ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 482 ปกครอง (2)
บทที่ 482 ปกครอง (2)
‘ใยแมงมุมสามารถใช้ได้เองโดยอัตโนมัติ เอาไปสร้างอาวุธได้หลากหลายรูปแบบ และสามารถเชื่อมเป็นโครงข่าย ทำให้พลังอาคมของเราได้รับการยืดขยายในอาณาเขตที่กว้างกว่าเดิมได้’
หลังจากตกลงใจแล้ว ลู่เซิ่งก็มองไปยังวิชาที่สอง
‘วิธีหลอมสร้างศพกลับมีส่วนคล้ายกับขั้นตอนของผู้บำเพ็ญสายเซียนดั้งเดิมเล็กน้อย’ ลู่เซิ่งนึกย้อนถึงวิชานี้ในบันทึก
‘วิชาหลอมสร้างศพที่มู่อวิ๋นเก็บรวบรวมไว้ ใช้สร้างศพได้ห้าชนิด ศพธรรมดา ศพนิล ศพสำริด ศพเหล็ก และศพเงิน’
ศพเงินเทียบได้กับผู้บำเพ็ญระดับสร้างโอสถ แต่ว่าวัตถุดิบจะต้องเป็นศพของผู้บำเพ็ญระดับสร้างโอสถเท่านั้น นอกจากนี้การสร้างยังต้องใช้วัตถุดิบที่ล้ำค่าและยุ่งยากถึงขีดสุด ผลาญเงินผลาญทองเป็นอย่างยิ่ง
ดีที่สิ่งที่ลู่เซิ่งสนใจจริงๆ คือการอาศัยวิชาพิเศษชนิดหนึ่งซึ่งใช้ปราณความเย็นและปราณศพผสมกันเพื่อสร้างศพเงิน วิชานี้เป็นรูปเป็นร่างเร็ว มีประสิทธิภาพดี เพียงแต่สิ้นเปลืองพลังอาคมถึงขีดสุด จำเป็นต้องใช้พลังอาคมจำนวนมากในการทำให้ศพเงินสุกงอม
ส่วนเรื่องวัตถุดิบ แค่ออกไปแย่งชิงเดี๋ยวก็รวบรวมครบเอง ทว่าวิชาที่จะแสดงจุดเด่นของพลังอาคมของตนได้อย่างเต็มที่นั้นหายาก
หากใช้วิชานี้ได้ดี จะสามารถแก้ไขสภาพสภาวะขาดแคลนของเขาที่มียอดฝีมือในสังกัดน้อยเกินไปได้ทันที
‘มีศพระดับสร้างโอสถที่ใช้ทดลองได้พอดี’ ลู่เซิ่งคิด ยืนอยู่ตรงก้นทะเลพร้อมกับหลับตา แล้วใช้ดีปบลูฝึกฝนวิชานอกรีตสองชนิด
…
“สมาธิบรรลุถึงหทัย เก้าชีวิตหล่นลงไปในโถงกีฏะ วันหนึ่งแย่งชิงนภาฟ้า ภาพพร่างพรายธรรมชาติสุกสกาว”
ในหุบเขาลึก นักพรตเคราขาวคนหนึ่งแกว่งน้ำเต้าสุราในมือขณะเดินร้องเพลงอยู่บนเส้นทางเล็กระหว่างหุบเขาที่เป็นลุ่มเป็นดอน
เพลงที่เขาร้องไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน ในนี้แฝงสภาวะที่ไม่อ่อนด้อย กอปรกับอยู่ด้านนอกป่าเขารกร้างไร้ผู้คน แม้เป็นคนโง่ก็ทราบว่าชายชราผู้นี้ไม่มีทางเป็นแค่คนธรรมดาๆ
เขาเขียวมืดครึ้ม ในป่าเย็นเยียบเสียดกระดูก ชายชราดื่มสุราพลางขับบทกลอนพลาง เดินโขยกเขยกด้วยฝีก้าวที่เชื่องช้า แต่ทุกๆ ย่างก้าว กลับเป็นระยะทางหลายร้อยหมี่ ทำให้คนที่เห็นตกตะลึง
ชายชราตัดทะลุเส้นทางบนเขาเข้าไปในป่ารกชัฏ แล้วหยุดฝีเท้าลงกลางป่าโปร่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้โบราณสูงระฟ้า
“ศิษย์น้องเล่า ยังไม่ออกมาต้อนรับอีก!” ชายแก่เอะอะโวยวายพร้อมกับมองไปยังด้านบนต้นไม้ต้นหนึ่ง
ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นหนาขนาดสามคนโอบ บนคาคบมีชายชราผมขาวที่สวมชุดคลุมสีขาวคนหนึ่งนั่งอยู่
ชายชราก้มลงมองลงชายชราที่เมาสุรา
“ศิษย์พี่ไม่มีธุระแล้วมาหาข้าทำไมอีก สุราของข้าถูกท่านดื่มจนเกลี้ยงแล้ว ของใหม่ยังไม่มาถึงเลย”
“เจ้าเห็นศิษย์พี่เหมือนคนเมาหัวราน้ำหรืออย่างไร” ชายชราเมาสุราโบกมือ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่มาในครั้งนี้ก็เพราะกวงชื่อ หลานสุดรันทดของข้า ตอนนี้จอมมรรคาให้อวิ๋นเหย่ลงมือ คนผู้นั้นเป็นพวกไม่สนใจความเป็นความตายของคนอื่น ถ้าลงมือหากไม่ตายก็พิการ คิดจะรักษาชีวิตของหลานข้าไว้ เกรงว่าจะต้องยืมแผนที่ฆ้องทองของศิษย์น้องแล้ว”
“แผนที่ฆ้องทองหรือ” ชายชราผมขาวขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่จะยืมนานขนาดไหน” พึงทราบว่าแม้เขาจะมีของวิเศษอยู่เยอะ แต่แผนที่ฆ้องทองเป็นของวิเศษที่ล้ำค่าที่สุด ซึ่งความจริงหากไม่ใช่ศิษย์พี่ผู้นี้มาขอยืมด้วยตัวเอง เขาไม่มีทางให้ยืมเด็ดขาด
นี่เป็นของวิเศษคู่ชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเขาหลอมมาแล้วหลายครั้ง ของวิเศษชิ้นอื่นๆ ล้วนอ่อนด้อยกว่ามันเท่าหนึ่ง
“ไม่นานๆ ใช้แค่สองสามวันเท่านั้น” นักพรตเมาสุรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่างนั้นก็ได้” คิ้วที่ขมวดของชายชราคลายออก
นักพรตเมาสุราถอนใจเฮือกหนึ่ง
“ศิษย์น้องก็รู้ว่าข้าฝึกฝนวิชาคำนวนเก้าภูผามาหลายปี ครั้งนี้สังหรณ์ว่าหลานข้าจะเกิดเคราะห์ร้าย จึงไม่สบายใจ”
“ศิษย์พี่คิดมากไปแล้ว ศิษย์น้องอวิ๋นเหย่มีพลังฝึกปรือล้ำลึก แถมยังต่อสู้ได้อย่างน่าตกตะลึง แม้จะเพิ่งเข้าสู่ระดับทารกจิต แต่ก็ครอบครองกระบี่อำนาจฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในสามกระบี่เทวะอยู่ในมือ และการไปช่วยคนในครั้งนี้ก็เป็นแค่การไปสั่งสมสภาวะก่อนจะไปหาสำนักกระบี่เทวะ เพื่อสร้างรากฐานในการต่อสู้กับสำนักกระบี่เทวะเท่านั้นเอง หากพูดถึงการต่อสู้จริง พวกเราสองคนผนึกกำลังกันยังไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของศิษย์น้องอวิ๋นเหย่ด้วยซ้ำ” ชายชราเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ศิษย์น้องอวิ๋นเหย่เชี่ยวชาญในศาสตร์ทุกแขนง ถือเป็นผู้บำเพ็ญระดับสุดยอดที่โดดเด่นในหมู่ทารกจิตของวิถีธรรมะแล้ว พูดถึงการฆ่าฟัน เขาเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ ข้อนี้ศิษย์พี่เองก็ยอมรับ เพียงแต่…” นักพรตเมาสุราส่ายหน้า ยังคงไม่สบายใจอยู่บ้าง
“ในเมื่อศิษย์พี่ไม่วางใจ ก็ออกไปดูเขาด้วยตัวเองเสียสิ ช่วงนี้ผู้บำเพ็ญฝ่ายมารในโลกบำเพ็ญเซียนโพ้นทะเลเหิมเกริมกว่าเดิม พวกเราจอมสัจจะเร้นกายไม่ถามไถ่เรื่องทางโลกมาหลายปี การออกไปให้บทเรียนพวกตัวปัญหาบ้างก็ไม่เลวเหมือนกัน” ชายชราผมขาวกล่าวอย่างราบเรียบ
“ศิษย์น้องก็อยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกันสินะ เพราะเรื่องนั้นกระมัง” นักพรตเมาสุราสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที
เรื่องราวนั้นเคยสร้างความวุ่นวายไปทั่วจงหยวน ถ้าไม่ใช่เพราะจอมมรรคาพลิกสถานการณ์ในตอนสุดท้าย เกรงว่าวันนี้…
นอกจากนี้เพื่อเรื่องนั้นแล้ว จอมมรรคาในปัจจุบันได้แต่เร้นกายอยู่ในหุบเขา ไม่อาจจากไปไหนได้
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ครั้งนี้ผู้บำเพ็ญฝ่ายมารปรากฏกายอย่างเหิมเกรม ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาส” ชายชราผมขาวเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“ข้าเข้าใจแล้ว…” นักพรตเมาสุราพยักหน้า “ถ้าหากเกิดเรื่อง ข้าจะใช้อำนาจทั้งหมดร่วมมือกับเจ้า”
“ขอบคุณมากศิษย์พี่”
…
ในโลกบำเพ็ญเซียนโพ้นทะเล นับตั้งแต่การผงาดขึ้นอย่างกะทันหันเหมือนอาทิตย์กลางหาวของประมุขถ้ำยุทธพฤกษาในเขตทะเลอุดร วิถีธรรมะก็ไม่เคลื่อนไหวอีก ถ้ำยุทธพฤกษารวบรวมผู้บำเพ็ญนอกรีตและผู้บำเพ็ญปีศาจที่มาขอสวามิภักดิ์ เกาะจำนวนมากพากันยอมแพ้
ต่อให้เป็นขุมกำลังที่ไม่มีความคิดจะยอมแพ้ ก็ไม่กล้าขัดเจตนารมณ์ของถ้ำยุทธพฤกษาอย่างชัดเจน
ทุกคนต่างกำลังรอคอยการปะทะกันระหว่างยอดฝีมือที่แท้จริงซึ่งวิถีธรรมะส่งมากับถ้ำยุทธพฤกษา
เดือนสิบวันที่เจ็ด ต้นหยางงดงามบุปผาเบ่งบาน
ลู่เซิ่งนั่งอยู่บนสุดของโถงใหญ่ในถ้ำศิลา ด้านล่างคือบัลลังก์หัวมังกรมีพนักพิงสองข้างที่กว้างใหญ่และหนาหนัก
คบเพลิงด้านล่างสว่างไสว ยอดฝีมือแปดคนที่เพิ่งมาสวามิภักดิ์นั่งอย่างเป็นระเบียบอยู่สองฟากข้าง คนที่อ่อนแอที่สุดคือผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานขั้นเติมเต็ม ส่วนคนที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับสร้างรากฐานขั้นกลาง คนเหล่านี้เป็นคนที่มีแผนการในใจซึ่งได้ทราบถึงพลังที่ลู่เซิ่งได้แสดงออกมาในวันนั้น
ทว่าส่วนใหญ่เป็นระดับหัวหน้าของขุมกำลังใต้สังกัดที่ลู่เซิ่งลงมือบีบบังคับให้เข้าร่วม
“ตอนนี้ถ้ำยุทธพฤกษาของพวกเราได้ยึดครองอาณาเขตทะเลอุดรมากกว่าครึ่งแล้ว กล่าวได้ว่า นอกจากเผ่าพันธุ์ทะเลจำนวนน้อยที่ติดต่อไม่ได้ สถานที่อื่นๆ ล้วนอยู่ในการปกครองของพวกเรา ไม่เลวจริงๆ” ผู้พูดคือชายหัวล้านร่างกำยำที่มีงูยักษ์สีแดงตัวหนึ่งพันอยู่บนหน้าอก
เขาคือหลินเฉาเหลย ระดับสร้างรากฐานระยะกลางที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ยอดฝีมือแปดคน และถูกวิถีธรรมะล่าตัวมาหลายปี มีฉายาจอมสัจจะอสรพิษสายลม เพียงแต่ดูท่าทางมีความวิตกจริตที่บรรยายไม่ถูก เหมือนกระสับกระส่ายถึงขีดสุด
“รูปการณ์ทุกอย่างดีมาก เพียงแต่ว่าสถานที่บางแห่งก็ไม่สามารถปราบได้โดยสมบูรณ์ วิถีธรรมะยังอยู่ ตราบใดที่ยังสลัดไม่หลุดจากวิถีธรรมะ คนที่เป็นบริวารอย่างพวกเราอย่างไรก็ไม่มีความมั่นใจอยู่บ้าง” บุรุษอาภรณ์แดงที่แต่งหางตากับมุมปากเป็นสีแดงกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ชายไม่หญิง “ประมุขถ้ำบอกตามตรงได้หรือไม่ คนอย่างพวกเราสู้สุดชีวิตที่แนวหน้าเพื่อท่าน อย่างไรก็อยากจะวางใจในแนวหลังด้วย”
พอกล่าวคำพูดนี้ออกไป คนอื่นๆ ล้วนเงียบงัน ความจริงทุกคนต่างก็มีความกังวลว่าประมุขถ้ำจะทนแรงกดดันจากวิถีธรรมะได้ไหม ความจริงแล้วนี่ยังเป็นปริศนาอยู่
พวกเขาต่างก็เตรียมแผนการที่จะหลบหนีได้ตลอดเวลาเอาไว้แล้ว
ดวงตาหลายคู่หยุดอยู่บนร่างของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งซึ่งตกเป็นเป้าสายตากลับยังคงวางสองแขนบนที่รองแขนด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ฟู่จิ้น เผ่าเต่าดำที่ครั้งก่อนให้เจ้าส่งคนไปแจ้งมีข้อมูลหรือยัง” เขากลับถามแทนที่จะตอบ
ฟู่จิ้นเป็นหนึ่งในแปดคนนี้เช่นกัน ได้ยินดังนั้นก็งงงันเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างหนักใจ
“ประมุขถ้ำเองก็ทราบว่า เบื้องหลังเผ่าเต่าดำมีขุมกำลังลึกลับคอยสนับสนุนอยู่ กอปรกับพวกมันเองก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่อ่อนแอ ขอแค่พวกมันหดหัวไม่ออกมา ก็ไม่มีผู้ใดทำอะไรพวกมันได้”
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ตอนนี้เขาสำเร็จเป็นทารกจิตแล้ว จึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณทารกมีผลหล่อเลี้ยงต่อจิตวิญญาณและกายเนื้อของร่างหลัก นี่ทำให้เขารู้สึกยินดีกว่าเดิม
ถึงแม้การหล่อเลี้ยงนี้จะอ่อนแอมาก ไม่สามารถคงอยู่ได้นานและอ่อนโยนขนาดนั้น
เป้าหมายของเขาในวันนี้คือการควบรวมโลกบำเพ็ญเซียนโพ้นทะเล สร้างผีดิบ รวบรวมยอดฝีมือ เพื่อปะทะกับวิถีธรรมะอย่างเป็นทางการ เขาในตอนนี้ยังมีคุณสมบัติไม่พอ
โลกบำเพ็ญเซียนโพ้นทะเลกว้างใหญ่เกินไป ทว่าช่วงนี้มีขุมกำลังหลายแห่งที่ทดลองปราบได้ ทั้งยังเป็นเผ่าพันธุ์ทะเลและเผ่าปีศาจที่ยกย่องผู้แข็งแกร่งเป็นราชาด้วย
เผ่าปีศาจกับเผ่าพันธุ์ทะเลยกย่องผู้แข็งแกร่งโดยกำเนิด สยบได้ง่ายกว่ามนุษย์ จึงเป็นเป้าหมายหลักของลู่เซิ่ง
“เบื้องหลังเผ่าเต่าดำมีเผ่าฉลามมังกรยืนอยู่ นี่เป็นเผ่าพันธุ์ใหญ่อย่างแท้จริงในหมู่เผ่าพันธุ์ทะเล เกรงว่าจะประนีประณอมด้วยไม่ได้ง่ายๆ” ฟู่จิ้นทราบเป้าหมายแผนการของลู่เซิ่งดี
“ไม่เป็นไร เผ่าเต่าดำอยู่ไหน ข้าจะไปเองสักครั้ง” ลู่เซิ่งเคาะนิ้วบนที่พักแขนเบาๆ
“นอกจากนี้เผ่าพายุทางข้าก็มีปัญหาเหมือนกัน…พวกมันยินยอมเข้าร่วมกับถ้ำยุทธพฤกษา แต่มีสองเงื่อนไข” ชายฉกรรจ์ผิวน้ำเงินในระดับสร้างโอสถระยะต้นอีกคนเอ่ยเสียงหยาบ
ลู่เซิ่งหันไปมองคนผู้นี้
“เงื่อนไขหรือ”
“ขอรับประมุขถ้ำ พวกเขาต้องการสิทธิ์ในการเก็บเกี่ยวบุปผาเมฆดำบนเกาะน้อยใหญ่สามแห่งรอบๆ ขณะเดียวกันก็หวังว่าจะได้รับ…”
เปรี้ยง!
เสียงยังไม่ทันขาดลง เซียนพรตอสรพิษสายลมที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็วูบไหวร่างมาปรากฏตัวหลังคนผู้นี้ในพริบตาเดียว ก่อนจะจับผมของชายฉกรรจ์ แล้วระเบิดพลังกำลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมาพร้อมกับฟาดอีกฝ่ายเข้ากับผนังศิลาด้านข้าง
ผนังศิลาระเบิดแหลกหลังจากเกิดเสียงดังกึกก้อง ชายฉกรรจ์ผิวน้ำเงินกระอักเลือดออกมาและล้มลงกับพื้น ดวงตาฉายแววหวาดกลัวในขณะที่ขดตัว ปราณโอสถคุ้มกันทั้งหมดกระเพื่อมด้วยความเร็วสูง แต่กลับทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่น้อย
“เกาะใกล้ๆ เผ่าพายุเป็นเกาะที่ข้าดูแล…เซียนพรตอิ่นหลัน แค่เผ่าพายุเผ่าเดียวท่านยังจัดการไม่ได้ ทำให้ประมุขถ้ำผิดหวังมากเกินไปแล้ว…” เซียนพรตอสรพิษสายลมดวงตาฉายแววประหลาด ยิ้มอย่างเหี้ยมโหดอำมหิตขณะดึงชายฉกรรจ์ผิวน้ำเงินขึ้นจากพื้น
“สวะอย่างท่าน ยังมาเข้าร่วมสังกัดของประมุขถ้ำได้ เหอะๆๆ…” เขาปล่อยชายฉกรรจ์ผิวน้ำเงินลงกระแทกกับพื้น
ฟู่ว!
ทันใดนั้นมือขวาเขาแทงประกายสีดำออกมา เล็งไปที่จุดสร้างโอสถตรงท้องน้อยของชายฉกรรจ์ผิวน้ำเงิน ดวงตาฉายแววบ้าคลั่งวิปลาส
“ตายซะเถอะๆๆ! ฮ่าๆๆๆ! สวะควรไปตายซะ!”
“เจ้า!” ชายฉกรรจ์ผิวน้ำเงินตกใจหวาดกลัว สองมือรีบประสานมุทรา แสงสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่งระเบิดตรงหน้า ในรังสีแสงมีผึ้งป่านับไม่ถ้วนบินหึ่งๆ
แต่ก็ไม่มีผล ประกายสีดำทะลวงแสงสีน้ำเงินได้อย่างง่ายดาย แทบจะสัมผัสท้องน้อยของชายฉกรรจ์ผิวน้ำเงินในพริบตา
“หยุดซะ” ลู่เซิ่งพลันส่งเสียง
“ตาย!” เซียนพรตอสรพิษสายลมหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับส่งประกายสีดำแทงเข้าไป ความจริงเขาไม่สนใจประมุขถ้ำหรือประมุขผู้ปกครองอะไรทั้งนั้น เป้าหมายในการเข้าร่วมกับประมุขยุทธพฤกษาของเขาก็คือการฆ่าคนเท่านั้น
ขอแค่ฆ่าคนได้ วันนี้เขาเข้าร่วมถ้ำยุทธพฤกษาได้ พรุ่งนี้เขาก็จะเข้าร่วมองค์กรอะไรก็ได้ทั้งนั้น
“ข้าบอกให้หยุด!”
ตูม!
แสงสีน้ำเงินระเบิดออก แสงสีน้ำเงินเล็กละเอียดนับไม่ถ้วนกลายเป็นมือใหญ่คว้าตัวเซียนพรตอสรพิษสายลมเอาไว้ และกดเขาเข้ากับผนังด้านหลังอย่างแรง
เสียงอันดังสนั่นทำให้ยอดฝีมือคนอื่นๆ หัวใจเต้นโครมคราม ก้มหน้าไม่กล้ามองดูอีก
“ประมุขถ้ำ! ประมุขถ้ำ แม้ข้าอสรพิษสายลมจะคลุ้มๆ คลั่งๆ แต่ก็ทำทุกอย่างเพื่อประมุขถ้ำท่านเท่านั้น ทุกสิ่งที่ข้าทำก็เพื่อถ้ำยุทธพฤกษา ท่านเองก็รู้ดี
เซียนพรตอิ่นหลันนั่น เป็นความผิดของมัน! แค่เผ่าพายุเผ่าเดียวก็จัดการไม่ได้ ถึงกับปล่อยให้ขยะพวกนั้นเสนอเงื่อนไข เรื่องนี้มัน…” เซียนพรตอสรพิษสายลมกล่าวด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างบิดเบี้ยวเอาใจ
“ไม่ว่าเจ้าจะบ้าจริงหรือบ้าปลอม” ลู่เซิ่งซึ่งจับคอเสื้อของเซียนพรตอสรพิษสายลมเอาไว้ ดวงตาฉายแววเย็นชา
“ถ้ามีครั้งหน้าอีก”
เขากระแทกท้ายทอยของอสรพิษสายลมเข้ากับผนังหิน
“จะฆ่าเจ้าเสีย”
ม่านตาอสรพิษสายลมหดตัว เขาสัมผัสได้ว่าลู่เซิ่งไม่ได้พูดล้อเล่น ความหวาดกลัวที่ไม่ได้สัมผัสมานานค่อยๆ บังเกิดขึ้นในใจอย่างช้าๆ อย่างไม่อาจควบคุม
……………………………………….