ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 493 ใต้หล้า (1)
บทที่ 493 ใต้หล้า (1)
‘นี่คือ!?’ ลู่เซิ่งถอยก้าวหนึ่งเพื่อรักษาระยะปลอดภัย
เป็นเพราะก้อนน้ำที่ตนใช้พลังบีบอัดกลับมีดวงตาแปลกประหลาดโผล่มาอย่างกะทันหัน
เขาตรวจสอบลูกตาในก้อนน้ำอย่างละเอียดด้วยความรู้สึกแตกตื่นสงสัย ดวงตาข้างนี้ดูจะแตกต่างจากในจินตนาการของเขา ทั้งๆ ที่ลอยอยู่ในก้อนน้ำ แต่จุดที่มันมองดูกลับเหมือนไม่ใช่ตนเอง หากคล้ายเป็นสถานที่สักแห่งที่อยู่ไกลแสนไกล
เหมือนกับดวงตาคนที่กำลังทอดตามองไกล
ลู่เซิ่งที่สงบใจลงแล้ว มองเห็นความปั่นป่วนอันแปลกประหลาดจากในดวงตา ซึ่งเป็นความเกรี้ยวกราดที่ทั้งเย็นเยียบ โกลาหล และบริสุทธิ์ ความเกรี้ยวกราดนี้กระจายออกมาจากในดวงตาอย่างช้าๆ
มันไม่เหมือนกับดวงตาที่เปลือกนอกดูดุร้ายกระหายเลือดชนิดนั้น ทว่าสายตาด้านในคือความสงบนิ่งล้ำลึก คล้ายกับความเกรี้ยวกราดและความบ้าคลั่งสับสนที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้น้ำนิ่ง
และราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเวลา
‘ผิดปกติแล้ว!’ อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ได้สติ สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ผิดปกติที่แตกต่างจากเดิม
เขายื่นมือเข้าไปในก้อนน้ำหมายจะสัมผัสกับดวงตาข้างนั้น แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือมือเขาเพิ่งล้วงเข้าไปในก้อนน้ำ ก็สัมผัสได้ว่ามีความเย็นเยียบสุดจินตนาการไหลมาอยู่บนมือทันที
ระดับความเย็นนี้ ต่อให้ร่างหลักในระดับทารกจิต ณ ปัจจุบันของเขาจะมีคุณสมบัติความเย็นเหมือนกัน แต่ก็ป้องกันไม่ได้
ต่อจากความเย็นที่ไหลมา ยังมีกระแสข้อมูลมากมายอยู่ด้วย เป็นข้อมูลที่คงอยู่มานานมากๆ แล้วโดยใช้คลื่นพลังชนิดพิเศษกักเก็บเอาไว้
ภาพและเสียงนับไม่ถ้วนจากกระแสข้อมูลเหล่านี้ไหลเข้าสู่ห้วงสมองของลู่เซิ่ง ในกระแสข้อมูลเหล่านี้แฝงจิตอันบิดเบี้ยวบ้าคลั่งชนิดหนึ่งซึ่งคิดจะล่อลวงและควบคุมสติของเขาในเวลานี้
“เหอะ!” ลู่เซิ่งแค่นเสียงเย็นชา ร่างหลักในส่วนลึกของหัวใจพลันขยับตัว แก่นหยางทะลักออกมาห่อหุ้มจิตอันบิดเบี้ยวทั้งหมดในร่างเอาไว้ จากนั้นก็กัดกร่อนมันอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเขาโซเซถอยหลังไปหลายก้าว เลือดไหลออกมาจากตาหูจมูกปาก จิตวิญญาณของร่างหลักได้รับบาดเจ็บสาหัส
ก้อนน้ำระเบิดออกอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงน้ำหลายหยดสาดกระจายไปทั่วพื้น ทำให้พรมสีดำผืนหนาเปียกชุ่ม คล้ายกับเป็นแค่ก้อนน้ำขนาดเท่าฝ่ามือธรรมดา
‘…หายไปแล้ว…’ ลู่เซิ่งเช็ดเลือดที่ไหลออกจากจมูก ใบหน้าฉายแววตื่นเต้น
ขณะเกิดการกระแทกกระทั้นจากกระแสข้อมูลเมื่อครู่ เขาเห็นภาพเส้นสายสีสันที่บิดเบี้ยวและแปลกพิสดารมากมาย ยังมีเสียงที่เหมือนคนจำนวนมากกำลังร้องตะโกนและร่ำไห้อย่างบ้าคลั่ง กระแสข้อมูลเหมือนกับเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของความทรงจำที่สับสนชนิดหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่ได้เนื้อหาสำคัญอะไรจากด้านในนั้น แต่ทุกๆ คนในความทรงจำของกระแสข้อมูลกำลังร้องตะโกนชื่อเดียวกัน
‘ดวงตา…ดวงตาแห่งเก๋อซังน่า…’ ลู่เซิ่งนึกถึงดวงตาสีน้ำเงินที่บิดเบี้ยวและเกรี้ยวกราดในก้อนน้ำเมื่อครู่
‘ดูเหมือนเราจะทำให้สิ่งของระดับสุดยอดโผล่มาโดยไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว…’ ลู่เซิ่งตรวจสอบอาการบาดเจ็บภายในร่างกาย
ด้วยระดับของเขาในปัจจุบัน ดวงตาแห่งเก๋อซังน่านี้สามารถทำร้ายกายเนื้อของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เป็นที่เห็นได้ถึงความแข็งแกร่งน่ากลัวของมัน
กระนั้นลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ลางๆ ว่า ดวงตาข้างนั้นเหมือนจะไม่มีสติปัญญาที่เฉพาะเจาะจง
มันเหมือนกับตัวแทนที่เป็นรูปธรรมของจิตบริสุทธิ์ชนิดหนึ่ง และเหมือนกับสัญลักษณ์การทำลายล้างชนิดพิเศษชนิดหนึ่งมากกว่า
‘ดูเหมือนว่านี่จะเป็นผลจากการที่เทวลักษณ์ของเรารวมตัวถึงขีดสูงสุด ดวงตาแห่งเก๋อซังน่า…โลกใบนี้…ช่างน่าสนใจจริงๆ’
กายเนื้อได้รับบาดเจ็บสี่ส่วน หลักๆ เป็นที่กายเนื้อและเส้นประสาททำให้เส้นเอ็นสำคัญส่วนหนึ่งชักกระตุกอย่างรุนแรง จนเกิดการกระชากไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างฉับพลัน ทำให้มีการฉีกขาด
ลู่เซิ่งรักษาอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นหลังจากเทวลักษณ์รวมตัวถึงขีดสูงสุดมากกว่า
อานุภาพของดวงตาแห่งเก๋อซังน่าเพียงแค่แตะเบาๆ ก็สร้างความเสียหายสาหัสขนาดนี้แล้ว นี่ยังเป็นผลลัพธ์ที่เกิดกับตัวเขาที่เป็นผู้สร้างด้วย ถ้าหากมีคนไม่ทันได้ป้องกันแล้วเจอสิ่งนี้ฟาดใส่อย่างกะทันหันล่ะก็…เกรงว่าแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรสูงส่งก็สามารถถูกฆ่าได้ในชั่วเสี้ยววินาทีเช่นกัน
‘กระบวนท่านี้ใช้โจมตีจิตวิญญาณโดยเฉพาะ เป็นการรวมพลังงานหลายสายของตัวตนที่แข็งแกร่งลึกลับบางชนิดเข้าด้วยกัน คล้ายคลึงกับเส้นขนของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรเล็กน้อย’ ลู่เซิ่งทำความคุ้นเคยและเลียนแบบกระบวนการสร้างก้อนน้ำนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยจิตวิญญาณระดับอริยะเจ้า กลับถูกก้อนน้ำนี้ทำร้ายได้ ยิ่งอย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญระดับทารกจิตคนอื่นๆ บนโลกใบนี้
หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย และอาการบาดเจ็บฟื้นฟูจนหายดีแล้ว ลู่เซิ่งก็เริ่มทดลองเรียนรู้ขอบเขตต่อไป หรือก็คือขอบเขตปฐมจิตในตำนาน
ทว่าเป็นเพราะไม่มีวิชาอะไรให้เรียนรู้ ดังนั้นดีปบลูจึงไม่ปรากฏปุ่มเรียนรู้อีก
มาถึงขั้นนี้ ลู่เซิ่งเพิ่มระดับต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงให้หลิ่วเอ๋อร์กับคนของเผ่านางเงือกเตรียมอาหารส่วนหนึ่ง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเขาประกายทองของวิถีธรรมะ
ลู่เซิ่งในฐานะเจ้าสำนักสี่สมุทรแห่งโพ้นทะเลไม่ได้จงใจปิดบังตัวตน วิถีธรรมะจึงสัมผัสได้ทันทีว่าเขากำลังมุ่งหน้ามาที่เขาประกายทอง
…
เขาประกายทอง ตำหนักฉายานาม
เจ็ดเจ้าขุนเขาแห่งวิถีธรรมะมากันพร้อมหน้า ในนี้มีอาจารย์ของอวิ๋นเหย่ที่กลับมาจากการเดินทางไปนอกชายแดน
รวมถึงอาจารย์ของตู้กวงชื่อที่เป็นชายชราขี้เมาด้วย ผู้เฒ่าผู้นี้ยืมของวิเศษจากศิษย์น้องของตัวเอง กลับนึกไม่ถึงว่าสถานการณ์โพ้นทะเลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนับหมื่น เขาไปยังโพ้นทะเลหมายจะช่วยเหลือลูกศิษย์ แต่อวิ๋นเหย่กลับเปลี่ยนทิศทางไปสังหารเจ้าสำนักกระบี่เทวะกับสี่อริยะสงฆ์อย่างกะทันหัน ให้เขาที่ต้องเผชิญหน้ากับสำนักสี่สมุทรอันยิ่งใหญ่เพียงคนเดียวเหมือนต้นไม้ต้นเดียวยากต้านทานได้ จึงไม่กล้าเผยโฉม
ตอนนี้ชายชรามีสีหน้าซีดเผือด แสดงให้เห็นว่าเป็นห่วงศิษย์ของตัวเอง
จอมมรรคานั่งบนบัลลังก์ที่ประดับด้วยรูปมังกรสามตัวกำลังเล่นมุกสีทองคำขาว ปล่อยผมหงอกขาวยาวสยาย จันทร์เสี้ยวกลางหน้าผากเปล่งแสงสีขาวอ่อนโยนจางๆ
“เรื่องของชายแดนได้ส่งคนไปจัดการแล้ว ยังมีสำนักค่ายพรรคมากมายคอยร่วมมือ ครั้งนี้ต้องไม่มีปัญหาแน่ เพียงแต่เจ้าสำนักสี่สมุทรมู่อวิ๋นกลับบ้านเกิดอย่างกะทันหัน ไม่ทราบว่าเพราะอะไร”
เจ้าขุนเขาคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าสำนักสี่สมุทรมู่อวิ๋นเคยถูกเตี๋ยซาจื่อไล่ล่าจนต้องหนีออกไปโพ้นทะเล ปัจจุบันใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบปีมันกลับเลื่อนเป็นทารกจิตและสร้างกองกำลังขึ้นมาจนกลายเป็นเจ้าสำนักที่แข็งแกร่งที่สุด ครั้งนี้ที่มา ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่มาเพราะความแค้นในคมกระบี่เดียวในอดีตนั้น” เจ้าขุนเขาที่เป็นชายชราร่างเตี้ยอีกคนกล่าวเสียงทุ้ม
“ในเมื่อมันมาแก้แค้น อย่างนั้นพวกเราจะรับมืออย่างไร” ผู้พูดคือเฉินซวง หนึ่งในเจ้าขุนเขาที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาแทนที่อวิ๋นเหย่ คนผู้นี้เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในหมู่เจ้าขุนเขา จึงมีความทะเยอทะยาน ไม่ได้มีไอสังหารคละคลุ้งเหมือนเจ้าขุนเขาคนอื่นๆ
“เจ้าสำนักสี่สมุทรไม่เท่าไหร่หรอก แมวใหญ่แมวน้อยสองสามตัวโพ้นทะเลไม่ได้น่ากลัวอะไร พวกเราวิถีธรรมะไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้เป็นวันแรกเสียหน่อย หากเจอเข้าจริงๆ แค่บดขยี้ก็ใช้ได้แล้ว” เจ้าขุนเขาที่เป็นหญิงงามคนหนึ่งผุดสีหน้าราบเรียบ
จอมมรรคาวิถีธรรมะแสดงสีหน้าเรียบเฉย สายตากลับอยู่ที่คนสองคนที่เงียบเชียบที่สุดในหมู่เจ้าขุนเขา
เป็นเจ้าขุนเขาที่สองหลิวซือเฉิง กับเจ้าขุนเขาที่เจ็ดซือหม่าจุ่น
ปกติแล้วหลิวซือเฉิงจะใส่อาภรณ์สีเทาและสวมงอบ จึงดูเหมือนจอมยุทธในยุทธภพที่สะพายดาบเดินกลางหิมะมากกว่า
ส่วนซือหม่าจุ่นคิ้วหนาตาโต สะพายกดาบเจาะห่วงทองคำขาวเล่มหนึ่งไว้บนหลัง มีหุ่นกำยำทรงพลัง
สองคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถล้ำลึกไม่อาจหยั่งคาดที่สุดในเจ็ดขุนเขา พวกเขาวางมือแล้ว ปล่อยให้คนรุ่นหลังกับศิษย์ของตัวเองเคลื่อนไหวตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว
ในวิถีธรรมะ หากคำนวณกันจริงๆ พวกเขาสองคนมีอายุมากที่สุด ถึงขั้นที่จอมมรรคายังไม่แน่ว่าจะชรากว่าพวกเขา เจ้าขุนเขาที่เหลือเปลี่ยนคนมาครั้งแล้วครั้งเล่า มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่คงอยู่มาโดยตลอด
หลิวซือเฉิงยิ้มๆ
“จะว่าไป นับตั้งแต่ศึกตะลุมบอนครั้งก่อน ปัจจุบันก็ไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่เหมือนเมื่อก่อนอีก เจ้าสำนักสี่สมุทรมุ่งหน้ามาเพียงคนเดียว อาจจะไม่ได้มาเปิดศึก แต่น่าจะมาหยั่งเชิงมากกว่า”
ซือหม่าจุ่นยิ้มเช่นกัน
“จะว่าไป ข้าเองก็ได้ตรวจสอบชีวิตของเจ้าสำนักสี่สมุทรผู้นี้มาอย่างคร่าวๆ เช่นกัน คนผู้นี้จงเกลียดจงชังความชั่วร้าย แต่ก็ทั้งทำชั่วและทำดี ให้ความสำคัญกับคุณธรรม แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน เพียงแต่ฝึกวิชานอกรีตเท่านั้น ที่มาในครั้งนี้อาจเป็นเพราะอยากทดสอบวิถีธรรมะของพวกเรามากกว่า จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะเปิดศึกซึ่งหน้ากับพวกเราหรือไม่”
จอมมรรคาวิถีธรรมะหัวเราะ “คนผู้นี้ผงาดขึ้นด้วยความเร็วที่สูงสุดขีด มีความเป็นตัวแปรอยู่บ้าง แต่ว่าฝีมือเหี้ยมโหด กระทำการอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งยังมีขีดจำกัดกับกฎของตัวเอง ไม่เหมือนคนในฝ่ายมาร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เขาจับตัวตู้กวงชื่อเอาไว้…”
พอกล่าวชื่อนี้ออกไป เจ้าขุนเขาที่อยู่รอบๆ พลันเงียบเสียง
ตู้กวงชื่อเกี่ยวพันกับโชคชะตาและความรุ่งโรจน์ของวิถีธรรมะในอีกพันปีให้หลัง ถ้าหากว่าเกิดข้อผิดพลาดอะไรโดยไม่ได้ตั้งใจ จะมาสำนึกเสียใจตอนนั้นก็สายไปแล้ว
“ดังนั้นเป้าหมายที่เรามีต่อเขา จึงเป็นการช่วยเหลือตู้กวงชื่อและนำกระบี่ธารปฐพีซึ่งเป็นหนึ่งในสามกระบี่เทวะกลับมา” ซือหม่าจุ่นส่งเสียงอีกครั้ง
“คนอย่างเจ้าสำนักสี่สมุทร เกรงว่าประนีประนอมไม่ได้ง่ายๆ พวกเราสมควรใช้วิธีอะไรนำกระบี่เทวะกับศิษย์หลานกลับมาดี” เจ้าขุนเขาคนหนึ่งถามเบาๆ
“ให้ขุนเขาสามสุดยอดจัดการเถอะ” จอมมรรคาวิถีธรรมะกล่าว “ว่ากันว่าเจ้าสำนักสี่สมุทรมีวิชามรรคาน่าตกตะลึง ทารกจิตใช้น้ำเป็นหลัก ขุนเขาสามสุดยอดใช้อัคคีใต้ดิน อัคคีโอสถ และอัคคีสัจจะ เป็นทั้งธาตุดินและธาตุไฟ ต้องมีผลสะกดต่อมันแน่”
จ้าวอู่เจ้าขุนเขาสามสุดยอดค่อยเดินออกมาโค้งตัวคำนับจอมมรรคา เขาคือบุรุษวัยกลางคนสีหน้าตายด้าน ร่างสูงใหญ่กำยำ อกผายไหล่ผึ่ง สองแขนเลยเข่า แต่งตัวไม่ต่างจากชาวนาที่ทำงานในไร่นาทั่วไป
“รับคำบัญชา”
“นอกจากนี้ ทางทะเลทรายมีข่าวหรือไม่” จอมมรรคาถามอีกรอบ
“ยังไม่มี…”
“ชายแดนทักษิณส่งข่าวกลับมาแล้ว ผู้ครองเขาทุกคนจับมือเป็นพันธมิตรกัน ศิษย์น้องหลี่ลงมือเข้าแทรกแซงในที่ลับแล้ว คาดว่าจะต้องเปลี่ยนร้ายให้เป็นดีได้แน่”
ทุกคนส่งเสียงตอบรับ
จอมมรรคาวิถีธรรมะผุดสีหน้าจนปัญญา
“อย่างนั้นก็ดี คนผู้นั้นมีความสามารถน่าทึ่ง หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี จะว่าไป การเฉลิมฉลองที่วิถีธรรมะมีอายุครบพันปีใกล้จะมาถึงแล้วนี่”
“ตอนนี้มีแต่เรื่องน่ากังวล แถมเรื่องของมารโบราณอวิ๋นเหย่ก็ยังไม่ได้จัดการ เรื่องเฉลิมฉลองเอาไว้ก่อนเถอะขอรับ” เจ้าหน้าที่พิธีการเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อม
“ตอนนี้มีแต่เรื่องไม่เป็นใจจริงๆ ฟ้าดินทดสอบแล้ว ต้องแก้ปมไปทีละอย่าง บางทีนี่อาจเป็นเงื่อนไขจำเป็นก่อนโชคชะตาพันปีจะมาถึงก็ได้” จอมมรรคาถอนใจยาว
“จอมมรรคากล่าวมีเหตุผล” เหล่าเจ้าขุนเขาค้อมตัวน้อยๆ และขานรับพร้อมกัน
…
ด้านในเทือกเขาสีเขียวมรกตที่ทอดยาว
ลู่เซิ่งกับหลิ่วเอ๋อร์เดินอยู่กลางป่าที่รกชัฏ ร่างลอยพลิ้วไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงเหมือนกับไร้แรงโน้มถ่วง
ลู่เซิ่งเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมสีน้ำเงิน บนร่างเพียงพกพากระบี่ธารปฐพีอันเป็นหนึ่งในสามกระบี่เทวะเท่านั้น ครั้งนี้เขามาแก้กรรม ส่วนจะทำถึงขั้นไหน ขึ้นอยู่กับว่ามู่อวิ๋นเคียดแค้นวิถีธรรมะถึงระดับไหนแล้ว
ตอนนี้แม้ใบหน้าเขาจะยังสงบนิ่ง ทว่าสภาวะที่ปล่อยออกมาจากสองตาอย่างเลือนรางกลับทำให้หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างสั่นกลัว
นางทราบแล้วว่าการเดินทางไปยังวิถีธรรมะในครั้งนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไม่ใช่การไปอย่างเป็นมิตร
ระหว่างทาง หลิ่วเอ๋อร์บอกเล่าให้ลู่เซิ่งฟังว่าจุดสำคัญของวิถีธรรมะอยู่ตรงไหน แม้ว่าเนื้อหาเหล่านี้ลู่เซิ่งจะได้ทราบจากปากตู้กวงชื่อมาไม่น้อยแล้ว แต่มาฟังอีกครั้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“เราทราบจากการตรวจสอบสถานการณ์ว่า ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในวิถีธรรมะ อันดับแรกคือจอมมรรคา จอมมรรคาวิถีธรรมะ ส่วนอันดับที่สองมีสองคน ได้แก่ซือหม่าจุ่นกับหลิวซือเฉิง พวกเขาสองคน คนหนึ่งเป็นเจ้าขุนเขาที่เจ็ด อีกคนเป็นเจ้าขุนเขาที่สอง มีพลังแข็งแกร่งน่าตกตะลึง ว่ากันว่าเป็นผู้บำเพ็ญสูงส่งระดับทารกจิตช่วงปลายเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว”
……………………………………….