาม
“ข้ารู้” ลู่เซิ่งกึ่งนั่งกึ่งพิงอยู่บนเก้าอี้ศิลาที่เย็นยะเยียบ สีหน้าผ่อนคลายสงบนิ่ง “ข้ามู่อวิ๋นจื่อฝึกฝนวิชามาหลายร้อยปี เคยพบเห็นมาแล้วทุกอย่าง ที่ข้าปล่อยให้พวกเจ้าสองคนรอด ย่อมเป็นเพราะพวกเจ้ามีคุณค่าให้อยู่ต่อ ถ้าหากพวกเจ้าให้ความร่วมมือ ก็ไม่แน่ว่าจะปล่อยพวกเจ้าไปไม่ได้”
ตู้กวงชื่อผุดสีหน้ากระตือรือร้น ตอนแรกนึกว่าต้องตายแน่นอน เวลานี้พลันได้ยินความหวัง
“วาจาของประมุขถ้ำเป็นจริงหรือ”
“ย่อมไม่แปลกปลอม” ลู่เซิ่งเริ่มเคาะนิ้วกับโต๊ะศิลาเย็นยะเยียบตรงหน้า
วิถีธรรมะเป็นกองกำลังยิ่งใหญ่ ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือการทำความเข้าใจขุมกำลังใหญ่โตนี้เท่าที่จะทำได้ หากต้องการโค่นศัตรู สิ่งจำเป็นที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือการรู้เขา
พวกตู้กวงชื่อมีสถานะพิเศษ ย่อมกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในสายตาของเขา นอกจากนี้อาจจะดึงเนื้อหาของวิชาการบำเพ็ญหลักในวิถีธรรมะออกมาจากตัวพวกเขาได้ด้วย
“ถ้าหากพวกเจ้าตอบข้าตามจริง ข้าจะพิจารณาปล่อยพวกเจ้าไปเอง” ลู่เซิ่งไม่สนใจบุตรแห่งโชคชะตาตู้กวงชื่อผู้นี้ คนที่กดดันเขาจริงๆ ไม่ใช่บุตรแห่งโชคชะตา ไม่ใช่เตี๋ยซาจื่อ ความจริงแล้วเป็นวิถีธรรมมะทั้งสำนักต่างหาก
ที่จริงเตี๋ยซาจื่อกับบุตรแห่งโชคชะตาเป็นหมากที่วิถีธรรมะวางไว้เท่านั้น และนักพรตมู่อวิ๋นในตอนแรกก็เป็นหนึ่งในผู้เสียสละของการวางหมากครั้งนี้
“ขอแค่ไม่ใช่ความลับ สิ่งที่บอกได้ข้าล้วนไม่ปิดบัง ขอให้ท่านปล่อยศิษย์น้องของข้าไปก็พอ” ตู้กวงชื่อตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ประเสริฐมาก” ลู่เซิ่งมองเหยาเหลียนที่อยู่ด้านข้าง สตรีนางนี้กำลังมองตู้กวงชื่ออย่างงมงาย แสดงให้เห็นว่ามีจิตปฏิพัทธ์มานานแล้ว
“อย่างนั้น คำถามข้อแรก โครงสร้างของวิถีธรรมะเป็นอย่างไร” เขาเลือกคำถามที่มีขอบเขตกว้างๆ
“จอมมรรคาอยู่สุงสุด รองลงมาคือเจ็ดขุนเขา เจ็ดขุนเขาแยกกันรับผิดชอบหน้าที่ต่างๆ ในสำนักโดยมีเจ้าขุนเขาเป็นตัวแทน ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มานานแล้วทั้งสิ้น บางคนก็เป็นจอมสัจจะระดับทารกจิต บางคนก็มีพลังฝึกปรือเป็นปริศนา ต่อมาเป็นกลุ่มองค์กรใหญ่ต่างๆ ใต้สังกัดเจ็ดขุนเขา สำนักและค่ายพรรคเล็กๆ ที่ศิษย์จำนวนมากของวิถีธรรมะก่อตั้งขึ้นล้วนพึ่งพาวิถีธรรมะทั้งสิ้น นอกจากผลประโยชน์ที่มอบให้ทุกปีแล้ว หากว่ามีการย้ายตำแหน่ง ขุมกำลังที่ขยับจะมีความยิ่งใหญ่เหลือประมาณ…”
ตู้กวงชื่อเริ่มแนะนำวิถีธรรมะอย่างง่ายๆ
ลู่เซิ่งได้เข้าใจถึงสถานการณ์อันรุ่งเรือนในจงหยวนอย่างคร่าวๆ ผ่านปากคำของเขา
วิถีธรรมะยืนอยู่บนจุดสูงสุดในจงหยวน ยังไม่พูดถึงจอมมรรคาที่ลึกลับยากหยั่งคาด ต่อให้เป็นเจ้าขุนเขาแห่งเจ็ดขุนเขาก็ยืนยันได้ว่า เจ้าขุนเขาทั้งเจ็ดเป็นจอมสัจจะระดับทารกจิต มีพลังอาคมน่าตกตะลึง ส่วนผู้บำเพ็ญระดับสร้างโอสถที่อยู่ในสังกัดก็มีมากกว่าร้อยคน แถมนี่ยังเป็นเพียงขุมพลังที่วิถีธรรมะแสดงให้เห็นเท่านั้น
ลู่เซิ่งคำนวณดู ความจริงอานุภาพของผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานของที่นี่เทียบได้กับระดับอสรพิษหรือปฐพีกำเนิดจนถึงระดับผู้ถืออาวุธชั้นล่างในต้าอิน
หรือก็คือ อานุภาพในระดับสร้างโอสถมีระยะห่างกว้างมาก อาจจะเป็นได้ทั้งระดับอสรพิษ หรือไม่ก็ระดับผู้ถืออาวุธ
พึงทราบไว้ว่า หากระดับผู้ถืออาวุธปล่อยกระบวนท่าใหญ่ที่แข็งแกร่งเล็กน้อยในวงกว้าง จะทำลายเมืองเล็กๆ ได้อย่างง่ายดาย
ส่วนระดับสร้างโอสถของที่นี่ อย่างนั้นต้องไปถึงช่วงเติมเต็ม หรือไม่ก็ช่วงเจ็ดภัยพิบัติที่อยู่สูงที่สุด และอาศัยของวิเศษก่อนถึงจะมีอานุภาพระดับนี้
‘ระดับสร้างโอสถช่วงเติมเต็มเทียบได้กับผู้ถืออาวุธ จอมสัจจะทารกจิตต่อจากนั้น…จากความทรงจำของมู่อวิ๋น พลังของจอมสัจจะกับระดับสร้างโอสถต่างกันราวฟ้ากับเหว มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่จะตรงกับระดับอริยะเจ้า…’ ลู่เซิ่งคาดเดาในใจ
ระบบพลังของโลกใบนี้ไม่ได้แย่ไปกว่าต้าอิน เขาที่มาถึงระดับในตอนนี้ต้องก้าวเดินทีละก้าว และจำเป็นต้องระมัดระวังเช่นกัน
พวกเตี๋ยซาจื่อตายไปแล้ว แต่ถ้าหากบุตรแห่งโชคชะตาตู้กวงชื่อโดนเขาฆ่าไปอีกคน ผลกระทบที่จะเกิดกับวิถีธรรมะจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว
ถ้าเขาฆ่าบุตรแห่งโชคชะตาไปในวันนี้ วันพรุ่งนี้เจ็ดจอมสัจจะอาจจะร่วมมือกันบุกมาฆ่าคนก็ได้
ขณะกำลังไต่สวนตู้กวงชื่อ ลู่เซิ่งได้ใช้ความสามารถปั่นป่วนจิตใจของอสรพิษริษยาในร่างหลักนิดหน่อย ทำให้ได้รับวิธีการฝึกฝนที่สลับซับซ้อนของวิถีธรรมะมาจำนวนไม่น้อย
ทว่าก็ไม่ได้รับวิชาการบำเพ็ญหลักมา สมองของสองคนนี้ถูกวางกฎไว้ ลู่เซิ่งทดลองหลายครั้งก็ยังไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายเปิดปากได้
เขาจึงได้แต่เปลี่ยนไปเป็นเป้าหมายรอง โดยทำให้ตู้กวงชื่อบอกเคล็ดวิชาการฝึกฝนอย่างอื่นออกมา
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจระคนยินดีก็คือ ทางตู้กวงชื่อบอกเคล็ดวิชาวิถีโอสถซึ่งค่อนข้างสมบูรณ์ของสำนักยังพอว่า กลับกันเหยาเหลียนที่ไม่ค่อยสะดุดตากลับพูดถึงวิชาฝึกฝนสายมารที่ไปถึงระดับทารกจิตได้ออกมาวิชาหนึ่ง
เคล็ดวิชาสามวิชาได้ขยายความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปราณวิญญาณของโลกใบนี้ให้แก่ลู่เซิ่ง
อีกทั้งยังทำให้ระดับการปรับตัวเข้ากับกฎเกณฑ์ของร่างหลักรุดหน้าครั้งใหญ่ด้วย
หลังจากการไต่สวนจบลง ลู่เซิ่งก็ได้ใช้เวลาหนึ่งวันกว่าๆ ในการจัดระเบียบ และทำให้ร่างหลักพัฒนาจนใช้พลังสองส่วนได้สำเร็จ
ขอบเขตพลังฝึกปรือของเขาเข้าสู่ช่วงเจ็ดภัยพิบัติอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค หลังจากวิชาที่ดีปบลูเรียนรู้ออกมาได้ประสานเข้ากับเคล็ดวิชาที่เพิ่งได้มาใหม่ ก็เป็นไปตามเป้าหมายที่ลู่เซิ่งให้ความสำคัญกับปริมาณ ปริมาณปราณโอสถของวิชาที่เรียนรู้ออกมาอยู่เหนือจินตนาการของลู่เซิ่งเสียอีก
คือเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าบนพื้นฐานในตอนแรกของเขา
พึงทราบว่าตอนแรกเขามีปริมาณปราณโอสถมากกว่าผู้บำเพ็ญในขอบเขตเดียวกันมากกว่าพันเท่า พอจำนวนทบทวีขึ้นอีกครั้งบนพื้นฐานเดิม การเพิ่มขึ้นของจำนวนด้วยฐานตัวเลขที่มหาศาลเช่นนี้ก็แทบทำให้โอสถทองคำของลู่เซิ่งแข็งแกร่งถึงขอบเขตที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในโลกของการบำเพ็ญ คงจะไม่มีใครบรรลุถึงระดับนี้มาก่อน
ถัดจากนั้นติดๆ กัน ไข่มุกสายัณห์นิลที่ลู่เซิ่งรอมานานก็ถูกส่งมาถึง สิ่งที่ส่งมาพร้อมกัน ยังมีวัตถุดิบหลายชนิดของผู้บำเพ็ญไร้สังกัดบนทะเลอุดรที่ในช่วงนี้เข้าสวามิภักดิ์อย่างกระตือรือร้นเพื่อหาที่พึ่งพิงด้วย
เขาใส่วัตถุดิบทุกชนิดลงในไข่มุกกลืนสมุทรไปพลาง เริ่มศึกษาทักษะวิชาที่ใช้เก็บน้ำทะเลไปพลาง
ขณะเดียวกันพร้อมกับที่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญอิสระบนเกาะแต่ละเกาะเข้าร่วมเรื่อยๆ ขุมกำลังของถ้ำยุทธพฤกษาก็ขยายใหญ่อย่างรวดเร็วเหมือนกับกลิ้งก้อนหิมะ
โลกบำเพ็ญเซียนโพ้นทะเลไม่ปรากฏเซียนพรตเจ็ดภัยพิบัติมานานแล้ว ก่อนหน้านี้นอกจากจอมสัจจะจิ่วหลง คนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้บำเพ็ญอิสระก็คือระดับสร้างรากฐานขั้นเติมเต็ม สำหรับโพ้นทะเลที่มีทรัพยากรน้อยนิด และล้าหลังในด้านเคล็ดวิชาแล้ว ระดับเช่นนี้ก็คือขีดสูงสุด
ปัจจุบันลู่เซิ่งปรากฏกาย โค่นศิษย์วิถีธรรมะอย่างซึ่งหน้า ทั้งยังแสดงอานุภาพอันน่าหวั่นสะพรึงที่ทั้งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ออกมาอีก จึงดึงดูดผู้บำเพ็ญนอกรีต เผ่าพันธุ์ทะเล และเผ่าปีศาจที่ชอบติดตามคนแข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยในทันที
ขุมกำลังของถ้ำยุทธพฤกษาขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในเวลานี้ลู่เซิ่งกลับเริ่มค้นหาวิธีก้าวสู่ระดับทารกจิต
…
ด้านในถ้ำกักตนที่อยู่ส่วนลึกของถ้ำยุทธพฤกษา
ลู่เซิ่งถือก้อนโลหะเล็กๆ สีทองอมน้ำเงินขนาดเท่ากำปั้นไว้ในมือ เขากำลังหลับตาใคร่ครวญว่าจะเลื่อนสู่ระดับทารกจิตอย่างไร
ฟิ้ว!
เขางอนิ้วแล้วดีด ปราณโอสถสีดำอมน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว หลังวนเวียนรอบตัวเขารอบหนึ่ง ก็มุดเข้าไปในปลายนิ้วอย่างแม่นยำ หายไปในที่เดิม
‘ทารกจิตๆ ตามบันทึกบนเคล็ดหอยกาบทองแปลงมังกร คือต้องเปลี่ยนโอสถเป็นมังกรก่อน ส่วนเคล็ดวิชาวิถีมารเล่มนั้นเน้นการแปลงโอสถเป็นทารก ขั้นตอนอย่างเป็นรูปธรรมดูเหมือนจะเป็นการใช้โอสถทองคำเป็นฐาน แล้วผสมพลังงานชนิดต่างๆ เข้าไป บวกกับตัวเหนี่ยวนำเล็กน้อย จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติได้ในพริบตา จากนั้นค่อยให้กำเนิดชีวิตในโอสถทองคำ ถัดมาเป็นการบ่มเพาะเสริมสร้างพลังชีวิตจนสุกงอม เพื่อบำเพ็ญทารกคู่ชีวิตออกมา…รู้กระบวนการแล้วแท้ๆ แต่ทำไมดีปบลูถึงเรียนรู้ไม่ได้นะ น่าจะไม่ขาดอะไรแล้วนี่นา’ ลู่เซิ่งไตร่ตรอง
‘พลังอาวรณ์เป็นตัวแทนพลังงานได้แทบทุกชนิด ส่วนดีปบลูเลียนแบบสภาพแวดล้อมได้นับไม่ถ้วน จิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าของเราก็รับประกันได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาร้ายแรงในด้านคุณสมบัติของจิตวิญญาณเช่นกัน…เดี๋ยวสิ ไม่ใช่แล้ว’ อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ชะงักไป
‘จิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าเป็นจิตวิญาณหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ ส่วนทารกจิตเป็นชีวิตที่กำเนิดจากโอสถทองคำซึ่งมาจากการรวมสารกาย ปราณ จิตเข้าด้วยกันอีกที…พูดอีกอย่างก็คือ ทารกจิตไม่ใช่จิตวิญญาณหากแต่เป็นพลังงานใหม่ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติขึ้นหลังจากปล่อยให้จิตวิญญาณเข้าร่วมด้วยนั่นเอง’
ลู่เซิ่งพลันพบปัญหาของตัวเองแล้ว
‘อย่างนั้นการให้กำเนิดแบบนี้ต้องใช้เงื่อนไขอะไรล่ะ’ ลู่เซิ่งทบทวนเนื้อหาในเคล็ดวิชาแต่ละชนิด เหมือนจับจุดอะไรได้
‘…เป็นการเลียนแบบกระบวนการตอนสิ่งมีชีวิตเกิดนั่นเอง…!’
เขาพลันกระจ่างแจ้ง
ทารกจิตๆ ไม่ผิดจริงๆ ด้วย การให้กำเนิดชีวิตใหม่ขึ้นมาเอง ไม่ใช่ชีวิตในด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการวิวัฒนาการโดยสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิต!
ลู่เซิ่งเข้าใจหลักการทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่งในพริบตา เป้าหมายหลักของวิชาบนโลกใบนี้กระจ่างชัดขึ้นในสายตาของเขาทันที
‘มิน่าลัทธิเต๋าของที่นี่ถึงได้พูดถึงเรื่องกายเนื้อข้ามทะเล อาศัยลวงบำเพ็ญจริงอะไรพวกนี้ ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง…’
พอเข้าใจหลักการดั้งเดิม ลู่เซิ่งก็รู้ทันทีว่าตนขาดอะไรไป
ชีวิตใหม่ที่ให้กำเนิดจะต้องเลียนแบบสิ่งแวดล้อมและปัจจัยของการกำเนิดสิ่งมีชีวิต แต่เวลานี้ในโอสถทองคำของเขาเป็นปราณโอสถความเย็นทั้งหมด จึงขาดพลังงานธาตุหยางไป
สภาพแวดล้อมที่ไม่สมบูรณ์ย่อมให้กำเนิดชีวิตใหม่ไม่ได้ แม้จะมีชีวิตพิเศษหลากหลายรูปแบบปรากฏออกมา อย่างเช่นสิ่งมีชีวิตสุดโต่งเช่นธาตุ แต่นั่นเป็นโครงสร้างพิเศษซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาด้วยการเติมเต็มเงื่อนไขของไฟแห่งชีวิตอันเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุด
ชีวิตพื้นฐานสุดยังต้องเกิดขึ้นด้วยการผสมหยินหยางอยู่ดี
หลังเข้าใจว่าตนขาดสิ่งใดไป ลู่เซิ่งก็ผละจากถ้ำยุทธพฤกษาและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมเป็นธาตุหยางแข็งแกร่งที่สุดในคืนนั้นทันที
เป็นภูเขาไฟมีพลังตรงก้นทะเลลูกหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้
เขาเชื่อว่า อาศัยอุณหภูมิของภูเขาไฟมีพลัง บวกกับพลังงานธาตุหยางที่พลังอาวรณ์เลียนแบบ และเคล็ดวิชาพิเศษที่ใช้ดีปบลูเรียนรู้ สมควรทดลองเลื่อนระดับได้
ยิ่งพลังฝึกปรือในโลกนี้สูงเท่าไหร่ การยกระดับที่จะได้รับตอนประสานเข้ากับร่างหลักในตอนสุดท้ายก็จะยิ่งมากเท่านั้น มิหนำซ้ำวิธีการฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ยังทำให้ลู่เซิ่งสนใจเป็นอย่างยิ่งด้วย
สิ่งที่ทำให้เขาคาดหวังยิ่งกว่าก็คือ วิธีการบำเพ็ญเช่นนี้สามารถใช้กับกายเนื้อของร่างหลักที่ติดข้อจำกัดมานานแล้วได้
กายเนื้อร่างหลักในปัจจุบันของเขาติดข้อจำกัดที่ไม่อาจยกระดับความแข็งแกร่งได้อีกมานานแล้ว เนื่องจากว่าเขาได้ไปถึงขีดจำกัดที่วิชาภายนอกกับวิชาแข็งกร้าวไปถึงได้เรียบร้อยแล้ว
ต่อให้มุ่งหน้าต่อไป สภาพแวดล้อมรอบๆ ก็ดี วิชาก็ดี ล้วนไม่สามารถทำให้เขารุดหน้าได้
แต่ว่าหลักการวิชาของโลกใบนี้ทำให้เขาได้เห็นแสงอรุณอีกสายหนึ่ง
ถ้าใช้ชีวิตที่ให้กำเนิดใหม่ผ่านร่างหลักของเขาทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติอีกก้าวได้ เช่นนั้นจะสร้างกายเนื้อที่แข็งแกร่งแบบไหนออกมาได้กันนะ
……………………………………….