ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 49 เรื่องราวจบสิ้น (1)
“จวินเอ๋อร์!” ซ่งเจิ้นกั๋วพลันตกใจ มือหนึ่งโอบจวินเอ๋อร์ไว้ ใบหน้าแตกตื่น “เจ้าเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น!? นี่เป็นเรื่องอะไรกันแน่”
จวินเอ๋อร์ที่ถูกเขากอดไว้แน่น ยิ้มอย่างจนปัญญา
“พี่ใหญ่ซ่ง… ข้า… ข้า…”
ลู่เซิ่งอยู่ด้านข้าง ความจริงคาดเดาออกแต่แรกแล้วว่าจวินเอ๋อร์ไม่ใช่คน คิดไม่ถึงจะเป็นแบบนี้จริงๆ
แม่นางบนเรือลำนั้นบางทีล้วนไม่ใช่คน เป็นสตรีที่ตายไปนานแล้ว เพียงแต่ว่าถูกพลังงานพิเศษบางอย่างพันธนาการไว้บนเรือ ใช้ความงามเพื่อเป้าหมายบางอย่าง
เขาไม่ได้รบกวนทั้งสอง เดินห่างออกมาเงียบๆ เฝ้าเฉินเจียวหรงบนพื้นที่ว่างด้านข้าง ปรับลมหายใจฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตัวเอง
ทุกครั้งที่โคจรวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกครบหนึ่งรอบ เขาจะรู้สึกได้ว่าอาการบาดเจ็บบนร่างเกิดความคันเพิ่มขึ้น นี่เป็นความรู้สึกที่เลือดเนื้อและพลังชีวิตฟื้นฟู
ผ่านไปราวๆ หนึ่งก้านธูป ซ่งเจิ้นกั๋วสองตาแดงเรื่อเดินเข้ามา จวินเอ๋อร์ไม่ทราบหายไปไหน
“ไปเถอะ พวกเรากลับได้แล้ว…” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม คอแหบแห้งอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งทราบว่าจบแล้ว จวินเอ๋อร์นั่นจะต้องมีความเชื่อมโยงกับหอแดงซึ่งเป็นเรือผี เรือล่มคนก็ตาย ซ่งเจิ้นกั๋วบางทีเข้าใจเหตุผลแล้วเช่นกัน
ทั้งสองคนช่วยกันแบกเฉินเจียวหรงเดินไปยังเมืองเลียบคีรีเงียบๆ ระหว่างทางซ่งเจิ้นกั๋วไม่ได้พูดอะไร ลู่เซิ่งก็ไม่ส่งเสียงเช่นกัน จนกระทั่งใกล้ถึงประตูเมืองเลียบคีรี ซ่งเจิ้นกั๋วพลันเอ่ยถาม
“พี่ลู่ ข้าเรียนวรยุทธ์กับท่านได้หรือไม่” ดวงตาของเขาแฝงความวิงวอนและความเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่าความตายของจวินเอ๋อร์ส่งผลกระทบกระเทือนต่อเขายิ่ง
ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้า มองเขาพลางถอนใจคำหนึ่ง
“เบื้องหลังของจวินเอ๋อร์ต้องมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งแน่ ไม่อย่างนั้นที่ว่าการเมืองเลียบคีรีคงไม่ยอมให้เรือผีหอแดงทำร้ายคนบนแม่น้ำ ซึ่งความจริงพวกนางปกติก็ไม่ทำร้ายคนแต่อย่างไร บางทีเป็นแค่วิธีซ่อนเร้นอย่างหนึ่ง เพียงแต่จำเป็นต้องลงมือในบางครั้ง”
ซ่งเจิ้นกั๋วส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน “ที่ท่านว่าข้าล้วนทราบ แค้นของจวินเอ๋อร์กล่าวถึงที่สุดเป็นเพราะผีหญิงกระโปรงขาวนั่น ถูกพี่ลู่ฆ่าทิ้งก็ไม่มีปัญหาอันใดแล้ว ข้าเพียงแต่… เพียงแต่ไม่อยากซ้ำรอยเดิมอีก…”
ลู่เซิ่งมองเขา เห็นความเหน็ดเหนื่อยและความเจ็บปวดอันล้ำลึกจากในดวงตา
“ท่านพึงทราบว่าวรยุทธ์บนโลก ชนิดทั่วไปแค่จ่ายเงินก็เรียนได้ แต่วรยุทธ์เฉพาะ ไม่อาจถ่ายทอดได้โดยง่าย”
ซ่งเจิ้นกั๋วสายตาแน่วแน่ “จำเป็นต้องใช้เงื่อนไขอะไร พี่ลู่จึงจะยอมสอนข้า ต้องกราบอาจารย์ไหม ข้าไม่มีปัญหา!”
“ไม่… ไม่ต้องรีบ ท่านมีคุณสมบัติเรียนวรยุทธ์หรือไม่ข้าไม่แน่ใจ ต้องทดสอบก่อนถึงจะทำได้” ลู่เซิ่งฝึกวิชาแบบไม่สมประกอบ ไม่มีวิธีการทดสอบของตัวเองในด้านคุณสมบัติ ได้แต่ให้เขาลองดูก่อน
ส่วนวรยุทธ์เฉพาะมิอาจถ่ายทอดง่ายๆ นี่เป็นกฎที่แพร่หลายของที่นี่ เขาไม่คิดแหกกฎนี้ กล่าวให้ชัดเจน วรยุทธ์เฉพาะส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะผู้บัญญัติพยายามค้นคว้าทดสอบ ลงแรงลงใจมากมาย ถึงขั้นทดลองวรยุทธ์ที่ใช้ร่างกายของตัวเองจนบาดเจ็บพิการจึงบัญญัติออกมาได้
ผลลัพธ์เช่นนี้ปกติไม่มีเหตุผลสอนแก่คนภายนอก ผู้ใดยินยอมหรือ นี่เหมือนกับคหบดีนายวานิชใหญ่ลำบากลำบนสร้างทรัพย์สมบัติมากกว่าค่อนชีวิต จะให้มอบแก่คนนอกส่งเดช เป็นไปได้หรือ
นี่จึงเป็นความจริงของวิชายุทธ์ประจำตระกูลของยอดฝีมือจำนวนมาก ไม่ถ่ายทอดแก่คนนอก มีแค่ถ่ายทอดในตระกูล
ลู่เซิ่งเคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนถ่ายทอดวรยุทธ์ให้แก่คนอื่นโดยไม่สนใจอะไร แบบนี้ส่วนใหญ่ได้วรยุทธ์มาง่ายเกินไป ไม่น่าทนุถนอม
แต่เขาไม่สนใจเรื่องนี้ มีเครื่องมือปรับเปลี่ยนอยู่ ไม่ว่าผู้ใด คิดจะเทียบความเร็วฝึกฝนกับเขาล้วนเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ วิชาวรยุทธ์ก็เหมือนกัน เขาสามารถบรรลุถึงจุดสูงสุดได้เร็วกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว
ดังนั้นสิ่งที่ลู่เซิ่งเป็นห่วงจึงไม่ใช่เรื่องนี้ หากกังวลว่าจะเผยความสามารถออกไป เกิดคนนอกทราบว่าวรยุทธ์ของเขาใช้วิทยายุทธที่แตกต่างเรียนรู้แล้วสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ อาจจะโดดเด่นถึงขีดสุด
นี่ไม่สอดคล้องกับแผนการสร้างโอกาสเงียบๆ ซุ่มยกระดับของตัวเอง
“เอาแบบนี้ พวกเราทดสอบกันก่อน ข้าค่อยพิจารณาว่าจะถ่ายทอดวิทยายุทธแก่ท่านหรือไม่” ลู่เซิ่งคิดทดลองดูก่อน ถ้าซ่งเจิ้นกั๋วมีพรสวรรค์จริงๆ จะถ่ายทอดความสามารถพื้นฐานแก่เขา
“ได้!”
ซ่งเจิ้นกั๋วก็ทราบเหมือนกับว่าเวลาถ่ายทอดวิชาจะมีกระบวนการทดสอบ ในนวนิยายแนวประหลาดส่วนหนึ่ง เหล่าจอมยุทธ์ต่างก็ใช้กฎนี้
สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังพาเฉินเจียวหรงเข้าเมือง มีเถ้าแก่ร้านตัดเสื้อผ้าที่ประตูเมืองเห็นเฉินเจียวหรง จึงไปแจ้งข่าว
สภาพของลู่เซิ่งไม่อาจพบพานคน ให้ซ่งเจิ้นกั๋วพาเฉินเจียวหรงไปอธิบายที่ตระกูลเฉิน ตัวเขาผละกลับบ้านอย่างเงียบเชียบ
ขณะเดินบนถนน ทุกที่ล้วนมีคนใช้สายตาแปลกประหลาดมองเขา เด็กจำนวนไม่น้อยไล่ตามก้นเขาดูเรื่องสนุก
ลู่เซิ่งจนปัญญา ได้แต่เร่งความเร็ว รอจนถึงประตูบ้าน ลูบตัวดู กุญแจกับถุงเงินล้วนโดนเผาไม่เหลือแล้ว
‘ครั้งนี้ขาดทุนย่อยยับแล้ว… ตั๋วเงินทั้งหมดอยู่ด้านในด้วย…’ ลู่เซิ่งพลันนิ่งงัน รู้สึกโชคร้าย
ก๊อกก๊อกก๊อก
เขาได้แต่เคาะประตูอย่างจนปัญญา
“มาแล้วๆ!” เสี่ยวเฉี่ยววิ่งมาอย่างรวดเร็วด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วเบา “ผู้ใด”
“เป็นข้า” ลู่เซิ่นขานตอบ “ทำกุญแจหาย เปิดประตูเถอะเสี่ยวเฉี่ยว”
ได้ยินเสียงของเขา เสี่ยวเฉี่ยวรีบเปิดประตู
ประตูค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าจุ๋มจิ๋มน่ารักของเสี่ยวเฉี่ยว นางเงยหน้ามองมาด้วยรอยยิ้ม
พอเห็นลู่เซิ่งแวบแรก สตรีนางนี้ก็นิ่งอึ้งก่อน จากนั้นก็เบิกสองตา
“ท่านๆๆ…!” นางตาเหลือก สลบไสลล้มลงกับพื้น
ลู่เซิ่งหมดคำพูด เห็นคนในร้านด้านล่างที่ถูกสะกิดความสนใจ จึงรีบเข้าห้อง อุ้มเสี่ยวเฉี่ยวขึ้นไปวางไว้บนเตียงด้านใน ตนไปต้มน้ำใส่อ่างไม้
วุ่นวายพักหนึ่ง ขัดคราบเขม่าบนตัว น้ำถูกย้อมกลายเป็นสีดำทั้งอ่าง ลุกขึ้นเติมน้ำอีกกะละมังหนึ่งเช็ดตัว ผ้าขนหนูเปื้อนเป็นสีดำเทา จึงนับว่าอาบสะอาด
เขาอาบน้ำเสร็จใส่เสื้อผ้า สักพักหนึ่งเสี่ยวเฉี่ยวก็ฟื้นขึ้นมา พอเห็นเขา นางก็เบิกตาโต แยกแยะอย่างละเอียด จึงค่อยจดจำออกว่าเขาเป็นนายน้อยใหญ่ลู่เซิ่งที่นางปรนนิบัติทุกวี่วัน
ลู่เซิ่งพยายามอธิบายรอบหนึ่ง เล่าว่าถูกไฟเผาเสื้อผ้า ยังดีไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก เสี่ยวเฉี่ยวจึงรีบวิ่งไปตามหมอ ในบ้านนอกจากเงินบนตัวลู่เซิ่งแล้ว ยังเหลือสองสามตำลึงเงินให้เสี่ยวเฉี่ยวใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เงินเรียกหมอกลับมีมากพอ
ขณะมองแผลไหม้บนตัวลู่เซิ่ง ให้หมอค่อยๆ พอกยาแก่ผู้เป็นนาย เฉี่ยวเอ๋อร์น้ำตาคลอ ทำท่าอยากยื่นมือไปลูบ แต่ก็กลัวว่าจะทำลู่เซิ่งเจ็บ
แผลไฟไหม้นี้หลังพอกยาแล้ว ลู่เซิ่งก็เริ่มพักผ่อนอยู่ในบ้าน แม้แต่ห้องเรียนก็ไม่ไปแล้ว
พักผ่อนอยู่ครึ่งเดือน อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ดีขึ้น เพียงแต่ผิวหนังมองไปไม่มีเส้นขนเหมือนก่อนหน้า
สิ่งที่ประหลาดก็คือ ผิวของเขาถึงกับไม่มีแผลเป็นจากแผลไฟไหม้ เพียงแค่เส้นขนถูกเผาจนหมด ไม่มีผม ไม่มีขนคิ้ว ถึงขั้นแม้แต่หนวดก็ไม่มี เกลี้ยงเกลาทั้งตัว
ขอลาหยุดอยู่บ้านระยะหนึ่ง ก็ใกล้เป็นเวลาทดสอบประจำปี
หลังจากซ่งเจิ้นกั๋วกลับไป ก็ไร้ข่าวคราวมาโดยตลอด ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หลังจากเฉินเจียงหรงกลับไปก็ได้ทราบข่าว เขาเพียงส่งจดหมายมาขอบคุณลู่เซิ่งสำหรับบุญคุณช่วยชีวิต แต่ว่าในจดหมายไม่ได้พูดถึงเรื่องเรือผีหอแดงอันใด คาดว่าซ่งเจิ้นกั๋วไม่ได้เล่าให้เขาฟัง บางทีเล่าแล้วเขาอาจไม่เชื่อ
ในจดหมายบอกว่าเขาถูกกักบริเวณ การไปเรือสำราญเป็นการส่วนตัว แม้ไม่นับเป็นเรื่องเลวร้ายอันใด แต่สุดท้ายไม่ใช่เรื่องถูกต้อง เปิดเผยไม่ได้ หนำซ้ำครั้งนี้ลุกลามใหญ่โต เกือบถูกไฟคลอกตาย ทำให้บิดาที่บ้านโกรธอยู่พักใหญ่ สั่งห้ามไม่ให้เขาออกไปด้านนอก
เฉินอวิ๋นซีมาแสดงคำขอบคุณกับลู่เซิ่งด้วยตัวเอง ยังส่งกิเลนหยกขาวคู่หนึ่งเป็นของขวัญขอบคุณให้ด้วย อีกทั้งยังเป็นตัวแทนประมุขตระกูลเฉิน เชิญเขาไปเป็นแขก หากเขามีเวลาและรักษาบาดแผลหายแล้ว
เพียงแต่พอมาเห็นสภาพที่ลู่เซิ่งถูกเผาจนหัวล้าน เฉินอวิ๋นซีก็สะดุ้ง แต่ว่านางกลับรู้สึกสนใจ ปิดปากหัวเราะ ทั้งเป็นห่วง ทั้งขบขัน หยอกล้อลู่เซิ่งอยู่ครึ่งวัน ใกล้ค่ำแล้วจึงกลับไป
ลู่เซิ่งพักผ่อนอยู่ในบ้านระยะหนึ่ง รอจนร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟู ก็คิดหาวิธีทดสอบสภาพพลังของตัวเองในตอนนี้ การระเบิดกระบวนท่าสุดท้ายบนเรือสำราญก่อนหน้านี้ทำให้เขาสนใจยิ่ง
แต่ว่าก่อนหน้านั้น คนที่อยู่เหนือความคาดหมายคนหนึ่งก็รบกวนแผนการของเขา
…
ข้างจวนทหารใหญ่เมืองเลียบคีรี โรงน้ำชามึนเมา
บนหอชาแดงยอดแหลมสามชั้น ลู่เซิ่งกับสตรีงดงามสวมชุดผ้าโปร่งสีดำนั่งตรงกันข้ามกันในห้องเดี่ยวชั้นสูงสุด
ของว่างจำพวกเม็ดแตง ตีนไก่ ผลไม้ และถั่ว วางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง กาใหญ่สีแดงชาดใบหนึ่งวางนิ่งกลางโต๊ะ ปากกามีไอร้อนลอยขึ้น ถ้วยสองใบวางอยู่หน้า ด้านในกลับรินน้ำชาสีเขียวไว้ครึ่งหนึ่ง
ลู่เซิ่งยื่นมือหยิบผลไม้แห้งไร้เมล็ดชิ้นหนึ่งมาใส่ปากเคี้ยวเบาๆ ดวงตากลับมองสตรีด้านตรงข้ามอย่างสงบ
“พวกเราเจอกันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว”
ตวนมู่หว่านยิ้ม ใบหน้าอิดโรยอยู่บ้าง “บังเอิญผ่านมาทางนี้ มาเจอ… อืม… อาจนับเป็นสหายได้ คิดไม่ถึงจะเจอท่านบนถนน”
นางเห็นลู่เซิ่งออกมากินอาหารเช้าตอนขี่ม้าบนถนน หลังจากสองคนเจอกันลู่เซิ่งก็เสนอให้นั่งด้วยกัน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความปรารถนาอันใด นางตอบรับข้อเสนอมาดื่มชาที่โรงน้ำชาที่ลู่เซิ่งแนะนำ
“ก่อนหน้านี้แม่นางตวนมู่ไปหาของล้ำค่าชิ้นนั้นหรือ” ที่ลู่เซิ่งทราบเบื้องหลังเรื่องใหญ่ซึ่งเกิดในเมืองเก้าประสาน อาศัยตวนมู่หว่านบอกเล่า ดังนั้นเขาจึงหวังจะได้ทราบข้อมูลข่าวสารมากกว่าเดิมจากปากสตรีลึกลับนางนี้ โดยเฉพาะจากโลกที่นางอยู่
“ใช่แล้ว… คนที่ต้องการหาของชิ้นนั้น… มากมายยิ่ง” ตวนมู่หว่านดูเหนื่อยมากจริงๆ เครื่องแต่งกายบนตัวนางก็ใช้ผ้าโปร่งดำห่อหุ้มไว้ทั้งตัว บนราวแขวนเสื้อด้านข้างยังแขวนหมวกสีดำใบใหญ่ใบหนึ่งของนาง ตอนอยู่บนถนน ถ้ามิใช่ลู่เซิ่งเงยหน้ามองคงดูไม่ออกจริงๆ ว่านางคือตวนมู่หว่าน
ลู่เซิ่งมองมือของนาง มือสองคู่ที่เรียวเล็กขาวผ่อง แขนเสื้อและเสื้อส่วนปลายแขนต่างมีร่องรอยขาดวิ่นอยู่บ้าง ทั้งเปื้อนคราบเลือดซึ่งแห้งกรังแล้ว บนชายกระโปรงของนางยังเปื้อนเศษโคลนสีเหลืองเล็กๆ ส่วนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากระเด็นโดนตอนเร่งรุดเดินทาง ยังมีขอบตาดำจางๆ ใต้ดวงตาบนใบหน้านาง แสดงให้เห็นว่านางพักผ่อนไม่ดี
“เหนื่อยมากจริงๆ กระมัง” ลู่เซิ่งทอดถอนใจ
ตวนมู่หว่านพยักหน้า ถอนใจคำหนึ่ง ไม่มีเค้าความงามตอนพบลู่เซิ่งเป็นครั้งแรกโดยสิ้นเชิง
“คนบางคนมักนึกว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ คำพูดใดก็ฟังไม่เข้าหู เรื่องราวใดก็นึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ไม่ว่าท่านหาหลักฐานมากน้อยเท่าใด บอกเขาว่านี่เป็นความผิดพลาด ล้วนไม่มีประโยชน์… ท่านว่าคนแบบนี้ใช่น่ารังเกียจมากหรือไม่”
ลู่เซิ่งเงียบเล็กน้อย
“น่ารังเกียจมาก”
………………………………………….