ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 487 ก้าวข้าม (1)
บทที่ 487 ก้าวข้าม (1)
เขาประกายทอง
จอมมรรคาวิถีธรรมะวางม้วนตำราโบราณในมือลงช้าๆ ตามองไปด้านหน้า คล้ายทบทวนอะไรอยู่ และเหมือนกับเพียงแค่กำลังพักผ่อนเงียบๆ เท่านั้น
ด้านหลังของเขามีเจ้าขุนเขาจากแต่ละยอดเขาของวิถีธรรมะยืนอยู่หลายคน พวกเขาล้วนมาเพราะเรื่องของอวิ๋นเหย่
“ข้าทราบเรื่องของอวิ๋นเหย่แล้ว” จอมมรรคาตอบเบาๆ “พวกเจ้าแยกย้ายไปจัดการเรื่องของตัวเองเถอะ เรื่องนี้ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์อยู่ ตอนนี้พวกเราได้แต่รอดูการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น”
“จอมมรรคา กฎฟ้ามีข้อบกพร่อง จึงต้องมีคนผู้คุมกฎเช่นพวกเราคอยชดเชยความบกพร่อง วันนี้มารโบราณปรากฏ ศาสนาพุทธได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เป็นเวลาที่ลัทธิเต๋าของพวกเราควรแสดงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ใยจึงไม่ขอให้โลกเบื้องบนออกมาตรการรับมือเล่า”
“การส่งโองการลงมาของโลกเบื้องบนต้องใช้ค่าตอบแทนมากมาย ไม่ใช่เรื่องที่จะขอคำชี้แนะง่ายๆ เรื่องมารโบราณ ข้าจะพิจารณาอย่างถ้วนถี่ เรื่องของอวิ๋นเหย่ พวกเจ้าไม่ต้องสนใจ ต่อให้เขาถูกมารโบราณยึดร่างจริงๆ แต่พวกเรายังมีเรื่องสำคัญกว่าต้องจัดการก่อน” จอมมรรคาแสดงสีหน้าจนปัญญา
เขาโบกมือ แผ่นหยกสีขาวหลายแผ่นลอยออกมาจากปลายนิ้ว แล้วตกลงกลางฝ่ามือของทุกคนที่อยู่ด้านหลังอย่างแม่นยำ
จิตหลายสายพลันมุดเข้าไปในแผ่นหยก
“นี่มัน!?”
“เป็นไปไม่ได้! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
“ชายแดนใต้เพิ่งสงบลงไม่นาน หรือว่าตอนนั้นอวิ๋นเหย่จะ…”
“ยังมีจอมสัจจะเหลืองแห่งทะเลทรายอีก ครั้งกระโน้นมันตายไปแล้วนี่ เหตุใดถึงได้”
สีหน้าของพวกเจ้าขุนเขาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังจากอ่านเนื้อหาในแผ่นหยก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจอมมรรคาจึงยังไม่สนใจอวิ๋นเหย่ เป็นเพราะมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการจริงๆ
แม้จะจัดการมารโบราณไม่ได้ แต่ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่เกินไป อย่างไรต่อให้มารโบราณจะแข็งแกร่งก็มีแค่ตัวคนเดียว แถมตอนนี้อวิ๋นเหย่ก็ซ่อนตัว หายากถึงขีดสุด ก่อนที่เขาจะฟื้นฟูพลังฝึกปรือ จะไม่ยอมเผยตัวง่ายๆ เด็ดขาด
ทว่าคนอื่นๆ ไม่เหมือนกัน พวกเขาล้วนเป็นผู้ปกครองที่เบื้องหลังมีอำนาจและขุมกำลังกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนจึงเป็นการสร้างความสงบในพื้นที่ต่างๆ เพื่อรวมพลังกำจัดอวิ๋นเหย่
เมื่อจอมมรรคาเห็นทุกคนเข้าใจความหมายของเขาแล้ว จึงค่อยพยักหน้าช้าๆ “จอมสัจจะเหลืองแห่งทะเลทรายทักษิณปรากฏตัวขึ้นและก่อความวุ่นวายอีกครั้ง ราชาพิษแห่งชายแดนทักษิณปรากฏตัว ช่วงชิงเขาแปดสิบเจ็ดลูก สิ่งที่ต้องระวังที่สุดก็คือ ตอนนี้กองกำลังของพวกเรายังไม่สามารถสะกดมารในร่างอวิ๋นเหย่ได้ จำเป็นต้องเตรียมของอีกอย่างหนึ่ง”
“บังอาจถามจอมมรรคา เตรียมสิ่งใดหรือ” คนคนหนึ่งเดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่งพร้อมกับถาม
“ค่ายกลค่ายหนึ่ง” จอมมรรคาวิถีธรรมะยิ้ม กล่าวเหมือนบอกใบ้ “สิ่งใดๆ เมื่อรุ่งเรืองก็ย่อมเสื่อมโทรม ยามที่อยู่เหนือใครๆ จะต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษ สิ่งของที่ข้าเคยฝังไว้ในหุบเขาตำหนักขาวเมื่อครั้งกระโน้น สมควรเอาออกมาสักที”
เจ้าขุนเขาทุกคนได้ยินดังนั้นก็พากันงุนงง
…
โพ้นทะเล วังธาราวารีของเผ่างูทะเล
ด้านในวังที่สร้างขึ้นเหมือนผลึกแก้ว ลู่เซิ่งกับจอมเทวะสามคนเดินชมวังใต้น้ำอันงดงามที่เพิ่งถูกทัพใหญ่ยึดเอาไว้
ตำหนักผลึกแก้วกินพื้นที่สิบกว่าลี้ สร้างอยู่บนก้นทะเล มีป่าปะการังสีแดงเพลิงห้อมล้อมอยู่รอบๆ งดงามไม่ธรรมดา
ด้านในวังมีเสาสะกดวารีที่ใช้คุ้มครองสถานที่สำคัญของวังอยู่ต้นหนึ่ง
ลู่เซิ่งค่อยๆ หยุดลงตรงหน้าเสาสะกดวารี รู้สึกสะท้อนใจขณะเงยหน้ามองดูเสาศิลาขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านในสวนดอกไม้ใจกลางหวังธาราวารีต้นนี้
“กล่าวไปเสาศิลาต้นนี้เหมือนกับตำนานเทพนิยายที่ข้าเคยได้ยินมาก่อน ในตำนานนั้นมีเข็มสะกดสมุทรเล่มหนึ่งคล้ายๆ แบบนี้อยู่ด้วย”
เสาสะกดวารีใหญ่ถึงสิบกว่าหมี่ เป็นสีดำอมเทาทั้งเสา ด้านบนแกะสลักลวดลายสัตว์เทพมนุษย์เซียนอันเก่าแก่ไว้กระจัดกระจาย ดูเหมือนไม่ต่างจากเสาศิลาธรรมดาทั่วไปในวังเท่าไหร่
จอมสัจจะสามคนที่เหลือมองกันไปมา ล้วนไม่ทราบว่าควรจะพูดอะไรดี
ราชารัฐบูรพาลี้ลับที่อ้วนจนน่าเหลือเชื่อเหลือกายเนื้อที่หนักเพียงร้อยกว่าชั่ง เขาพันผ้าพันแผลสีม่วงอมขาวชนิดพิเศษไว้ทั่วร่าง นอกจากดวงตาที่ไม่ได้ปิดไว้แล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่มีจุดไหนที่เผยให้เห็นผิวหนัง
“เจ้าสำนักมีความรู้กว้างขวาง ข้าน้อยกลับไม่เคยได้ยินตำนานเทพนิยายใดบอกว่าเสาศิลาที่มหึมาปานนี้เป็นเข็มมาก่อน”
หลังจากพวกเขาสามคนรุมโจมตีลู่เซิ่งแต่ไม่ประสบผลกลับถูกยำจนเละแทน ก็โดนลู่เซิ่งใช้ความสามารถของร่างหลักสะกดไว้ในร่าง
กล่าวไปความสามารถการสะกดนี้แปลกประหลาดถึงขีดสุด ทั้งสามเคยแอบทดลองใช้ความสามารถนับไม่ถ้วน แต่ก็ปลดออกไม่ได้
โครงสร้างของการสะกดนี้ง่ายดายยิ่ง คือการเพาะจิตวิญญาณกลายพันธุ์ไว้ในจุดอ่อนของทารกจิต จิตวิญญาณกลายพันธุ์นี้สามารถจุดระเบิดเพื่อทำลายทารกจิตได้ตลอดเวลา
ดังนั้นวิธีการปลดก็คือจะกำจัดจิตวิญญาณกลายพันธุ์นี้ได้อย่างไร
เพียงแต่ไม่ว่าทั้งสามจะทดลองใช้ความสามารถใดๆ ก็ไม่มีผลต่อจิตวิญญาณกลายพันธุ์นี้แม้แต่น้อย
จิตวิญญาณนั้นถึงขั้นมอบความรู้สึกอย่างหนึ่งให้พวกเขา เหมือนกับว่าแก่นสารของมันแข็งแกร่งลี้ลับยิ่งกว่าจิตวิญญาณหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติของทารกจิตเสียอีก
ความสามารถที่ส่งผลต่อจิตวิญญาณทั้งหมดของพวกเขาล้วนไม่มีผลต่อมัน
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ จิตวิญญาณกลายพันธุ์ชนิดนั้นถึงขั้นไม่ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของพลังฝึกปรือในตัวพวกเขาแม้แต่น้อย
หลังจากทั้งสามรักษาอาการบาดเจ็บเสร็จแล้ว ก็ได้ทดลองดูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เกิดผลอยู่ดี สุดท้ายก็จนปัญญา ได้แต่ศิโรราบกลายเป็นบริวารของลู่เซิ่ง
ในที่สุดลู่เซิ่งก็ได้ทราบสถานะทั้งหมดของพวกเขาสามคน
คนที่มีพลังฝึกปรือเป็นอันดับหนึ่งก็คือต๋าเหิงกง ดูแลรัฐบูรพาลี้ลับที่มีรัศมีหลายพันลี้
ตงหลิงผู้ครองเขาฉีซันที่มีหางเป็นงูร่างเป็นมนุษย์ปกครองหมื่นอสรพิษแห่งเขาฉีซัน นางคือผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่างู
มนุษย์โปร่งแสงคนสุดท้ายคือปีศาจที่เกิดขึ้นจากสายน้ำประหลาดในส่วนลึกของบึงหานหลี ปกติไปไหนมาไหนคนเดียว มีฉายาในจงหยวนว่าจอมสัจจะจริยะวารี
เดิมทีทั้งสามไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน แต่กลับเป็นการดำรงอยู่ระดับผู้ปกครองจากดินแดนสามแห่ง คล้ายมีวาสนาเกี่ยวพันกัน จึงร่วมมือกันหมายจะปกครองโพ้นทะเลและรวบรวมทรัพยากรของโพ้นทะเลในที่ลับ
ถึงขั้นแม้แต่จอมสัจจะเก้ามังกรแห่งโพ้นทะเลก็ยังโดนสะกด แม้โมโหแต่ไม่กล้าพูด
ทว่าสิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ อยู่ๆ ก็มีเซียนพรตมู่อวิ๋นผู้น่าอัศจรรย์โผล่มา มู่อวิ๋นผู้นี้ใช้เวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนก็พุ่งทะยานจนมีความสามารถในขั้นที่น่าเหลือเชื่อ ถึงกับสำเร็จเป็นทารกจิต และกลายเป็นผู้เข้มแข็งอันดับหนึ่งในที่แจ้งของโลกบำเพ็ญเซียนโพ้นทะเล
ก่อนหน้านี้ติดที่อำนาจของวิถีธรรมะกับฝ่ายมาร พวกเขาจึงไม่กล้าควบคุมโพ้นทะเลอย่างเปิดเผย แต่วันนี้เห็นสำนักสี่สมุทรที่ลู่เซิ่งก่อตั้งขึ้นควบคุมน่านน้ำมากมาย แม้แต่วิถีธรรมะก็ไม่ยอมลงมือสักที ในที่สุดทั้งสามก็เกิดความหวั่นไหว คิดจะเปลี่ยนจากอยู่ในที่ลับมาอยู่ในที่แจ้ง
ถึงอย่างไรแม้ทรัพยากรของโพ้นทะเลจะน้อย แต่ก็มีพื้นที่กว้างขวาง หากเอาทุกที่มารวมกัน จะเกิดเป็นพื้นที่มากมาย นอกจากนี้พวกเขายังสร้างสถานการณ์ในที่ลับ คอยควบคุมเผ่าพันธุ์ในทะเลลึกด้วย ถ้าหากควบคุมเผ่าพันธุ์ในทะเลลึกและขุดค้นแร่ธาตุในหุบเหวทะเลลึกได้ ที่พูดกันว่าโพ้นทะเลมีทรัพยากรน้อยจะเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
เป็นเพราะไม่อาจขุดค้นทรัพยากรจากทะเลลึกได้ กอปรกับโพ้นทะเลมีแผ่นดินน้อยนิด สิ่งที่พวกผู้บำเพ็ญเพียรใช้มีแต่ปราณวิญญาณที่มารวมตัวกันบนเกาะใหญ่ๆ ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนเห็นว่ามีทรัพยกรเบาบาง
ทั้งสามวางแผนการในตอนแรกไว้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยจะค่อยๆ ควบคุมเผ่าปีศาจในทะเลลึกให้มาเป็นแรงงานสำหรับขุดค้นทรัพยากรในทะเลลึกเพื่อพวกตนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
กลับนึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่งที่อาละวาดอย่างดุร้ายจะโผล่มา
สลัดความคิดทิ้ง ราชารัฐบูรพาลี้ลับมองลู่เซิ่งอย่างหวั่นเกรงอีกครั้ง “แต่จะว่าไป เสาสะกดวารีต้นนี้กลับมีความน่าอัศจรรย์เหมือนกับเข็มสะกดสมุทรที่เจ้าสำนักพูดถึง ตรงที่มีผลสะกดน้ำหยุดลมจริงๆ”
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปลูบเสาสะกดวารีเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“พวกเจ้าสามคนอยู่ที่โพ้นทะเลมานาน ไม่ทราบว่าที่นี่มีเผ่ามังกรในตำนานหรือไม่”
“เผ่ามังกรหรือ” ทั้งสามได้ยินดังนั้นก็ใคร่ครวญครู่หนึ่ง
หญิงงามที่มีหางเป็นงูร่างเป็นมนุษย์หรือผู้ครองเขาฉีซันเอ่ยเสียงหวาน “บ่าวกลับทราบเรื่องบางส่วน ในตำนานจากคัมภีร์โบราณบางส่วนเคยบันทึกว่ามีเผ่าปีศาจเผ่านี้อยู่จริงๆ ว่ากันว่าแต่ละคนในเผ่ามังกรล้วนเป็นผู้สูงส่งท่ามกลางเผ่าปีศาจ มีสายเลือดมหาปีศาจโดยกำเนิด พอเกิดมา อย่างน้อยที่สุดก็จะมีพลังฝึกปรือระดับสร้างโอสถทันที”
“เกิดมาก็มีพลังแบบนี้ทันที ร้ายกาจจริงๆ” ลู่เซิ่งถอนใจชมเชย “น่าเสียดายที่วันนี้หาเผ่ามังกรที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่เจอแล้ว”
“ถ้าหากเจ้าสำนักอยากเห็นเผ่ามังกร ข้าน้อยกลับรู้เรื่องอยู่ ในจงหยวนมีสำนักหนึ่งชื่อสำนักสังหารมังกร ว่ากันว่าข้างใต้สำนักนี้มีมังกรร้ายตัวหนึ่งถูกสะกดเอาไว้ นั่นสมควรนับเป็นเผ่ามังกรที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง” ผู้ครองเขาฉีซันเสนอด้วยรอยยิ้ม
“สำนักสังหารมังกร…อือ อีกประเดี๋ยวค่อยไปดู” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เวลานี้ด้านในวังผลึกแก้วจัดการผู้ก่อความวุ่นวายทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พวกหัวแข็งทั้งหมดในเผ่างูทะเลถ้าไม่ถูกจับก็ถูกฆ่า ไม่มีใครหลุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว
“ข่งเฟ่ยเผ่าฉลามทะเลขอเข้าพบเจ้าสำนัก” เวลานี้ไม่ไกลออกไปมีเสียงดังมาจากด้านนอกตำหนักที่เชื่อมกับสวนดอกไม้
“เข้ามาเถอะ” ลู่เซิ่งหมุนตัวไปมองประตูใหญ่
ประตูตำหนักค่อยๆ ถูกผลักเปิด ชายร่างยักษ์ที่มีศีรษะเป็นปลาฉลามคนหนึ่งเดินนำหน้าเข้ามา
ชายร่างยักษ์ผู้นี้ถือทวนวงเดือน สวมเกราะโลหะหนักอึ้งสีเทาหม่นครบชุด ปราณโอสถสีดำหลายสายวนเวียนอยู่รอบๆ ตัว
“ข่งเฟ่ยคำนับเจ้าสำนัก” ชายร่างยักษ์คำนับลู่เซิ่งอย่างนอบน้อม “สมาชิกเผ่างูทะเลและราชางูทั้งหมดในวังธาราวารีถูกจับหมดแล้วขอรับ ราชวงศ์ราชางูนำตัวมาไว้ด้านนอกประตูวังหมดแล้ว ขอให้เจ้าสำนักออกคำสั่งด้วย”
ลู่เซิ่งพยักหน้า “นำตัวเข้ามาเลย” เผ่าฉลามทะเลเป็นเผ่าพันธุ์ทะเลที่ซื่อสัตย์กับเขามากที่สุด ถ้าหากบอกว่าเผ่าพันธุ์ทะเลเผ่าอื่นๆ ถูกสภาพการณ์กดดันให้เข้าร่วมล่ะก็ อย่างนั้นเผ่าฉลามทะเลก็คือเผ่าพันธุ์ทะเลเผ่าเดียวที่ติดตามลู่เซิ่งทั้งกายทั้งใจ
เป็นเพราะพวกเขากำลังถูกเผ่าพันธุ์ทะเลใหญ่ๆ เผ่าอื่นร่วมมือกันไล่ล่าอยู่ในตอนที่พบลู่เซิ่ง เผ่าพันธุ์ถึงขั้นเคยมีจำนวนคนถึงสี่หลัก
เผ่าพันธุ์ทะเลที่มีความแค้นกับพวกเขามีจำนวนนับไม่ถ้วน บวกกับเผ่าพันธุ์ของพวกเขาโหดเหี้ยมกระหายเลือดถึงขีดสุด ทั้งยังให้ความเคารพต่อผู้เข้มแข็งถึงขีดสุด ดังนั้นหลังจากเห็นอานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวของจอมสัจจะกลืนสมุทรเช่นลู่เซิ่งแล้ว ในที่สุดก็สวามิภักดิ์กับถ้ำยุทธพฤกษา หรือสำนักสี่สมุทรในตอนนี้ทั้งกายและใจ
ตอนนี้วิชาการสืบทอดของเผ่าฉลามทะเลได้รับการปรับปรุงจากลู่เซิ่งจนบรรลุขอบเขตทารกจิตได้ ความสามารถนี้ทำให้เผ่าฉลามทะเลนับถือเลื่อมใสเขากว่าเดิม
เดิมทีข่งเฟ่ยไม่ใช่หัวหน้าเผ่าฉลามทะเล เพียงแต่เพราะหลังจากวิชาได้รับการปรับปรุง เขาได้เลื่อนถึงระดับสร้างโอสถช่วงเติมเต็มจนกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสังกัดของลู่เซิ่งเป็นคนแรก จึงทำให้ฉลามทะเลตนอื่นยกเขาเป็นหัวหน้าเผ่า
ตัวเขาเป็นผู้เคารพคลั่งไคล้ในตัวลู่เซิ่งอยู่แล้ว
ตอนนี้เขาสั่งให้แม่ทัพปีศาจทหารปีศาจในสังกัดพาราชวงศ์ราชางูของเผ่างูทะเลที่ถูกจับตัวเป็นเชลยมาคุกเข่าต่อหน้า ทั้งยังกดศีรษะลงกับพื้นให้อยู่ในสภาพก้มหัว
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดของสมาชิกราชางูทั้งหมดสิบกว่าคนคือชายชราแก่หง่อมผมหงอกขาวที่มีเกล็ดสีเขียวขึ้นทั้งตัว เขาสวมเกราะสีทองพังๆ ใบหน้าดำคล้ำ คล้ายรับบาดเจ็บไม่เบา
ชายชราผู้นี้กำลังถลึงตาจ้องลู่เซิ่งด้วยความโกรธแค้น
“จะฆ่าหรือจะถลกหนังก็ตามสบาย!” งูชราตนนี้ตะคอกเสียงทุ้ม
“เจ้ามีศักดิ์ศรีดีนี่ ไม่กลัวข้าจะทำลายเผ่างูทะเลของเจ้าหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสนอกสนใจ “ตอนนี้ยังเหลือเผ่าฉลามมังกรซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ เผ่าพันธุ์ทะเลที่เหลือล้วนเข้ามาอยู่ใต้อาณัติของสำนักสี่สมุทรแล้ว เจ้าไม่กลัวตาย แต่ลูกหลานที่อยู่ด้านหลังเจ้าเหล่านั้นไม่แน่จะไม่กลัว”
……………………………………….