ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 48 เงาอรชร (6)
ดาบสั้นเล่มเล็กนี้ถึงกับฟันกำแพงไม้สองแผ่นจนแหลกติดต่อกัน ทั้งที่เป็นกำแพงไม้ที่ทำจากไม้ชนิดพิเศษ ดาบยังมีอานุภาพหลงเหลือ ฟันใส่ร่างคนเสื้อขาว
แควก!
เสียงที่เหมือนผ้าถูกฉีกขาดดังขึ้น ลู่เซิ่งสองตาเป็นสีแดง เต็มไปด้วยสายเลือด ผ่าคนเสื้อขาวออกเป็นสองท่อน
ตัวดาบหมุน เสียงโครมเมื่ออาศัยสะภาวะฟันโต๊ะไม้ด้านข้างออกเป็นสองส่วน
เขากวาดตามองห้องแวบหนึ่ง ลมปราณวิชาทมิฬพิฆาตทั่วร่างโคจรด้วยความเร็วสูง สำนึกดุร้ายบ้าคลั่งซัดสาดต่อเนื่องในทรวงอก กลับระบายไม่ออก
เปรี้ยง!
โต๊ะแปดเซียนที่ขวางทางถูกเขาถีบกระเด็น ชนใส่กำแพงจนพังลงมา แต่เขายังรู้สึกว่ามีคนแอบมอง
“หาที่ตาย!” ลู่เซิ่งกระชากเสียง ใช้วิชาดาบพยัคฆ์ดำในกระบวนท่าพยัคฆ์พิฆาตฟันออกไป
“ไสหัวออกมา!”
ประกายดาบกระแทกใส่กำแพงด้านหน้าเขาเหมือนสายฟ้าแลบ ในเสียงคำรามของพยัคฆ์ดำเกิดเสียงกัมปนาท
ตูม!
กำแพงครึ่งหนึ่งถูกลู่เซิ่งที่มีวิชาทมิฬพิฆาตเสริมกระแทกแหลกในกระบวนท่าเดียว กลายเป็นแผ่นไม้สีดำนับไม่ถ้วนกระเด็นออกไป
ด้านหลังกำแพงแผ่นที่สามซึ่งถูกกระแทกแหลกลง สตรีกระโปรงขาวผมยาวปิดหน้าโผล่ขึ้นมาด้านหน้าเขา
เงาร่างของซ่งเจิ้นกั๋วกับจวินเอ๋อร์ขดอยู่ที่มุม จ้องมองนางด้วยใบหน้าสิ้นหวังหวาดกลัว ตอนนี้กลับอึ้งไปเพราะลู่เซิ่งทะลวงเข้ามา
ทั้งสองคนงงงันก่อน รอจนจดจำลู่เซิ่งได้ พลันยินดี มองเขาที่คล้ายเทพจุติโถมจะตัวใส่สตรีกระโปรงขาว
ซ่งเจิ้นกั๋วกำลังจะลุกขึ้นเข้าไปใกล้ กลับถูกจวินเอ๋อร์ดึงตัวไว้
“ไม่ถูกต้อง! รอไปก่อน!” มุมปากจวินเอ๋อร์มีเลือดไหล ไม่ทราบว่าบาดเจ็บได้อย่างไร แต่ตางามขณะนี้จ้องมองลู่เซิ่ง รู้สึกได้ชัดเจนว่าสภาพของคนผู้นี้ผิดปกติ
“มีอันใดไม่ถูกต้อง นั่นเป็นพี่ลู่ เป็นพี่เยว่เซิง คิดไม่ถึงว่าเขาแข็งแกร่งร้ายกาจปานนี้ เขาจะต้องมาช่วยข้าแน่!” ซ่งเจิ้นกั๋วฮึกเหิม รีบอธิบาย
“ท่านดูดีๆ!” จวินเอ๋อร์ลดเสียงเตือน
ซ่งเจิ้นกั๋วงุนงง หันขวับไป จึงค่อยพบว่าสภาพของลู่เซิ่งไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
“คิกๆๆ…” เงาร่างสตรีพลันลอยถอยหลัง เปลวเพลิงสีเขียวหลายกลุ่มพุ่งมาหาลู่เซิ่งจากสองฟากเหมือนกับเป็นศีรษะคน
เพลิงสีเขียวหลายสิบกลุ่มปกคลุมมุมที่หลบได้ของเขาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
วิชาทมิฬพิฆาตถูกกระตุ้นสุดกำลัง ในใจลู่เซิ่งล้วนเป็นความบ้าคลั่งโหดเหี้ยม ดาบสั้นบนมือสั่นอย่างรุนแรง ปราณภายในจำนวนมากรวมกันไหลเข้าสู่แขนขวา สะบัดคมดาบไปเบื้องหน้า
โฮก!
เสียงเสือใหญ่คำราม
ประกายดาบสีเงินถึงกับกลายเป็นแสงสีเงินที่เหมือนกับขวานยักษ์ ปะทะซึ่งหน้าเข้ากับเพลิงสีเขียวที่ลอยเข้ามา
โป๊ะๆๆ…
เสียงที่เหมือนฟองอากาศถูกเจาะแตกดังติดต่อกัน เพลิงสีเขียวจำนวนมหาศาลถูกกระแทกกระจายออก ตกใส่รอบๆ ไม่ทันไรก็ไหม้โคมไฟแดงที่แขวนอยู่ ไฟลามไปตามพรมและผนัง ลุกลามออกมา
“ยอดฝีมือในยุทธภพหรือ ฝึกฝนทั้งกำลังภายใน กำลังภายนอกใช่หรือไม่ มีความสามารถดี” สตรีนางนั้นหัวเราะเสียงแหลม ร่างลอยพลิ้วแผ่ว สะบัดมือออกมา
ทันใดนั้นลูกกลมสีดำแถวหนึ่งก็ลอยเข้ามาจากด้านในรูใหญ่บนกำแพงของห้องที่ถูกทำลาย ลูกกลมหลายสิบก้อนฉวยโอกาสพุ่งใส่ตอนลู่เซิ่งรับมือไม่ทัน
“บารมีพยัคฆ์!” ลู่เซิ่งสองมือกำดาบ ร่างกายใหญ่โตกับดาบที่สั้นเล็กกลายเป็นขั้วตรงข้ามที่ชัดเจน แต่ว่าดาบสั้นเล่มนั้นกับสั่นด้วยความเร็วสูง ยิ่งมายิ่งสว่าง ยิ่งมายิ่งแยงตาพร้อมกับแสงสะท้อนของเปลวเพลิง
ฟู่ว!
กระแสลมราวเสือใหญ่พัดขึ้นมา ลู่เซิ่งโถมเข้าไป พลังระเบิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ถึงขั้นสูงกว่าความเร็วที่ก่อนหน้าไล่ฆ่าคนเสื้อขาวผู้นั้น
เงาร่างของเขาหลบหลีกติดต่อกัน ถึงกับหลบลูกกลมทั้งหมดได้โดยสมบูรณ์แบบ จากนั้นก็ฟันดาบหนึ่งใส่ลำคอสตรีนางนั้นราวฟ้าผ่าไม่ทันปิดหู
ฉูด!
ศีรษะลอยขึ้น ลู่เซิ่งพลิกมือฟันกลับอีกดาบ
ฉูด!
สตรีกระโปรงขาวถูกฟันเอียงกลายเป็นสองส่วน ส่งเสียงกรีดร้องแสบแก้วหู
ไฟยิ่งมายิ่งลุกโหม ไม่ทันไรคานห้องก็ถูกเผาหัก ถล่มลงมาโครมคราม
หลังลู่เซิ่งลงมือสุดกำลัง เรี่ยวแรงยังไม่กลับมา จึงโดนคานทับ ไฟรอบๆ ม้วนเข้าหาเขาเหมือนกับมีชีวิต พริบตาเดียวก็ไม่เห็นคนแล้ว
“ลู่เซิ่ง!”
ยามนี้ซ่งเจิ้นกั๋วกับจวินเอ๋อร์ค่อยพุ่งออกมาจากมุมห้อง หมายช่วยเหลือเขา แต่ไม่ทันแล้ว
คานตกลงมาโดนศีรษะลู่เซิ่งพอดี ไฟม้วนเขาเข้าไปในพริบตา ไม่เห็นเงาคนอีก
“รีบไป!” จวินเอ๋อร์จับซ่งเจิ้นกั๋วไว้แน่น
“เยว่เซิง! พี่ลู่!” ซ่งเจิ้นกั๋วตะโกน
“พวกท่านยังคงเป็นห่วงตัวเองดีกว่า”
สตรีอาภรณ์ขาวก่อนหน้านี้ถึงกับโผล่มาอีกครั้ง ร่างนางสมบูรณ์ไม่บุบสลาย ลอยพลิ้วอยู่ด้านบนเปลวเพลิงในห้อง ดวงตาใต้ผมจ้องมองคนทั้งสองอย่างชั่วร้าย
พวกซ่งเจิ้นกั๋วรีบวิ่งออกไปจากประตู ไม่กล้าหันมามอง
“เพราะข้า! ข้าทำร้ายพี่ลู่!” ซ่งเจิ้นกั๋วน้ำตาคลอ โศกเศร้าเหลือแสน
“หนีออกไปก่อนค่อยว่ากัน!” จวินเอ๋อร์กล่าวอย่างแน่วแน่
ฟิ้ว!
สตรีอาภรณ์ขาวเบื้องหลังลอยออกมาอย่างรวดเร็ว ไล่ตามทั้งสองไป
“คิดหนีหรือ!” นางร้องเสียงแหลม
โฮก!
ตอนนี้เอง ในเพลิงโหมด้านหลังสตรีแว่วเสียงคำรามดังมา เงาคนกำยำที่ยังลุกไหม้สายหนึ่งดันคานออก กระโจนออกมาจากเปลวเพลิง
ประกายไฟจำนวนมากกระจายออก มือใหญ่ข้างหนึ่งคว้านางจากกองเพลิง
“เจ้า!?” สตรีอาภรณ์ขาวหันกลับอย่างตระหนก
กลับเห็นลู่เซิ่งพุ่งออกมา ประกายดาบม้วนเปลวเพลิง เหมือนกับพัดคลื่นบุปผาสีแดงขนาดยักษ์ ฟันจากศีรษะนางลงไป
ฉัวะ!
นางถูกแยกหนึ่งเป็นสอง โดนลู่เซิ่งผ่าเป็นสองส่วนอีกครั้ง
แต่ร่างกายของนางที่ถูกฟันเป็นสองส่วนถึงกับหลอมรวมกันอย่างรวดเร็ว กลับคืนเป็นปรกติกลางอากาศอีกด้านหนึ่ง
“แค่คนธรรมดา! กลับกล้า…” นางกรีดร้อง ผมดำพลิกบิดไปมา ซ้อนสองมือ ทำท่ามือประหลาด กระโปรงขาวรอบๆ พลันกลายเป็นผ้าสีขาวหลายผืนลอยม้วนหาลู่เซิ่ง
“ไปตายซะ!” ผ้าต่วนขาวหลายผืนพุ่งลงมา ทุกผืนต่างแหวกอากาศ ส่งเสียงหวีดหวิวแหลมคม
ลู่เซิ่งสองตาแดงฉาน เสื้อผ้าทั้งตัวติดไฟยังไม่ดับ บางที่ยังปรากฏควันขาว
วิชาทมิฬพิฆาตถูกใช้ติดต่อกัน ทำให้เขาฟื้นคืนสติส่วนหนึ่งได้
พอสัมผัสได้ว่าร่างกายตัวเองสั่งสมอาการบาดเจ็บอย่างใหญ่หลวง ลู่เซิ่งก็เร่งความเร็วโคจรวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกในร่าง วิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกที่ร้ายกาจขึ้นมีพลังฟื้นตัวแข็งแกร่งยิ่ง ไม่ทันไรก็รู้สึกได้ว่าความร้อนลวกในร่างกายเบาลงมาก
แต่ว่าพอเปลี่ยนปราณภายใน วิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกกับวิชาทมิฬพิฆาตก็โคจรด้วยความเร็วสูงพร้อมกัน ลู่เซิ่งพลันรู้สึกว่าในร่างเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ธรรมดาบางอย่าง
ไอร้อนสองสายหมุนวนในร่างพร้อมกัน สายหนึ่งบ้าคลั่ง สายหนึ่งสงบนิ่ง
เขาถือดาบจ้องมองสตรีกลางอากาศเขม็ง ในใจบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่งในทันที
ปราณภายในสองสายแยกออกซ้ายขวา ไหลสู่แขนข้างซ้ายข้างขวา จากนั้นรวมตัวพันพัวบนดาบสั้นที่สองมือจับแน่น กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และเหี้ยมเกรียม
ร่างกายของลู่เซิ่งยืดขึ้นเล็กน้อยตามพลังงานสายนี้
ภาพจินตนาการพยัคฆ์ดำกับกระเรียนเซียนหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเกิดขึ้นในห้วงสมองของเขาอย่างฉับพลัน หมุนวนพัวพันกัน
โชคมาถึงหัวสมองแล่นฉิว พริบตานั้นดาบสั้นในมือลู่เซิ่งสาดประกายแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งออกมา
โฮก! แกว๊ก!
เหมือนกับเสียงร้องก้องสูงของเสือและกระเรียนซ้อนกันพุ่งขึ้นฟ้า
ขณะเสือคำรามกระเรียนร้อง ลู่เซิ่งกระโดดขึ้น ประกายดาบแทงใส่ร่างของสตรีผู้นั้น
“ตาย!”
เปรี้ยง!
ครั้งนี้พลังอันมหาศาลไม่ได้ทำให้สตรีผู้นั้นถูกฟันเป็นสองส่วน แต่ว่าร่างกายกลับระเบิดตูมกลายเป็นชิ้นส่วนมากมาย พอสะเก็ดไฟกระเด็นใส่ ชิ้นส่วนก็ลุกไหม้ ตกลงสู่กองเพลิง ไม่มีเสียงอีก
โครม!
ลู่เซิ่งตกลงพื้นอย่างหนักหน่วงจนเรือสำราญสั่นสะเทือน หอบหายใจอย่างรุนแรงพักหนึ่ง ก็ค่อยๆ ยืนขึ้น ก้มตัวเก็บปิ่นหยกม่วงแท่งหนึ่งขึ้นจากดาดฟ้าเรือ นี่เป็นสิ่งของเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือจากสตรีนางนั้น
“พี่ซ่ง ดูเหมือนโชคสิเหน่หาของท่านไม่ตื้นเขิน ไม่เป็นอะไรสักนิดเดียว” ลู่เซิ่งเห็นพวกซ่งเจิ้นกั๋วบนดาดฟ้าเรือ ก็ฉีกยิ้มเผยฟันขาวราวหิมะ
“พี่… พี่ลู่หรือ…” ซ่งเจิ้นกั๋วเห็นภาพของศึกใหญ่เมื่อครู่ทั้งหมด สงสัยอยู่บ้างว่าพี่น้องสหายที่เพิ่งคบกันผู้นี้เป็นมนุษย์หรือไม่
“ไปหาพี่เฉินเถอะ พวกเราควรลงเรือได้แล้ว หากสายไปก็ไปไม่ได้แล้ว” ลู่เซิ่งยกมือขึ้น เห็นเสื้อบนร่างตัวเองถูกเผาเกรียมจนติดผิว ดีที่เป็นเพราะวิชาทมิฬพิฆาตเขาจึงกันไฟได้ดียิ่ง การเคลื่อนไหวตอนต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อก่อนหน้ารุนแรงและรวดเร็วเกินไป ไฟบนร่างไม่ได้ลุกไหม้ต่อเป็นวัฏจักรอันเลวร้าย ดังนั้นแผลไฟไหม้จึงมีไม่มาก
“ผี… ผีหญิงตนนั้นตายไปแล้วหรือ” ซ่งเจิ้นกั๋วถามอย่างงุนงง
“ไม่รู้ แต่สมควรตายแล้ว” ลู่เซิ่งสั่นศีรษะ มองไปยังเสี่ยวจวิน
เสี่ยวจวินยิ้มๆ เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและซาบซึ้ง
ทั้งสามคนช่วยกันหาเฉินเจียวหรงที่สิ้นสติเจอที่มุมหนึ่งของเรืออย่างรวดเร็ว ซ่งเจิ้นกั๋วแบกเขา ทั้งสี่คนลงไปบนท่าเรือ เพิ่งลงจากเรือ เรือสำราญด้านหลังพริบตาเดียวก็ถูกเผาเป็นเรือเพลิง เปลวไฟเห็นได้ชัดเจนบนแม่น้ำไม้สน
สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือ ตอนนี้พวกเขาค่อยพบว่า สถานที่ที่ตัวเองอยู่ไม่ใช่บนแม่น้ำข้างเมืองเลียบคีรี หากเป็นริมแม่น้ำนอกชานเมืองแห่งหนึ่ง
ทั้งสี่คนขึ้นฝั่งมองดูรอบๆ ถึงกับไม่เห็นร่องรอยผู้คนอยู่อาศัยแม้แต่น้อย เห็นป่าที่พุ่มหญ้างอกเงยแห่งหนึ่ง
ลู่เซิ่งเจอเสื้อนอกของซ่งเจิ้นกั๋วก็เลยเปลี่ยนเสื้อ
หลังจากเสื้อผ้าบนตัวเขาฉีกขาด ผิวหนังส่วนหนึ่งเป็นแผลไฟไหม้ ส่วนใหญ่เพียงถูกลวกจนดำ ผมเผ้าหนวดเคราเส้นขนล้วนถูกเผาจนหมดสิ้น คนกลายเป็นไข่ไก่เกลี้ยงเกลา
มองดูเรือสำราญกลางเพลิงโหมค่อยๆ จมลงแม่น้ำ หายสาบสูญอย่างช้าๆ ลู่เซิ่งมองจวินเอ๋อร์ ซ่งเจิ้นกั๋วเวลานี้มองจวินเอ๋อร์เช่นกัน พวกเขาต่างต้องการคำอธิบาย คำอธิบายที่มีแต่เสี่ยวจวินที่รู้
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวใดกันแน่
จวินเอ๋อร์เห็นสายตาของทั้งสอง ก็ก้มหน้าเม้มปากเงียบเสียง
“พวกท่านอย่ามองข้า เรื่องเรือสำราญข้าเองก็รู้ไม่มาก สิ่งที่ข้ารู้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ พวกเราไม่ใช่เรือสำราญทั่วไป ด้านบนมีคนที่ลี้ลับร้ายกาจยิ่งคนหนึ่ง เรือสำราญบนแม่น้ำไม้สนส่วนใหญ่เป็นเขาควบคุม และเรือสำราญของพวกเราก็เป็นของเขาในนาม
สตรีนางนั้นเป็นหัวหน้าเรือที่ดูแลพวกเรามาโดยตลอด เพียงแต่ข้าไม่เคยทราบว่านาง… นางถึงกับ…” จวินเอ๋อร์ส่ายหน้าแผ่วเบา ถอนใจคำหนึ่ง
“กลับไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ” ลู่เซิ่งมองแม่น้ำที่ว่างเปล่า “ใครทราบบ้างว่าที่นี่เป็นที่ไหน”
“ข้าน่าจะรู้” ซ่งเจิ้นกั๋วยิ้มขื่น “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ที่นี่สมควรเป็นเส้นทางล่องแม่น้ำด้านใต้ของแม่น้ำไม้สนที่อยู่ด้านนอกเมืองเลียบคีรี ห่างจากเมืองเลียบคีรีสิบกว่าลี้ได้ พวกเราขอแค่เดินขึ้นไปตามแม่น้ำก็พอ”
เขามองลู่เซิ่งที่ทั่วร่างดำเกรียม ยื่นมือบังจวินเอ๋อร์ พลันโค้งตัวต่ำให้ลู่เซิ่ง
“ครั้งนี้ข้ากลับทำร้ายเยว่เซิงและเจียวหรง เพื่อเรื่องของข้ากับจวินเอ๋อร์ เกือบดึงพวกท่านสองคนเข้ามาด้วย”
“เรื่องนี้… เกรงว่าจะยังไม่จบ” ลู่เซิ่งกลับส่ายหน้าน้อยๆ ให้เขา
ซ่งเจิ้นกั๋วงุนงง พลันมองเห็นสายตาของลู่เซิ่งอยู่บนตัวจวินเอ๋อร์ข้างกายตัวเอง
เขารีบหันไปมองจวินเอ๋อร์ กลับพบอย่างตื่นตระหนกว่า ร่างกายที่เดิมคงอยู่ของนางกำลังกลายเป็นกึ่งโปร่งแสงอย่างช้าๆ
………………………………………….