ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 491 รวมตัว (1)
บทที่ 491 รวมตัว (1)
ในโถงรับแขก
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงมองลัวเฉิงด้วยสีหน้าแปลกพิกล แถมคอยพิจารณาลัวอิงตลอดเวลา ไม่พูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
ลัวเฉิงใจเต้นระทึก ลัวอิงใจเต้นตึกตัก ต่างคนต่างมีความคิดอ่านในใจ ต่างกำลังรอการตอบกลับของลู่เซิ่งอยู่
ลัวอิงสงสัยแต่ไม่รู้จะถามจากตรงไหน นางทราบว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรส่งเสียงถาม ถ้าหากว่าท่านพี่คิดว่าอธิบายให้ตัวเองฟังได้ อย่างนั้นต้องหาโอกาสบอกแน่
ตอนนี้ที่ไม่อธิบาย ไม่แน่ว่าอาจจะพูดไม่ได้
ดังนั้นนางจึงยืนอยู่เงียบๆ
หลิ่วเอ๋อร์ผู้ครองเขาฉีซันป้องปากหัวเราะคิก ในช่วงชีวิตอันยาวนานของนางมีเวลาที่เต็มไปด้วยเรื่องสนุกสนานแบบนี้เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากๆ แล้ว
ตอนนั้น พลังฝึกปรือของนางยังไม่แกร่งเท่าตอนนี้
เนิ่นนานนัก
ลู่เซิ่งจึงค่อยๆ เอ่ยปาก
“เจ้าอยากให้นางเป็นน้องสาว อย่างนั้นจะเป็นน้องสาวก็ได้ ในฐานะเจ้าสำนักน้อย การมีลูกหลายๆ คนหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน…ข้าจะได้ไม่ต้องจัดการเรื่องแต่งงานให้กับเจ้าอีก”
ลัวเฉิง “…”
ใบหน้าของลัวอิงแสดงความงุนงง ก่อนจะแดงก่ำ นางจึงรีบก้มหน้าลง
“เอาล่ะ เรื่องราวของที่นี่จบเท่านี้ ลัวเฉิงตอนนี้เจ้าพาข้าไปหน้าหลุมศพบิดามารดาของเจ้า ข้าจะไปกราบไหว้สักหน่อย” ลู่เซิ่งลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวเสียงกังวาน
“เอ่อ…ขอรับ…ได้ขอรับท่านลุงใหญ่!” ลัวเฉิงรีบตอบอย่างร้อนรน ตอนนี้เขาเหลือบมองลัวอิงผู้เป็นน้องสาว ในใจที่ยังกังวลสับสนกลับเกิดความรู้สึกสุขใจอันเข้มข้น
“ตระกูลลัวของเราขาดแคลนคนรุ่นหลัง ดังนั้นลัวเฉิงเจ้าต้องพยายามให้มากๆ ในเวลาสองปีอย่างน้อยต้องมีลูกมากกว่าห้าคน นี่เป็นภารกิจของเจ้าในฐานะเจ้าสำนักน้อย การฝึกฝนวิชาไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่ต้องมีลูกเยอะๆ!” ลู่เซิ่งชี้แนะอย่างชัดเจน
แม้ไม่ทราบว่าผลกรรมของมู่อวิ๋นมีความปรารถนาจะทำให้ตระกูลรุ่งเรืองหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทำก่อนแล้วค่อยว่ากันย่อมดีกว่า
“เอ่อ…ท่านลุงใหญ่…ผู้หลานยังไม่ได้กำหนดเรื่องแต่งงานด้วยซ้ำ นี่ออกจะเร็วเกินไปหรือไม่…” ลัวเฉิงตกใจจนหน้าถอดสี รีบปฏิเสธเสียงดัง
“ไม่เป็นไร ถ้าหากเป็นเรื่องแต่งงานของเจ้าสำนักน้อย คนในสำนักข้ามีหลายพันคน สามารถเลือกได้ตามใจ เชื่อว่าไม่มีใครไม่ยินดีอุทิศตนปรนนิบัติเจ้าสำนักน้อยแน่” หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างกล่าวพลางหัวเราะ
“นี่…” ลัวเฉิงรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย โชคลาภมาอย่างกะทันหันเกินไป เพียงแต่อยู่ๆ เขาก็รู้สึกตัว รีบมองไปยังลัวอิงผู้เป็นน้องสาว เห็นลัวอิงทำหน้าหม่นหมองอย่างที่คิดไว้
“เอ่อ…ช่างมันเถอะ…ข้าไม่เอาดีกว่า…ขอบคุณพี่สาวๆ…ฮ่ะๆๆ…” ลัวเฉิงรีบบอกปัด
“ต๊ายตาย ปากหวานจริงๆ” หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิก ดวงตายิ้มหยีเหมือนกับจันทร์เสี้ยว
“เอาล่ะ ไปกราบไหว้หลุมศพกันก่อน” ลู่เซิ่งสั่ง
“เอ๋?…ตอนนี้เลยหรือขอรับ!?” ลัวเฉิงร้องอย่างตกใจ
“กราบไหว้อยู่ที่ใจ ไม่เกี่ยวกับเวลา อย่าเสียเวลาเลยไม่อย่างนั้นจะมากเรื่องมากราวเสียเปล่า” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ลัวเฉิงกับลัวอิงไม่เข้าใจว่าหมายความถึงอะไรอยู่ชั่วขณะ แต่ว่าท่านลุงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนดุดัน พวกเขาจึงไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่เดินออกจากโถงรับแขกพร้อมกัน
“จริงสิ ท่าน…เอ่อ” ลัวอิงอ้าปากแต่ไม่ทราบจะเรียกอย่างไรอยู่ชั่วขณะ
“เรียกข้าว่าลุงใหญ่ก็ได้ อย่างไรไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะเป็นคนของตระกูลลัวอยู่แล้ว” ลู่เซิ่งโบกมือกล่าวอย่างไม่นำพา
หน้างามของลัวอิงแดงก่ำอีกรอบ
“ท่านลุงใหญ่ คือว่า…ข้าคือคนในราชวงศ์ของรัฐอนัตตา ภายหลังจะเกิดปัญหาไม่น้อย ถ้าหากว่าท่าน…”
“รัฐอนัตตาหรือ เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ เขาเหมือนเคยได้ยินชื่อรัฐแห่งนี้มาก่อน คล้ายจะอยู่ห่างไกลมาก
“ไม่เป็นไรหรอก” หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงอย่างอ่อนโยน “ปัจจุบันทั่วทั้งใต้หล้า เรื่องที่ท่านลุงใหญ่ของพวกเจ้าทำไม่ได้ มีอยู่น้อยยิ่ง”
โอ้!
ลัวเฉิงอดกลืนน้ำลายไม่ได้ รู้สึกว่าตนเองเหมือนจะถูกขนมเปี๊ยะบังฟ้าคลุมตะวันที่น่ากลัวกดทับใส่ศีรษะ
โชคลาภมาอย่างกะทันหันเกินไป เขาคิดว่าตัวเองจำเป็นต้องทำใจให้เย็นๆ ก่อน แม้ส่วนลึกของจิตใจจะกำลังตะโกนอย่างลิงโลดอย่างควบคุมไม่ได้อยู่ก็ตามที
ลัวอิงเองก็สำลักและส่งเสียงไม่ออกอยู่ชั่วขณะเพราะความยิ่งใหญ่ของคำพูดนี้อยู่เช่นกัน
“พอแล้ว ไปเถอะ” ลู่เซิ่งให้เด็กทั้งสองคนนำทาง ทั้งสี่คนร่วมทางกัน สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ทั้งๆ ที่พวกลัวเฉิงก้าวเดินด้วยย่างก้าวที่ใช้ตามปกติ ทว่าตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกว่าเร็วกว่าเดิมมาก
แทบจะไม่ถึงยี่สิบอึดใจ ทั้งสี่คนก็มายืนอยู่ในสุสานฝังศพด้านหลังหมู่บ้านแล้ว
สุสานฝังศพมีเนินหลุมศพสิบกว่าเนินเรียงแถวอยู่ด้วยกัน
“นอกจากท่านพ่อท่านแม่ ยังมีท่านตาท่านยาย และท่านลุงด้วย ล้วนฝังอยู่ที่นี่ พวกเขาจากไปเพราะติดโรคชนิดหนึ่ง” ลัวเฉิงเดินไปถึงหน้าเนินหลุมศพสองเนินที่อยู่ท้ายสุดอย่างคุ้นเคย ก่อนจะโขกศีรษะสามครั้งอย่างนอบน้อม
“ที่นี่อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปดูตัวอักษรที่สลักบนป้ายศิลา
‘บิดาจิ้นเย่’ ‘มารดาเย่จวิน’ ป้ายหลุมศพสองหลุมสลักตัวอักษรที่แตกต่างกัน ด้านล่างคือชีวประวัติโดยสังเขปที่ใช้ตัวอักษรเล็กๆ สลักไว้
ลู่เซิ่งพนมมือไหว้ ในใจกลับเกิดความเศร้าโศกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
เขาทราบว่านี่เป็นสัญญาณที่กรรมของมู่อวิ๋นกำลังได้รับการแก้ไข จากนั้นลู่เซิ่งก็เดินไปยังหน้าหลุมศพท่านตาท่านยายของลัวเฉิง แล้วพนมมือทำความเคารพเช่นกัน
รอหลังจากกราบไว้เสร็จ แล้วเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาพลันสาดประกายสีแดง ความโศกเศร้าในใจค่อยๆ จางหายไป
“หลิ่วเอ๋อร์ เจ้าให้พวกจุนปานำคนมาย้ายหลุมศพไป ทั้งหมดย้ายไปที่อารามวารีเมฆาที่ทะเลทักษิณ นอกจากนี้จงส่งคนมาร่วมปฏิบัติการกับพวกเราด้วย” ลู่เซิ่งส่งกระแสเสียงบอกความลับ
หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้าบอกว่าเข้าใจ
จุนปาเป็นหัวหน้าเผ่านางเงือกที่เข้ามาในจงหยวนพร้อมกับพวกเขาในครั้งนี้ มีคนในเผ่าพวกนางอยู่ที่รัฐจ้าวเช่นกัน
ด้วยรูปโฉม บุคลิก และความสามารถของเผ่านางเงือก ตระกูลที่แต่งเข้าได้จึงเป็นขุมกำลังในโลกมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน
การจัดการเรื่องเล็กๆ แค่นี้เหนื่อยเพียงยกมือเท่านั้น
หลังจากกราบไหว้เสร็จ ลู่เซิ่งก็พาเด็กทั้งสองคนเข้าไปในนครเขต ไม่นานก็พบกับเผ่านางเงือกที่มารับตัว
หลังจากที่ให้รถม้างดงามสองคันพาพี่น้องตระกูลลัวไปแล้ว ลู่เซิ่งก็นำหลิ่วเอ๋อร์ไปยังสถานที่ที่สอง
ครั้งที่มู่อวิ๋นออกจากบ้านเกิด คนที่มีความเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้มีแค่ครอบครัวเท่านั้น แต่ยังมีหลินซงอีซึ่งเป็นสหายที่เขามีความผูกพันอย่างล้ำลึก และสนิทสนมกันที่สุดตั้งแต่ยังเด็กด้วย
หลังจากมู่อวิ๋นหายตัวไป ตระกูลหลินของหลินซวงอีได้ใช้ข้อมูลออกค้นหา แถมยังลงเงินลงแรงอย่างอุตสาหะเพื่อตามหามู่อวิ๋นต่อ จนกระทั่งถึงปีที่ห้า หลินซงอีซึ่งคุมกิจการของตระกูลไม่เห็นความหวังใดๆ อีก จึงได้เลิกค้นหา แล้วเปลี่ยนไปใช้ประกาศมอบรางวัลให้แก่ผู้ตามหาแทน
ตระกูลหลินตามหาง่าย หลินซวงอีเพียงมีอายุมากขึ้นเท่านั้น ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีหลานชายหลานสาวหลายคน ครอบครัวเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ต้องจัดการ กิจการยิ่งมั่นคงดุจเขาไท่ซาน มีความสัมพันธ์เกาะเกี่ยวกับขุมกำลังที่เป็นงูเจ้าถิ่นในท้องที่
กิจการร้านขายเสื้อผ้าของตระกูลลัวมีเพียงเด็กสองคนเป็นผู้ดูแล ที่ไม่เคยเกิดปัญหาอะไรขึ้น เป็นเพราะว่ามีตระกูลหลินคอยลอบให้การช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นด้วยอายุของเด็กน้อยสองคนเช่นลัวเฉิงกับลัวอิง คงจะถูกพวกผู้ใหญ่ที่มีจุดประสงค์ร้ายปอกลอกจนหมดเนื้อหมดตัวไปนานแล้ว
ลู่เซิ่งลอบตรวจสอบ พอพบว่าไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องลงมือ จึงไม่ได้ทำอะไร เพียงแอบทิ้งแท่งทองและโอสถสลักอักษรไว้ให้บางส่วน โอสถชนิดนี้ไม่มีผลอะไรต่อผู้บำเพ็ญมากนัก เพียงแค่มีผลยืดอายุขัยหากกินมากเกินไปเท่านั้น ต่อมาเป็นหยกแขวนที่กระตุ้นปราณทารกได้สามครั้ง เวลาเจอปัญหาจะสามารถใช้ปกป้องตระกูลหลินได้สามครั้ง
หลังจากทิ้งข้อความไว้ให้หลินซงอีแล้ว ลู่เซิ่งก็ลอบพาหลิ่วเอ๋อร์ไปยังสถานที่ที่สาม
อีกทั้งยังเป็นจุดหมายสุดท้ายในการตามหาคนรู้จักครั้งนี้ สถานศึกษาเหมยเหมันต์
ที่นั่นมีคนรักซึ่งเป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็กของมู่อวิ๋น เยวี่ยซิงจู๋
…
ดวงอาทิตย์อันเจิดจ้าปล่อยแสงอาทิตย์แสบร้อน สาดส่องจนพื้นแวววาวและแยงตาเป็นพิเศษ
ด้านในสนามฝึกของสถานศึกษาไม่มีใครสักคน บางครั้งจะมีนักศึกษาสองสามคนผ่านทางมา ต่างก็ย่างก้าวอย่างเร่งรีบ ไม่กล้าหยุดนิ่ง
มุมหนึ่งของสนามฝึกมีแผงร้านค้าที่ขายข้าวโพดเย็น ขนมอบ ขนมขบเคี้ยว และถั่วตั้งอยู่
เจ้าของแผงร้านค้าคือสตรีอายุเกือบห้าสิบปี คนในสถานศึกษาเรียกนางว่าป้าจู ป้าจูตั้งแผงร้านค้าในสถานศึกษามายี่สิบกว่าปีแล้ว
นางเป็นสักขีพยานให้แก่สถานศึกษาเหมยเหมันต์ตั้งแต่ช่วงยากจนข้นแค้น จนผงาดขึ้น แล้วรุ่งเรือง ก่อนจะกลับมาอยู่ในจุดธรรมดาสามัญในวันนี้อีกครั้ง
แผงเล็กตั้งอยู่ในเงาของชายคา ป้าจูซึ่งนั่งบนเก้าอี้หวายโบกพัดทรงกลมในมือขณะกึ่งหลับกึ่งตื่น เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดบนหน้าผาก
ด้านข้างแผงเล็กคือสตรีผิวดำคล้ำอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง นางกำลังจัดระเบียบขนมขบเคี้ยวบนแผงอย่างตั้งใจอยู่
“ร้อนเหลือเกิน…อากาศแบบนี้” นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สว่างไสวพลางทอดถอนใจเล็กน้อย
“ท่านแม่ อากาศร้อนๆ แบบนี้คงไม่มีใครมาซื้อของแล้ว พวกเราเก็บร้านกลับบ้านกันดีไหม”
“เก็บร้านเร็วขนาดนี้ เจ้าอยากอดตายหรืออย่างไร” ป้าจู่หยีตาและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ให้เจ้ามาช่วยเฝ้าแผงแค่ไม่กี่วันก็เริ่มโอดครวญแล้ว สมัยก่อนแม่เจ้าตื่นเช้าหลับดึก ทำงานจนมือหยาบหน้าโทรม เพื่อหาเงินให้พ่อเจ้าไปสอบเอาตำแหน่ง…อย่าเห็นว่าตอนนี้แม่เจ้าขี้ริ้วขี้เหร่ สมัยก่อนข้าเยวี่ยชิงจูเป็นบุปผาที่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองเชียวนะ!”
“รู้แล้วน่าๆ!!” สตรีสาวพยักหน้าเหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าวอย่างจนปัญญา นางรู้นิสัยของมารดาดี เกิดไปเถียงเข้า สุดท้ายจะกลายเป็นคำบ่นยาวถึงครึ่งชั่วยาม
นางปวดหัวเพราะอากาศร้อนๆ แบบนี้มากพอแล้ว หากว่าโดนบ่นเข้าอีก จะต้องเสียสติแน่
“ป้าเจ้าของแผงยังอยู่อีกหรือ ขอผลเหอเถาหน่อย เอาแบบที่แกะเปลือกแล้วนะ” อยู่ๆ หน้าแผงก็มีเงาสูงใหญ่สองสายบดบังแสงสะท้อนที่เจิดจ้าบนพื้น
สตรีสาวรีบลุกขึ้นอยางกระตือรือร้น
นางมีหน้าตาธรรมดาๆ ทั้งๆ ที่เหมือนบิดามารดามาก แต่พอเอาเครื่องหน้ามารวมกันกลับไม่มีจุดเด่นอะไรสักอย่าง กอปรกับมีรูปร่างอวบเล็กน้อย แถบบิดายังหายตัวไป บ้านช่องไม่มีสมบัติ อีกทั้งตัวเองยังขาดญาติดีๆ ทำให้ภาพรวมดูธรรมดายิ่ง ดังนั้นนางที่อายุมากแล้วจึงไม่มีใครมาขอแต่งงานกลายเป็นนายหญิงใหญ่
แต่ก็ไม่เป็นอุปรสรรคแก่ความชื่นชมที่นางมีต่อบุรุษรูปหล่อ
เยวี่ยหมิงจวนใจเต้นเล็กน้อยในพริบตาที่เงยหน้าเห็นคนทั้งสองตรงหน้า
‘คนหน้าตาดีสองคน’ นางประเมินในใจ
“ผลเหอเถาใช่หรือไม่ ตรงนี้เลย ต้องการเท่าไหร่เจ้าคะ” นางใช้หางตาพิจารณาสองคนตรงหน้าไปพลาง ถามเสียงดังไปพลาง
“หนึ่งชั่งก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งยิ้มๆ พร้อมกับมองข้ามเยวี่ยหมิงจวนที่กำลังเหนียมอายไปมองเยวี่ยซิงจูที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“ไม่เจอกันนาน ซิงจู” เขาส่งเสียงอย่างอ่อนโยน
ตอนแรกป้าจูไม่ได้นึกอะไร เพียงทอดถอนใจว่าคนหนุ่มตรงหน้าช่างเหมือนลัวมู่อวิ๋นยิ่งนัก กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยของลู่เซิ่ง นางพลันตัวสั่นสะท้าน
นางนั่งเงียบอยู่ที่เดิมและพิจารณาลู่เซิ่งอย่างละเอียด
“พ่อหนุ่ม เจ้าเป็น…ลูกของมู่อวิ๋น…”
“ไม่ใช่ ข้าคือลัวมู่อวิ๋น” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงจังขณะสบตาอีกฝ่าย “ลัวมู่อวิ๋นที่จากที่นี่ไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ยังจำดอกจื่อหยางที่ข้ามอบให้เจ้าในตอนนั้นได้หรือไม่”
ป้าจูตัวสั่นอีกรอบ แล้วก้มหน้าเงียบเสียงครู่หนึ่ง คล้ายนึกอะไรออก
ตุบ พัดทรงกลมในมือนางตกลงพื้นโดยไม่รู้ตัว ขอบตาแดงเรื่อเล็กน้อย ทำท่าอยากมองลู่เซิ่ง แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้า เนื้อตัวสั่นเทาเล็กน้อย
“…นายท่านพูดอะไรกัน ท่าน…จำคนผิดแล้ว…จำคนผิดแล้ว…” นางซึ่งกำลังก้มหน้าอดกลั้นไม่ให้น้ำตาทะลักออกมาไม่ได้
ลู่เซิ่งเงียบเสียงเช่นกัน ในความทรงจำของมู่อวิ๋น เยวี่ยซิงจูยังคงเป็นหญิงสาวงดงามที่ไร้เดียงสาตรงไปตรงมา ทั้งยังน่ารักบริสุทธิ์คนนั้น เป็นขั้วตรงข้ามกับสตรีชราร่างอ้วนท้วนที่กลายเป็นคุณป้าวัยกลางคนตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง
เขาก้มหน้าเห็นมือที่สั่นเทาของเยวี่ยซิงจู มือคู่นั้นเต็มไปด้วยน้ำตาที่หยดร่วงลงมา ฝ่ามือและหลังมือคือรอยเหี่ยวย่นที่หยาบกระด้าง
“ซิงจู…” ชั่วขณะนั้นความยินดีและตื่นเต้นของมู่อวิ๋นบังเกิดขึ้นในใจ ลู่เซิ่งโศกเศร้าเล็กน้อย มีพันวาจาหมื่นถ้อยคำ แต่กลับไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรดี
“ไม่…ข้าไม่ได้ชื่อซิงจู…” เยวี่ยซิงจูเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นายท่านจำคนผิดแล้วจริงๆ…จำคนผิดแล้ว…” ใบหน้านางยังมีรอยน้ำตาที่รีบเช็ดเหลืออยู่ แต่กลับไม่รู้ตัว
“จำคนผิดแล้ว…”
ลู่เซิ่งเงียบลง
ครู่ต่อมาเขาค่อยฝืนยิ้ม
“ใช่แล้ว…จำผิดแล้ว…ข้าจำผิดเอง…อาจเป็นเพราะ…เจ้าหน้าตาเหมือนกับสหายของข้าคนหนึ่งมาก”
ใบหน้าอวบอ้วนของเยวี่ยซิงจูรีบก้มลงอีกรอบ
“ใช่…ใช่แล้วล่ะ…จำได้ว่าเคยมีเด็กสาวที่งดงามมากคนหนึ่งที่ชื่อเยวี่ยซิงจู…คนที่ท่านตามหา น่าจะเป็นนาง…” น้ำตาหยดลงจากคางของนางไม่หยุด
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก
……………………………………….