ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 489 ค้นหาครอบครัว (1)
บทที่ 489 ค้นหาครอบครัว (1)
จงหยวน รัฐจ้าว
ท่ามกลางค่ำคืนมืดสนิท สายลมยามดึกพัดโชย
ด้านนอกนครเขตเขาอู๋ซัน ด้านในหมู่บ้านที่ไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่ง ลัวเฉิงลุกขึ้นจากเตียงพลางหาวไปด้วย ก่อนจะคลำหาชุดไฟอย่างระมัดระวัง แล้วจุดคบไฟขึ้น จากนั้นจึงค่อยไปจุดโคมไฟ
ต่อมาเขาก็เดินถือโคมไฟสีเหลือง เดินออกจากห้องอย่างสะลึมสะลือ
ลมหนาวเหน็บเสียดกระดูก พริบตาเดียวก็ทำให้เขาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ลัวเฉิงตัวสั่น สะบัดเท้าครู่หนึ่ง หลังจากขยับเนื้อขยับตัวแล้ว จึงค่อยเดินไปยังลานของหมู่บ้าน
เดินตามระเบียงมาถึงลานบ้าน ถังน้ำสีดำแบบเดียวกันขนาดต่างๆ วางอยู่เต็มตัวลาน ถังทุกถังล้วนปิดฝาไม้เอาไว้
ลัวเฉิงเดินเข้าไปเปิดฝาของถังน้ำทีละใบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนจะใช้ตะบองไม้กวนสองสามครั้งเพื่อตรวจสอบสิ่งของด้านใน
ของพวกนี้คือเสื้อผ้า เป็นเสื้อผ้าที่กำลังย้อมสี ร้านเสื้อตระกูลลัวมีประวัติในนครเขตมาหลายสิบปีแล้ว แม้กิจการจะไม่ใหญ่โต แต่ก็โดดเด่นเรื่องสีอันงดงามที่ย้อมผ้าได้อย่างน่ามอง นี่จึงทำให้พอจะมีที่ยืนในนครเขตที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด
หลังจากลัวเฉิงตรวจสอบเสื้อผ้าในถังย้อมสีทั้งหมดแล้ว ก็หาแท่งหมึกมาจุดในลานเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงมาไต่ตอม
พอทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
ลัวเฉิงอ้าปากหาวครั้งหนึ่ง เปลี่ยนชุดคลุมด้านนอก เตรียมจะไปเปิดร้านในนครเขต
“อรุณสวัสดิ์ท่านพี่” เด็กสาวน่ารักไร้เดียงสาที่ไว้ผมยาวสีแดงเข้มคนหนึ่งเดินออกมาจากในห้องนอนซึ่งอยู่อีกด้านของลานพอดี
เด็กสาวทำทำท่างัวเงีย ชุดนอนสีขาวตัวบางไม่อาจปกปิดผิวขาวเนียนบนร่าง นางแสดงท่าทางโอ่อ่าผ่าเผย ถ้าหากบุคลิกนี้ไปอยู่บนตัวชายฉกรรจ์หยาบกระด้างที่กำลังขี่ม้า อาจจะไม่ขัดตาแม้แต่น้อย แต่พอมาอยู่บนตัวเด็กสาวอายุสิบกว่าปีที่น่ารักน่าเอ็นดู กลับดูองอาจเป็นอย่างยิ่ง อบอวลด้วยความยั่วยวนที่ไม่อาจป้องกันได้
“ลัวอิงเจ้าไม่หลับต่ออีกหน่อยเล่า วันนี้ตื่นเช้ามาทำอะไร” ลัวเฉิงเดินเข้าไปถอดเสื้อนอกห่มให้น้องสาวอย่างรักใคร่
กล่าวไป ลัวอิงผู้เป็นน้องสาวความจริงไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ ของตระกูลลัว
นางคือทารกถูกทิ้งที่บิดามารดาของลัวเฉิงเก็บมาจากแดนหิมะโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อตอนยังเป็นหนุ่มสาว ดังนั้นไม่ว่าสีผมหรือดวงตาจึงล้วนแตกต่างจากลัวเฉิง
ดวงตาของลัวเฉิงเป็นสีดำสนิท ผมเองก็เป็นสีดำ เส้นผมหยาบใหญ่ไม่ม้วนงอ
ทว่าดวงตาของลัวอิงเป็นสีแดงเข้ม สีนี้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเหมือนผมของนาง ว่ากันว่ามีแต่คนต่างรัฐที่อยู่ไกลแสนไกลเท่านั้นจึงจะมีสายเลือดเช่นนี้
และเมื่อเทียบกับร่างกายที่ไม่นับว่ากำยำของลัวเฉิง ปัจจุบันลัวอิงอายุเพิ่งสิบสี่ขวบ กลับมีอกมีสะโพก เอวกิ่วขายาว เครื่องหน้าได้สัดส่วนถึงขีดสุด ดั้งจมูกโด่ง สองตาโตและเป็นประกาย ยามมองคนอื่นจึงดูจริงจังเป็นพิเศษ
“ท่านพี่ก็นอนเยอะๆ ได้เหมือนกัน เอาแต่นอนดึกตื่นเช้าทุกวัน เดี๋ยวผ่านไปนานๆ ร่างกายจะรับไม่ไหวเอานะ” ลัวอิงกล่าวอย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง
“ข้าไม่เป็นไรหรอก วางใจเถอะ ร่างกายข้า ตัวข้ารู้ดี ไม่เป็นไร” ลัวเฉิงยิ้ม “ข้ายังต้องหาเงินเยอะๆ ไม่แน่ว่าวันหน้าจะมีโอกาสส่งเจ้าเข้าสถานศึกษาเหมยเหมันต์”
ลัวอิงเตือนแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งลัวเฉิงล้วนไม่ฟัง
นางได้แต่มองดูลัวเฉิงหาเสื้อนอกมาสวมใหม่ ถือของถุงเล็กถุงใหญ่ แล้วเปิดประตูไปยังนครเขตด้วยความจนปัญญา
นางไม่อาจไปกับเขาได้ ถังย้อมสีในลานบ้านต้องให้นางอยู่บ้านดูแล
ลัวเฉิงไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ลัวอิงก็ได้ยินป้าจ้าวที่ถูกเชิญให้มาทำอาหารลุกขึ้นและเริ่มตั้งไฟเพื่อเตรียมอาหารเช้าแล้ว
นางกลับถึงห้องนอนเพียงลำพัง นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วหยิบไม้ขึ้นมากระทุ้งกระถางใส่ถ่านที่อยู่กลางห้องเพื่อให้ไฟสีแดงจากถ่านแรงขึ้นเล็กน้อย
“ประมุขวิญญาณ ท่านยังไม่ตัดสินใจอีกหรือ” อยู่ๆ ในห้องก็มีเสียงบุรุษแหบพร่าและทุ้มหนักดังขึ้น
เงาคนสีดำที่พร่ามัวไม่ชัดเจน ปรากฏขึ้นตรงมุมหนึ่งของห้องนอนอย่างเงียบเชียบ จ้องมองลัวอิงอยู่เฉยๆ
“หากท่านอยู่นี่นาน จะทำร้ายเด็กหนุ่มคนนั้นได้”
“ข้า…” ลัวอิงเงียบงันไม่พูดอะไร ดวงตาฉายแววสับสนและอาลัยอาวรณ์อย่างชัดเจน
“ผู้กำจัดวิญญาณออกเดินทางแล้ว ถ้าหากมันพบว่าท่านยังอยู่ที่นี่อีก ไม่เพียงแต่ท่านจะถูกจับไปเท่านั้น แม้แต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็จะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย” เสียงนั้นเกลี้ยกล่อมต่อ “ท่านคิดให้ดีเถอะ”
ลัวอิงเม้มริมฝีปากด้วยใจที่สับสน
เดิมทีนางไม่ใช่คนจงหยวน หากแต่มาจากรัฐอนัตตา ประเทศลี้ลับที่อยู่ไกลแสนไกล
รัฐอนัตตาไม่มีผู้บำเพ็ญเพียร พวกเขาแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสำนักเซียนซึ่งควบคุมสถานการณ์การเมือง โดยที่อำนาจของรัฐรวมอยู่ในมือกลุ่มคนที่มีชื่อว่าเผ่าวิญญาณโลหิตชาด
เผ่าวิญญาณโลหิตชาดมีการสืบทอดที่สมบูรณ์แบบเป็นของตัวเอง พวกเขาอาศัยเงากับเลือดในการต่อสู้ มีความสามารถแข็งแกร่งถึงขีดสุด
และนางก็เป็นสายเลือดสูงศักดิ์ที่หลบหนีมาจากเผ่าวิญญาณโลหิตชาด
ในตอนที่นางหลบหนีมา ตระกูลของนางอยู่ในสภาพเลวร้ายที่พร้อมจะถูกทำลายได้ตลอดเวลา แต่ว่าผ่านไปหลายปี ตระกูลนางรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งจนยืนอยู่ในระดับบนๆ ของจักรวรรดิ ดังนั้นจึงมีการส่งคนมารับนางกลับไป
“ขอข้าคิดก่อนเถอะนะ…” ลัวอิงก้มหน้าเงียบๆ
ความจริงนางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความสนิทสนมอันไม่ชัดเจนที่พี่ชายมีต่อนางแล้ว ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน และเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก แต่หลังจากที่แยกเตียงนอน แยกกันอาบน้ำ พวกเขาก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อย
“ข้าน้อยทราบถึงข้อผูกมัดของพวกท่าน เพียงแต่ลัวเฉิงเป็นแค่เด็กจากครอบครัวคนธรรมดา เขาแตกต่างจากท่านเกินไป เทียบกับเขาแล้ว ท่านเหมือนกับดาวที่สว่างไสวที่สุดกลางฟากฟ้า ส่วนเขา ได้แต่ยืนมองอยู่บนพื้นเท่านั้น” บุรุษผู้นั้นกล่าวอย่างจนใจ
“พี่ลัวเฉิง…ข้าเชื่อว่าเขาจะทำได้” ลัวอิงหลับตาสูดหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ข้าจะไปกับท่าน แต่ท่านต้องรับปากข้าสามข้อ”
“จริงหรือ!” บุรุษผู้นั้นพลันตื่นเต้น เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่โดยไม่ได้อะไรมาเกือบหนึ่งปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าวันนี้ในที่สุดก็มีการพัฒนา
“จริง…” ลัวอิงพยักหน้าอย่างจริงจัง
…
ยามเที่ยง อาทิตย์งามลอยโด่ง ลัวเฉิงกลับมาจากนครเขต ขาไปเขาหิ้วของส่วนหนึ่ง แต่ตอนกลับชายหนุ่มกลับผลักรถเข็นสองล้อเข้าประตูใหญ่ของหมู่บ้านมา
“เสี่ยวอิง ข้ากลับมาแล้ว!”
เขาตะโกนขึ้นในทันทีที่เข้าประตู
“อ้าว ท่านกลับมาแล้วหรือ คุณหนูอิงไปไหนก็ไม่รู้เจ้าค่ะ! เพียงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้ท่าน!” พอป้าจ้าวเห็นเขา ก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“ข้าตามหาไปทั่วแล้ว แต่หาไม่เจอเลย คุณหนูอิงทิ้งจดหมายไว้ให้ท่านบนโต๊ะ แต่ข้าอ่านไม่ออก…นี่จะโทษข้าไม่ได้นะ ก่อนหน้านี้ข้ากำลังทำกับข้าวอยู่ นึกไม่ถึงว่าพอทำเสร็จแล้วเรียกนางมากิน พริบตาเดียวก็นางก็หายตัวไปแล้ว!” ป้าจ้าวเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เห็นได้ชัดว่าตามหามานานแล้ว
ลัวเฉิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเวียนศีรษะตาลาย ร่างส่ายโซเซไปมาจนเกือบล้ม
“จดหมายอยู่ไหน!?” เขาตั้งหลักก่อนจะพูดทีละคำ
“อยู่ในห้องของท่านเจ้าค่ะ” ป้าจ้าวยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นลัวเฉิงพุ่งเข้าไปในห้องนอนอย่างว่องไวปานลมกรด
เป็นอย่างที่คาด จดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ยังมีกล่องโลหะเล็กๆ สีดำอีกใบหนึ่งอยู่ด้วย
ความจริงลัวเฉิงสัมผัสได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าน้องสาวมีเรื่องปิดบังอยู่ ที่จริงเขาเองก็มองออกจากความแตกต่างของรูปลักษณ์ภายนอกมานานแล้วว่านางมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา
แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้
ความโกรธเคือง ความเงียบ ความอึดอัด ความทรมาน อารมณ์ต่างๆ บังเกิดขึ้นในใจ ลัวเฉิงที่อยู่ในสภาพที่อึดอัดคับข้องใจเช่นนี้เปิดจดหมายกับกล่องสีดำใบนั้น
เนื้อหาบนจดหมายมีไม่เยอะ เพียงแนะนำสาเหตุที่จากไปง่ายๆ ความจริงลัวเฉิงรู้อยู่แล้ว เป็นเพราะมีคนเคยเตือนเขาในที่ลับมาก่อนว่าให้ออกห่างจากน้องสาว
เขาตรวจสอบสิ่งของที่น้องสาวทิ้งเอาไว้ นอกจากจดหมายแล้ว ก็คือสมุดเล็กๆ ห่อผ้าที่นางเขียนไว้สองเล่ม
เล่มหนึ่งชื่อ ‘จิตเลียนใคร่ครวญ’ อีกเล่มชื่อ ‘คัมภีร์ความมืดของผานเอิน’
นอกจากนั้นที่ใต้สุดของกล่องยังมีโอสถประหลาดขนาดเท่าผลลำไยอยู่ด้วยเม็ดหนึ่ง
บนจดหมายแนะนำคัมภีร์สองเล่มกับโอสถคร่าวๆ
คัมภีร์ใช้สร้างรากฐานให้แก่เขา ส่วนโอสถทำให้เขาผลัดเส้นเอ็นเปลี่ยนกระดูก และหลอมชำระเอ็นกระดูกจนสามารถฝึกฝนเนื้อหาบนคัมภีร์สองเล่มได้
คำพูดประโยคสุดท้ายในจดหมายทำให้ลัวเฉิงเกิดความหวัง
‘…หากว่าท่านพี่ฝึกฝนคัมภีร์สองเล่มนี้ถึงขอบเขตสูงสุดได้ อาจจะมีวันหนึ่ง…ที่พวกเราได้พบกันอีกครั้ง…ลาก่อน ผลอิงที่รักท่าน’
พออ่านถึงตรงนี้ ในที่สุดลัวเฉิงก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ปล่อยให้ไหลลงมาตามหางตา
ตึงๆๆ
ไม่รอให้เขาส่งเสียงร้องไห้ ประตูใหญ่ของลานบ้านพลันถูกคนทุบ
“มีคนไหม”
ลัวเฉิงสะดุ้ง ได้สติกลับมา เขารีบเก็บของเอาไว้ แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไปลานบ้าน ป้าจ้าวแอบหนีไปแล้ว อาจเพราะกลัวลัวเฉิงจะถามหาความรับผิดชอบกับนาง
ด้านในลานไม่มีใครสักคนเดียว
ตึงๆๆ
เสียงเคาะประตูดังมาก
ลัวเฉิงเช็ดน้ำตาพรัอมกับยิ้มอย่างจนปัญญา ความจริงเขาเตรียมใจไว้นานแล้ว ทว่าถึงเวลาที่เกิดขึ้นจริงๆ กลับนึกไม่ถึงว่าจะคับข้องใจขนาดนี้
เขาเดินเข้าไปใช้แรงยกสลักออกเพื่อเปิดประตู
“ขอถาม พวกท่านมาหา…ใคร…หรือ” พอเปิดประตู ลัวเฉิงก็งุนงงทันที
มีคนสองคนยืนอยู่หน้าเขา คนหนึ่งคือหญิงสาวผมยาวสีดำที่งดงาม อีกคนคือบุรษหนุ่มสูงใหญ่หล่อเหลา
แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือบุรุษผู้นี้หน้าตาเหมือนบิดาของเขาเหลือเกิน
“ขอถาม ที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลลัวใช่หรือไม่ ลัวซิ่งอยู่ไหม หรือจะเป็นสวีเย่จวินผู้ใช้แซ่ลัวก็ได้” บุรุษกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นขณะมองลัวเฉิงที่อยู่ตรงหน้า
ลัวเฉิงอึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยได้สติกลับมา
“ลัวซิ่ง…เป็นบิดาข้า ส่วนสวีเย่จวินเป็นมารดาของข้า พวกท่านจากโลกไปได้หกปีแล้ว…ท่านคือ…” เขาไม่เคยเห็นบุรุษตรงหน้ามาก่อน แต่แค่ดูจากใบหน้าอันคุ้นเคยซึ่งคล้ายคลึงกับบิดาของตนถึงขีดสุดของอีกฝ่าย เป็นไปได้อย่างยิ่งที่อีกฝ่ายจะมีความสัมพันธ์กับเขา
“จากโลกไปแล้วหรือ” บุรุษได้ยินดังนั้นก็งุนงง ในเมื่อจากไปแล้ว เขาจะแก้กรรมอย่างไร
“ถูกต้อง จากไปหกปีแล้ว มีโรคปอดจึงผ่านพ้นฤดูหนาวไม่ได้” ลัวเฉิงเค้นยิ้ม “ขอถามพวกท่านคือ…?”
บุรุษพิจารณาลัวเฉิงครู่หนึ่ง อยู่ๆ ก็ยื่นมือออกมาบีบหน้าของเขา ดวงตาพลันอบอุ่น
“เหมือนกับผู้เป็นตาของเจ้ายิ่ง…”
“ท่าน…ท่าน…!?” ลัวเฉิงตกใจจนก้าวถอยหลัง
แต่ทันใดนั้น สตรีที่อยู่ด้านข้างบุรุษก็จับแขนเขาไว้
“ทดสอบเลือดเขาที” บุรุษปล่อยมือพลางกล่าวอย่างราบเรียบ
“รับทราบ” สตรีงามพยักหน้า แล้วยิ้มให้แก่ลัวเฉิง
ชิ้ง!
ลัวเฉิงเพียงรู้สึกข้างหน้าพร่ามัว เส้นสีแดงสายหนึ่งลอยออกจากข้อมือของเขา จากนั้นก็ถูกสตรีรับไว้กลางฝ่ามืออย่างแผ่วพริ้ว
นางหลับตาสัมผัสอยู่สักพัก ก่อนจะลืมตาขึ้นและพยักหน้าให้บุรุษทันที
“เป็นเขา”
ลัวเฉิงยังไม่ทันทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รู้สึกได้ว่าตนถูกบุรุษอุ้มขึ้น
“ตระกูลลัวเหลือเจ้าคนเดียวหรือ” บุรุษถาม
ลัวเฉิงพยักหน้าอย่างงงงวย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของข้ามู่อวิ๋น! และเป็นเจ้าสำนักน้อยเพียงคนเดียวของสำนักสี่สมุทร! ใต้สี่สมุทร หมื่นปีศาจมาเคารพ ไม่ว่าสั่งสิ่งใด ไม่มีผู้ใดไม่ทำตาม!” บุรุษหยิบกวนราชาอันหนึ่งออกจากทรวงอกมาสวมให้ลัวเฉิง
“ไป! ตามข้ากลับไปรับตำแหน่งที่ทะเลอุดร” เขาอุ้มลัวเฉิงขึ้น แล้วเตรียมตัวเดินทางทันที
……………………………………….