ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 494 ใต้หล้า (2)
บทที่ 494 ใต้หล้า (2)
“หมายความว่า เมื่อรวมจอมรรคาด้วยแล้ว วิถีธรรมะมีผู้บำเพ็ญสูงส่งทั้งหมดสามคนใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งถามกลับ
“…เปลือกนอกเป็นเช่นนี้ คนธรรมดาเพียงรู้ว่าเจ็ดเจ้าขุนเขาล้วนเป็นทารกจิต แต่มีแต่ผู้บำเพ็ญขอบเขตเดียวกันอย่างพวกเราเท่านั้น ที่ทราบเส้นสนกลในอันน้อยนิดของวิธีธรรมะ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ วิถีธรรมะมีการติดต่อกับโลกเบื้องบน” หลิ่วเอ๋อร์กล่าวต่อ
“โลกเบื้องบน?” ลู่เซิ่งลดความเร็วลง ดวงตาฉายแววสงสัย
“ถูกต้อง โลกเบื้องบนก็คือแดนเซียนที่พวกเราเรียกขานกัน แต่การติดต่อชนิดนี้มีน้อยมาก หลายพันปีมานี้เขตแดนที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับแดนเซียนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ผู้บำเพ็ญสูงส่งหากคิดจะทำลายเขตแดน ก็มีความลำบากนับหมื่นพัน ต้องยืมกำลังจากภายนอก หรือไม่ก็ร่วมมือผนึกกำลังกัน” หลิ่วเอ๋อร์อธิบายอย่างจริงจัง “ตอนนี้ผู้ที่ติดต่อกับโลกเบื้องบนได้เหลืออยู่แค่สองสำนักเท่านั้น ได้แก่วิถีธรรมะ และฝ่ายมาร…”
“น่าสนใจ” ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่ารอบนี้เป็นการบดขยี้โดยไม่มีอะไรต้องกังวลเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะยังเจอสิ่งของที่น่าสนใจมากๆ ขนาดนี้
เขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
หลังกลายเป็นผู้บำเพ็ญสูงส่งระดับทารกจิตช่วงปลาย พลังอาคมของเขาก็มีเกือบหมื่นเท่าของผู้บำเพ็ญสูงส่งทั่วไป!
นี่หมายความว่าอย่างไร
โลกทั้งใบมีผู้บำเพ็ญสูงส่งไม่ถึงหมื่นคน อย่าว่าแต่มากกว่าหมื่นคน มากกว่าพันคน ร้อยคน ก็ยังเป็นไปไม่ได้ ผู้บำเพ็ญสูงส่งไม่ใช่ผักกาดขาว นี่เทียบได้กับสุดยอดผู้แข็งแกร่งในระดับอริยะเจ้าของขอบเขตเทวปัญญา
วิถีธรรมะถือเป็นสำนักระดับสูงสุด แต่มีผู้บำเพ็ญสูงส่งแค่สองสามคนเท่านั้น ส่วนสำนักอื่นๆ ขอแค่มีผู้บำเพ็ญสูงส่งสักคน ก็จะได้รับการขนานนามเป็นขุมกำลังผู้ปกครองแห่งจงหยวนได้อย่างสมความภาคภูมิ ทั้งยังยึดครองทรัพยากรของดินแดนสักแห่งได้เพียงผู้เดียว
“ปัจจุบันผู้ที่เทียบเคียงได้กับเจ้าสำนักในใต้หล้านี้ หนึ่งคือจอมมรรคาวิถีธรรมะ สองคือเจ้าตำหนักผู้ลึกลับแห่งตำหนักราชาปฐพีของฝ่ายมาร ทั้งสองคนนี้เป็นตัวตนระดับสูงสุดอย่างสมความภาคภูมิ ในศึกใหญ่ของฝ่ายธรรมะและฝ่ายมารเมื่อก่อนหน้านี้ มารโบราณได้จุติลงมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ถูกจอมมรรคาวิถีธรรมะปิดประตูหมื่นมารเสียก่อน ทำให้เจ้าตำหนักราชาปฐพีขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะทำสำเร็จ” หลิ่วเอ๋อร์อธิบาย
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งยิ้ม ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาเป็นราชาแห่งสี่สมุทรในปัจจุบัน สามารถใช้พลังอาคมท่วมกลบทำลายดิน ไร้คู่ต่อกร เหนือฟ้าดินจะมีคนที่เทียบเคียงกับเขาได้หรือไม่ ยังไม่อาจทราบได้
เขาเชื่อว่าต่อให้เป็นยอดคนระดับปฐมจิตที่อยู่เหนือตนขั้นหนึ่ง ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่าตน
“ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อมอบคำว่ากล่าวให้แก่วิถีธรรมะ ในตอนที่วางแผนการใหญ่ วิถีธรรมะบีบบังคับให้ข้าหนีออกไปโพ้นทะเล ดังนั้นที่มาในครั้งนี้ ข้าต้องการการชดเชยและคำว่ากล่าวจากพวกเขา” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเรียบเฉย
หลิ่วเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อยเพราะไม่แน่ใจว่าลู่เซิ่งคิดจะทำถึงขั้นไหน “เพียงแต่ว่าท่านเจ้าสำนัก อาศัยแค่พวกเราสองคนมายังเขาประกายทองอันเป็นสาขาหลักของวิถีธรรมะ ใช่ขาดความเหมาะสมไปหน่อยหรือไม่”
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งยิ้ม “เจ้าเล่าต่อเถอะ”
หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้า ไม่ได้สงสัยอะไร ในใจนาง ลู่เซิ่งเป็นคนที่ทำเรื่องใดล้วนมีแผนการเป็นมั่นเหมาะอยู่แล้ว
“ถ้าหาก…” นางเว้นเล็กน้อย “ถ้าหากคิดจะตั้งเขาประกายทองเป็นเป้าหมายในการลงมือจริงๆ พวกเราต้องทำลายค่ายกลพายุทองคำของเขาประกายทองเสียก่อน นี่เป็นค่ายกลคุ้มครองที่คล้ายกับค่ายกลเขาวงกต แต่ความจริงค่ายกลนี้อยู่นอกเหนือขีดจำกัดของมนุษย์โลกไปแล้ว ว่ากันว่าเป็นค่ายกลระดับสุดยอดที่เซียนบนโลกเบื้องบนประทานให้ ถึงขั้นใช้มีเคล็ดวิชามิติเวลาที่ลี้ลับด้วย”
“หลังจากทำลายค่ายกลเสร็จ พวกเราต้องเผชิญกับสิบสองอาคมวารีทอง นี่เป็นความสามารถพิเศษที่เจ็ดเจ้าขุนเขาของวิถีธรรมะลงมือใช้พร้อมกัน ครอบคลุมสรรพสิ่ง ข้าเคยโชคดีได้เห็นตอนมีคนบุกเขาครั้งหนึ่ง…” หลิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้าน้อยๆ จนถึงตอนนี้ยังหวาดกลัวไม่คลาย
“หมายความว่า ขนาดข้ามีพลังถึงขั้นนี้ เจ้าก็ยังสงสัยว่าข้าจะผ่านสิบสองอาคมนี้ได้หรือไม่ได้กระมัง” ลู่เซิ่งถามพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย
“เป็นเช่นที่ว่าจริงๆ เจ้าสำนักย่อมมีพลังแข็งแกร่ง เพียงแต่ว่าสิบสองอาคมก็แข็งแกร่งเช่นกัน ท่านกับสิบสองอาคมเป็นขอบเขตที่ข้าไม่อาจสัมผัสถึง ดังนั้น…หลิ่วเอ๋อร์จึงตัดสินผลแพ้ชนะให้ไม่ได้…” หลิ่วเอ๋อร์ตอบอย่างซื่อสัตย์
“ไม่เป็นไร ต่อจากนั้นเล่า” ลู่เซิ่งยิ้ม
“ต่อมาคือเจ็ดขุนเขา แต่ละขุนเขาแยกตัวเป็นเอกเทศ เนื่องจากค่ายกล หากจะไปให้ถึงตำนักฉายานามที่อยู่บนจุดสูงสุด จะต้องทำลายฐานหินของแต่ละขุนเขาจนไปถึงฐานสุดท้าย ต่อจากนั้นหลิ่วเอ๋อร์ไม่แน่ใจแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง
“ไม่เป็นไร ต่อจากนั้นข้าลองดูเองก็รู้แล้ว” ลู่เซิ่งหยุดลงอย่างกะทันหัน ก่อนจะเงยหน้ามองไปด้านหน้า
ป่าด้านหน้าลาดเอียงขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับเดียวกับการปีนเขา ในป่าไม่ทราบว่ามีหมอกขาวกระจายออกมาตอนไหน
หมอกพลิกม้วน คล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
“ไม่ทราบว่าจอมสัจจะกลืนสมุทรจะให้เกียรติมาเยือน ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับแต่แรก” นักพรตร่างพร่ามัวที่เกิดจากหมอกขาวค่อยๆ เดินออกมาจากในหมอก แล้วโค้งคำนับพวกลู่เซิ่งแต่ไกล
“ข้าน้อยหลู่ซัน ประมุขโถงประกายกระบี่ ขุนเขาที่หนึ่งแห่งวิถีธรรมะ”
ลู่เซิ่งพิจารณาหมอกขาวหนาแน่นอย่างละเอียด “นี่คงจะเป็นค่ายกลพายุทองคำที่ทำงานแล้วกระมัง”
“ในเมื่อเจ้าสำนักรู้อยู่แล้ว เหตุใดยังต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีก นับตั้งแต่ค่ายกลพายุทองคำทำงาน ก็ไม่เคยถูกทะลวงมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ต่อให้ท่านเลื่อนเป็นทารกจิต สำเร็จเป็นจอมสัจจะ ก็ไม่อาจอ้อมผ่านค่ายกลนี้ไปได้” นักพรตหลู่ซันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งไม่เหลือบแลคนผู้นี้ หากสัมผัสการไหลเวียนของปราณวิญญาณในค่ายกลอย่างตั้งใจ จิตวิญญาณระดับอริยะเจ้ามีคุณสมบัติหลอกลวงของมารสวรรค์ชนิดพิเศษ คุณสมบัติหลอกลวงนี้ได้รับการเรียกขานจากเหล่ามารสวรรค์ว่าเป็นความสามารถบิดเบือนความเป็นจริง นี่เป็นความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวที่หลอกลวงธรรมชาติฟ้าดินได้ ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่ค่ายกลง่ายๆ นี้ขัดขวางได้
เพียงแค่ชั่วครู่เดียว จิตวิญญาณของลู่เซิ่งก็ค้นเจอจุดสำคัญของค่ายกลพายุทองคำแล้ว
“ที่ข้ามาในครั้งนี้ ก็เพื่อทวงถามคำว่ากล่าวจากเรื่องที่เมื่อหลายสิบปีก่อนเคยถูกยอดฝีมือของพวกท่านบีบให้ออกไปยังโพ้นทะเล ขอให้คนที่มีอำนาจมากพอของสำนักท่านออกมาพบหน้าด้วย” เขาไม่ได้รีบร้อน เพียงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตร
“ไม่จำเป็นแล้ว เหล่าเจ้าขุนเขาผู้อาวุโสของสำนักข้ากำลังกักตนฝึกฝนอยู่ ถ้าหากไม่มีเรื่องใด ขอให้ถอยไปเองจะดีกว่า เพื่อจะได้ไม่รานน้ำใจกันในภายหลัง” นักพรตหมอกขาวกล่าวด้วยวาจาที่แฝงการคุกคาม
“โอหัง!” หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างลงมืออย่างกะทันหัน พอยกมือขึ้นก็มีแสงสีแดงพุ่งออกมา แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ แสงเพิ่งพุ่งออกไปสิบหมี่ ก็หายไปกลางอากาศอย่างฉับพลัน
หลิ่วเอ๋อร์หน้าซีดขาว พลันรู้สึกว่าแสงสีแดงที่ตนปล่อยออกไปหลุดจากการควบคุมของตัวเอง เหมือนกับถูกมีดเฉือนเนื้อออกจากร่าง
“จอมสัจจะทารกจิตหรือหรือ ท่านเป็นผู้อาวุโสหลิ่วผู้ครองเขาฉีซันกระมัง ว่ากันว่าเขาฉีซันจับมือเป็นพันธมิตรกับสำนักสี่สมุทรแห่งโพ้นทะเล ดูเหมือนตอนนี้จะเป็นจริงสินะ” นักพรตหมอกขาวเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“แต่ว่าผู้อาวุโสหลิ่วอย่าเปลืองลมปราณจะดีกว่า ค่ายกลพายุทองคำนี้มีอาณาเขตกว้างขวาง ปกคลุมสำนักทั้งสำนัก ในนี้ฝังค่ายกลขนาดต่างๆ ยี่สิบเอ็ดชุดแบบลูกโซ่ ด้านในยังมีค่ายกลอีกหลายชุดที่ไม่มีใครทะลวงได้อย่างแน่นอน อย่าว่าแต่มีผู้อาวุโสสองท่านมาเลย ต่อให้มีจอมเทวะอีกหลายคนมาด้วย ก็ไม่สามารถเจาะค่ายกลคุ้มกันสำนักนี้ได้”
“กล่าววาจาเขื่องโขนัก” หลิ่วเอ๋อร์ตั้งใจจะแสดงออก จึงโบกมือโปรยจุดเล็กๆ สีเหลืองอ่อนออกมากำหนึ่ง เป็นเมล็ดขนาดเล็กที่ไม่รู้จักชื่อกำหนึ่ง
เมล็ดกำนี้ลอยออกไป พริบตาเดียวก็กระจายไปเต็มภายในหมอกควัน คล้ายเป็นสิ่งที่มีสติปัญญา
ฟ้าว!
เมล็ดสีเหลืองอ่อนเติบโตขึ้นอย่างฉับพลัน ซ้อนกันและแยกออกจากกันกลางอากาศ มีกิ่งใบสีเขียวมรกตงอกออกมา จากนั้นก็ออกผล แห้งเหี่ยว และร่วงโรย…
เพียงครู่เดียวสั้นๆ เมล็ดทั้งหมดก็เหมือนกับผ่านช่วงชีวิตของพืชพรรณ เพียงแต่ในกระบวนการนี้ หมอกควันรอบๆ ถูกเมล็ดดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับถูกฮุบกลืน
ชั่วขณะนั้นหมอกควันทั้งหมดในรัศมีหลายหมื่นหมี่ถูกเมล็ดดูดซับและผลาญพลังด้วยความเร็วสูง ค่ายกลรอบๆ ที่ใช้หมอกควันเป็นที่พึ่ง เวลานี้ถูกเจาะเป็นช่องช่องหนึ่ง
“หรือผู้ครองเขาจะไม่ทราบว่าสิ่งที่เขาประกายทองของเราพบเจอมากที่สุดก็คือวิชาทำลายหมอกควัน” นักพรตหมอกควันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้เมล็ดดูดซับตัวเอง แต่เสียงกลับดังมาจากกลางอากาศเป็นชั้นๆ
หลิ่วเอ๋อร์สีหน้าบูดบึ้ง เดิมทีนึกว่าแม้ตนจะทะลวงค่ายกลไม่ได้ แต่ค่ายกลเล็กๆ ที่ฝังแทรกอยู่นี้ คงจะทำลายได้สักหนึ่งถึงสองชุดกลับนึกไม่ถึงว่าแม้แต่ค่ายกลเล็กอันดับแรกยังทะลวงไม่ได้ ครั้งนี้เสียหน้าต่อหน้าเจ้าสำนักแล้ว
“เจ้า…” ในม่านตาสีดำอันล้ำลึกของนางฉายจิตสังหาร มือที่ขาวเหมือนหยกกดจี้ผลึกแก้วสีดำตรงทรวงอกเบาๆ เพื่อจะกระชากลงมา
…
“พวกท่านเห็นเป็นอย่างไร” ด้านในตำหนักฉายานาม จอมมรรคาวิถีธรรมะกับเจ้าขุนเขาที่รั้งอยู่เพื่อปรึกษากันพบพวกลู่เซิ่งที่บุกรุกเข้ามาแล้ว
“เจ้าสำนักสี่สมุทรมีพลังไม่เลว แม้จะเพิ่งเลื่อนเป็นทารกจิต แต่คงจะฝึกวิชาลับซ่อนกลิ่นอาย ส่วนผู้ครองเขาฉีซัน…” ซือหม่าจุ่นส่ายหน้าน้อยๆ ยิ้มแย้มแต่ไม่พูดอะไร
คนอื่นๆ ล้วนรู้ความหมายของเขา มหาปีศาจที่รู้จักแต่อาศัยสัญชาตญาณกินข้าวอย่างผู้ครองเขาฉีซันไม่นับว่าเป็นพวกเดียวกันในสายตาของพวกเขา แถมพวกเขายังรังเกียจด้วยซ้ำที่ได้รับการเรียกขานว่าจอมสัจจะร่วมกับนาง
“น่าเสียดายที่ไม่ได้คำนวณชะตาของคนผู้นี้ตอนวางแผนการ แต่ก็แค่ทารกจิตช่วงต้น เป็นจอมสัจจะธรรมดาเท่านั้น ไม่อาจสร้างปัญหาอะไรได้” จอมมรรคากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ไม่ต้องไปสนใจแล้ว ขุนเขาที่หนึ่งคงทำให้พวกเขาถอยไปได้เอง พวกเรามาคุยเรื่องเมื่อครู่ต่อเถอะ”
…
เลือดหยดออกจากข้อมือของหลิ่วเอ๋อร์อย่างช้าๆ
ฟันสีดำซี่หนึ่งแทงทะลุข้อมือนาง นั่นเป็นพันตะปูพิษชำระแสงที่นางสร้างขึ้นด้วยพลังทั้งหมดเมื่อครู่ เป็นหนึ่งในไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของนาง แต่นึกไม่ถึงว่าไพ่ตายจะย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง
นางจึงได้รับบาดเจ็บเพราะป้องกันไม่ทัน
“ไม่มีประโยชน์” นักพรตหมอกควันผู้นั้นกล่าวยิ้มเยาะ “ข้าเตือนพวกท่านแล้วว่าให้กลับไปดีๆ หากไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกล คนอื่นๆ ก็ยังหาทางเข้าของค่ายกลพายุทองคำไม่เจอด้วยซ้ำ ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง”
หลิ่วเอ๋อร์หันกลับไปมองลู่เซิ่ง
ชายหนุ่มมีสีหน้าสงบนิ่ง
“อย่ามองข้า ข้าไม่เข้าใจค่ายกล”
เขาก้าวไปก้าวหนึ่ง
“แต่ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจค่ายกล ก็ยังมีพลังมากพออยู่ดี”
หลิ่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงกล่าววาจานี้ ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับว่าจะมีพลังมากพอหรือไม่ แม้แต่ทางเข้ากับเป้าหมายก็ยังหาไม่เจอ แบบนี้ต่อให้มีพลังก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ลู่เซิ่งเหมือนจะมองความคิดนางออก จึงหัวเราะ
“หลิ่วเอ๋อร์ ถ้าหากคิดจะทำลายกล่องที่ยากจะตามหา ในภูเขานี้ เจ้าจะทำอย่างไร”
หลิ่วเอ๋อร์ใคร่ครวญเล็กน้อย “ข้าจะใช้วิชาค้นหาเพื่อตามหากล่องนั้น แล้วทำลายมันเสีย”
“ผิดแล้ว” ลู่เซิ่งยกนิ้วหนึ่งขึ้น “ผู้เข้มแข็งที่แท้จริงไม่ต้องหา…หากแต่”
“ทำลายมันไปพร้อมกับภูเขาลูกนั้นเลยต่างหาก…!”
ครืน!
วังวนเมฆดำขนาดยักษ์แผ่กระจายไปยังฟากฟ้าอย่างฉับพลัน ไอน้ำจำนวนมากพุ่งจากรอบข้างมารวมตัวกันที่นี่อย่างบ้าคลั่ง
ท้องฟ้ามืดสลัวลงในพริบตาเดียวเหมือนกับถูกผ้าสีดำสนิทบดบังไว้ เมฆดำขนาดยักษ์หมุนวนรอบๆ ตำแหน่งที่ลู่เซิ่งอยู่
“สำหรับผู้ที่แข็งแกร่งมากพอ การหากล่องต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยาม แต่การทำลายภูเขา…ความจริงเปลืองเวลาเท่ากับการทำลายกล่องเท่านั้น เพียงแค่ต้องการ…” ลู่เซิ่งกางแขนออก
“หนึ่งวินาที!”
ครืน!
ชั่วพริบตานั้นดวงตาของเขาสาดแสงสีน้ำเงินเจิดจ้า สีน้ำเงินเข้มนับไม่ถ้วนกลบกลืนท้องฟ้าในรัศมีพันลี้เหนือเขาประกายทองอย่างสมบูรณ์
“กลืนสมุทร!”
เขาตวาดขึ้น
ตูม! ชั่วพริบตานั้นน้ำทะเลทั่วท้องฟ้าพลันตกลงมา ฟาดใส่ค่ายกลของเขาประกายทองอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
น้ำทะเลนับไม่ถ้วนเทกระหน่ำเข้าไปในภูเขา
ภูเขาร้องโหยหวน พื้นดินสั่นสะเทือน…สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนร้องครวญครางท่ามกลางกระแสน้ำ
ภายใต้น้ำทะเลมากกว่าร้อยล้านตัน ค่ายกลพายุทองคำยังไม่ทันเริ่มขยายตัว ก็สลายหายไป กลายเป็นเศษแสงสีทองกระจัดกระจายพร้อมกับเสียงดังกึกก้อง
……………………………………….