ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 495 ใต้หล้า (3)
บทที่ 495 ใต้หล้า (3)
ด้านในเขาประกายทอง
สะพานโค้งกลางหมอก กระเรียนเซียนที่บินฉวัดเฉวียน กวางวิญญาณที่วิ่งตะลุย ศิษย์ที่รวมตัวถกธรรมะบนพื้นหญ้า ชายชราที่นอนดื่มสุราบนหลังคา หรือช่างร่างแกร่งที่ตีทองและเหล็กอย่างตั้งใจข้างเตาไฟ
ตัวประหลาดเฒ่าที่เร้นกายบนเขาประกายทองมานานหลายปี ศิษย์สำนักจำนวนมากที่ฝึกฝนอยู่ในสำนักชั่วคราว และสหายที่มาเป็นแขกของที่นี่
ยังมีคนในสำนักจำนวนมากของโถงแต่ละโถงบนเจ็ดขุนเขาที่กำลังจัดการเรื่องราวและดูแลอยู่ที่สาขาหลักของวิถีธรรมะ
ค่ายกลจำลองสภาพอากาศที่ตอนแรกสงบมั่นคงด้านในเขาประกายทองที่มีคนกระจัดกระจายกันอยู่หลายพันคน เกิดเสียงดังสนั่นอย่างฉับพลัน
มุมของท้องฟ้าแตกเป็นส่วนๆ ในพริบตาเดียว
ตอนแรกบนท้องฟ้าสีขาวอ่อนมีดวงอาทิตย์เจิดจ้าแขวนลอยอยู่ นี่เป็นทิวทัศน์พิเศษที่ค่ายกลจำลองออกมา ด้านในเขาประกายทองเป็นกลางวันตลอดกาล ไม่มีตอนกลางคืน
“นี่คือ!?” บนสะพานรู้สำนึกของขุนเขาที่ห้า โอวหยางปิงที่เป็นตัวแทนสำนักสนน้ำแข็งมาเยี่ยมเยือนสำนักอันดับหนึ่งอย่างวิถีธรรมะพลันเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มอ่อนโยนมีมารยาทในตอนแรกค่อยๆ จางหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือความเคร่งขรึมจริงจังที่พบเห็นได้อย่างยากเย็น
“สุดยอดจริงๆ…” โอวหยางปิงถอนใจชมเชย
ฟู่หลิงสยงที่เป็นตัวแทนสำนักสนน้ำแข็งเหมือนกันแสดงความสงสัยออกมากลางหว่างคิ้ว
“เป็นอะไรไป มีศัตรูบุกหรือ ที่นี่เป็นวิถีธรรมะไม่ผิดแน่กระมัง” ฟู่หลิงสยงถามอย่างสงสัย
“ไม่ผิดแน่ พวกเรามาถูกที่แล้ว เพียงแต่มาผิดเวลาเฉยๆ” โอวหยางปิงยิ้ม
การสนทนาระหว่างพวกเขาไม่ได้ใช้เสียงดังๆ เพียงแค่เป็นการถ่ายทอดความคิดหากันอย่างง่ายๆ เท่านั้น
ด้านหน้า ศิษย์สำนักส่วนในสองคนที่ทำหน้าที่พาพวกเขาเข้ามาเยี่ยมชม อ้าปากเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างตกตะลึงพึงเพริด
“สวรรค์…” ศิษย์สำนักส่วนในคนหนึ่งโอดครวญอย่างไม่รู้ตัว
โอวหยางปิงอมยิ้ม มองฟู่หลิงสยงแวบหนึ่ง สำนักสนน้ำแข็งที่พวกเขาสองคนเป็นตัวแทนคือสำนักฝ่ายธรรมะโดยพื้นฐาน แต่ความจริงแล้วเป็นสำนักอันดับสองของฝ่ายอธรรมที่อยู่รองจากตำหนักราชาปฐพี วังมารจันทรา
วังมารจันทราลี้ลับยากหยั่งคาด มียอดฝีมือน้อยถึงขีดสุด เทียบกับตำหนักราชาปฐพีไม่ได้ แต่การที่สามารถอยู่รอดใต้แรงกดดันอันน่ากลัวของวิถีธรรมที่เหมือนอาทิตย์กลางหาวได้ ย่อมมีเส้นทางการดำรงชีวิตของพวกเขาเอง
เดิมทีที่ทั้งสองเปลี่ยนสถานะเข้าร่วมกับวิถีธรรมะในครั้งนี้ ก็เพื่อแสวงหาการแลกเปลี่ยนกับขุมกำลังในเงามืดส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีความคิดหยั่งเชิงขุมกำลังของวิถีธรรมะด้วย ปัจจุบันทุกที่วุ่นวาย วิถีธรรมะจึงเพิ่มแรงกดดันมากขึ้น ขณะที่ฟ้าฝนกำลังกระหน่ำ ทั้งสองได้ปลอมแปลงสถานะลอบเข้ามาในวิถีธรรมะโดยมีเป้าหมายที่ไม่มีผู้ใดทราบ
“ร้ายกาจ…ข้าสัมผัสได้ว่าด้านนอกค่ายกลมีผู้ยิ่งใหญ่สะท้านโลกลงมือเขย่าเขาประกายทองกแล้ว” โอวหยางปิ่งส่ายหน้าทอดถอนใจ ดวงตาฉายแววคิดคำนวณที่ซับซ้อน
“ข้าเองก็สัมผัสได้เหมือนกัน…ตาข่ายดินของที่นี่…กำลังร่ำไห้อยู่…” ตอนนี้ฟู่หลิงสยงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เป็นอวิ๋นเหย่หรือ”
“ไม่…แม้ท่านผู้นั้นจะแข็งแกร่ง แต่ปัจจุบันยังมาไม่ถึงขั้นนี้” โอวหยางปิงส่ายหน้าอย่างเรียบเฉย “พวกเราจำเป็นต้องล่าถอยเลยหรือไม่” ฟู่หลิงสยงถามอีก
“ไม่ต้องรีบ…เขาประกายทองไม่ถล่มลงง่ายๆ หรอก การต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น” โอวหยางปิงส่ายหน้าอีกรอบ พร้อมกับเงยหน้ามองน้ำทะเลสีน้ำเงินอันน่ากลัวที่บังฟ้าคลุมดวงตะวันด้านนอกช่องค่ายกลกลางอากาศผืนนั้น
ต่อให้ตัวเขาจะเป็นมหาปีศาจสายควบคุมน้ำเหมือนกัน แต่สิ่งที่สัมผัสได้จากน้ำทะเลในตอนนี้นั้นก็มีเพียงความล้ำลึก ความอึดอัด และความสิ้นหวังเท่านั้น
“ตัวตนเช่นนี้…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…บนแผ่นดินยังมีคนเอาชนะเขาได้อีกหรือ” โอวหยางปิงนึกย้อนถึงประสบการณ์นับพันปี หมายจะค้นหาภาพที่เทียบเคียงได้กับปรากฏการณ์อลังการน่ากลัวตรงหน้า
แต่ก็ไม่มีอะไรมาสู้ภาพตรงหน้านี้ได้
ก่อนหน้านี้เคยเกิดภาพน่ากลัวชนิดทำลายฟ้าดินมาก่อนเช่นกัน แต่นี่ต้องดูที่เป้าหมายด้วย
การทำลายฟ้าดินเหล่านั้น สิ่งที่ทำลายเป็นแค่ฟ้าดินธรรมดา แต่สิ่งที่น้ำทะเลทั่วฟ้าเล็งอยู่ในขณะนี้คือวิถีธรรมะ สำนักฝ่ายธรรมะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา และเป็นสำนักอันดับหนึ่งฝ่ายธรรมะด้วย
นี่ไม่ใช่พวกกุ้งฝอยปลาน้อย วิถีธรรมะในปัจจุบันสะกดฝ่ายมาร ฝ่ายนอกรีต และตัวตนที่ได้รับการขนานนามว่าผู้ยิ่งใหญ่ด้วยพลังของตัวเองเท่านั้น
เหนือกว่าเจ็ดขุนเขาก็มีผู้บำเพ็ญสูงส่งอย่างน้อยสองคนแล้ว ในที่ลับยังไม่ทราบว่ามีตัวประหลาดที่มีพลังฝึกปรือน่ากลัวซ่อนอยู่อีกมากเท่าไหร่
‘ครั้งนี้น่าสนใจจริงๆ…’ โอวหยางปิงไม่คิดว่าผู้ยิ่งใหญ่ตรงหน้าจะทำลายวิถีธรรมะได้ กลิ่นอายที่ปรากฏในพลังอาคมของอีกฝ่ายไม่ได้มีความเกรี้ยวกราดมากเกินไป หากแต่ส่วนใหญ่เป็นความเกรี้ยวกราดที่สงบนิ่งมากกว่า
ความรู้สึกนี้ไม่ได้สุดโต่ง ถ้าหากรับมืออย่างถูกต้อง ยังสามารถแก้ไขได้
ขึ้นอยู่กับว่าระดับสูงของวิถีธรรมะจะรับมืออย่างไรแล้ว
โอวหยางปิงมองไปยังเจ็ดขุนเขาที่อยู่สูงที่สุดของเขาประกายทองด้วยความกระตือรือร้น
เต๊งๆๆๆ!
เวลานี้เองเกิดเสียงระฆังโบราณทุ้มหนักดังขึ้นหลายครั้ง ศิษย์และคนในสำนักจำนวนมากในเจ็ดขุนเขาและภายในกลุ่มตำหนักของสาขาใหญ่แต่ละแห่งตรงตีนเขา เข้าประจำตำแหน่งบนค่ายกลแต่ละชุดในสิบสองอาคมวารีทองคำ
พลังอาคมจำนวนมากที่มาจากศิษย์แต่และคนในสำนักทะลักเข้าค่ายกล
ในที่สุดช่องว่างกลางอากาศที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นก็ได้รับการสะกด จึงค่อยๆ หยุดนิ่งลง
แต่ก็ทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น แม้สิบสองอาคมวารีทองคำจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากไม่มีค่ายกลพายุทองคำป้องกันอานุภาพชั่วพริบตาที่กระแสน้ำถล่มลงมาในตอนแรกสุด ตอนนี้ก็มีแต่จะพังทลายแตกสลายเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นกระแสน้ำหรือว่าคลื่นยักษ์ ความจริงสิ่งที่มีอานุภาพมากที่สุดคือสิ่งที่พุ่งปะทะเข้าใส่ในตอนแรก ต่อจากนั้นแม้จะมีอานุภาพสะท้านสะเทือน แต่ก็สู้การโจมตีครั้งแรกสุดไม่ได้แล้ว
การโจมตีของลู่เซิ่งได้ทำลายค่ายกลพายุทองคำ ค่ายกลคุ้มกันสำนักระดับสูงสุดของเขาประกายทองที่ได้รับการถ่ายทอดจากโลกเบื้องบนไปแล้ว
“เร็วเข้าๆๆ!” ผู้อาวุโสจัดการเรื่องราวฝ่ายต่อสู้ที่ตีนเขาตะโกนเร่งเหล่าศิษย์และคนในสำนักหัวกะทิที่ออกจากการกักตนฝึกฝนในวิมานถ้ำ
“กลุ่มที่สิบสามไปที่ตำแหน่งกิ่งฟ้าที่สาม”
“ตำแหน่งของกลุ่มที่เก้าเสียหาย หลั่นอวี่เจ้าพาคนยี่สิบคนไปสนับสนุนทันที!”
“คนของโถงคุมวารีอยู่ไหม โถงคุมวารี!”
หัวหน้าผู้ดูแลเรื่องราวสั่งการอย่างรีบเร่งด้วยเหงื่อที่แตกเต็มศีรษะ ศิษย์และคนในสำนักจำนวนมากแบ่งกันเข้าไปในค่ายกลสิบสองอาคมวารีทองคำ เพื่อผนึกกำลังกันต้านทานกระแสน้ำสูงเทียมฟ้าที่น่ากลัวจากโลกภายนอก ภายใต้การจัดการของเขาและเหล่าผู้จัดการเรื่องราวใต้บังคับบัญชา
ศิษย์ทั้งหมดต่างกำลังวิ่ง โผบิน และก้าวกระโดด
เขาประกายทองไม่เคยเจอช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้มานานมากๆ แล้ว
เหล่าผู้อาวุโสฝ่ายป้องกันที่เดิมรับหน้าที่คุ้มครองภูเขาและโคจรค่ายกล ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสิบคนในพริบตาที่น้ำทะเลถล่มลงมาทำลายค่ายกลพายุทองคำ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับสร้างโอสถ
ตอนนี้ถ้าหากว่าสิบสองอาคมวารีทองคำถูกทะลวงอีก อย่างนั้นเขาประกายทองจะต้องเผชิญกับสถานการณ์น่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลาพันปีมานี้
เจ็ดขุนเขาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศในโลกด้านนอก
นี่หมายความว่าวิถีธรรมะไม่มีวิธีรับมือแล้ว เจ็ดขุนเขาเป็นวิธีสู้สุดท้าย
“นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอฉากที่กระตุ้นอารมณ์แบบนี้ตอนยังมีชีวิตอยู่…โชคดีจริงๆ…”
หัวหน้าผู้จัดการเรื่องราวเงยหน้ามองช่องว่างของค่ายกลกลางอากาศ สุดท้ายเขาก็ยังกังวลอยู่ดี
“ช่างเป็น…ฉากที่ยิ่งใหญ่จริงๆ…!” ไม่ทราบว่าทางตำหนักฉายานามจะจัดการอย่างไร…
หัวหน้าผู้จัดการเรื่องราวครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ
…
บนเจ็ดขุนเขา ด้านในตำหนักฉายานามที่ล่องลอยเลือนราง
เวลานี้พวกจอมมรรคาวิถีธรรมะที่ตอนแรกกำลังถกเถียงกันอยู่ ละวางหัวข้อก่อนหน้าแล้ว และกำลังมองไปยังช่องว่างกลางอากาศที่ปรากฏขึ้นนอกหน้าต่างตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าเหยเก
ช่องว่างสีฟ้าขนาดยักษ์แนบติดอยู่เหนือท้องฟ้าสีขาวในตอนแรกเหมือนกับขนมวุ้น
“ช่างเป็น…ของขวัญพบหน้าที่อลังการจริงๆ…เจ้าสำนักสี่สมุทร…” รอยยิ้มบนใบหน้าจอมมรรคาวิถีธรรมะหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
ซือหม่าจุ่นดวงตาฉายแววเป็นกังวล “เจ้าสำนักสี่สมุทรผู้นี้ ไม่มีทางสำเร็จอานุภาพยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ในเวลาแค่ไม่กี่สิบปีแน่ มัน…ไม่ใช่นักพรตมู่อวิ๋น!”
“จะใช่หรือไม่ใช่ ตอนนี้เกี่ยวอะไรด้วยเล่า” จอมมรรคาวิถีธรรมะส่ายหน้าน้อยๆ “การกระทำของเขาเป็นการแสดงบารมี ก่อนหน้านี้พวกเราประเมินผิดไปเพราะดูถูกเขา…คนผู้นี้…ความสูงส่งของพลังฝึกปรือและความแข็งแกร่งของพลังอาคม ทำให้คนที่ได้ยินตกตะลึงได้จริงๆ”
หลิวซือเฉิงเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“สิบสองอาคมวารีทองคำต้านคนผู้นี้ไม่ได้หรอก ให้ข้าไปจัดการเองดีกว่า”
“ไม่ต้อง” จอมมรรคาวิถีธรรมะส่ายหน้าเล็กน้อย “ราชาสี่สมุทรใช้วิถีธรรมะของพวกเราสร้างบารมี เพียงแต่ เขาประกายทองของเราไม่ได้ทำลายกันง่ายๆ ขนาดนั้น” เขาไม่มีความกังวลแม้แต่นิดเดียว
ตอนนี้ประมุขเจ็ดขุนเขาที่เหลือรวมตัวกันในตำหนักอีกครั้ง เพิ่งจะแยกย้ายกันไม่นาน แต่ตอนนี้ต่างคนต่างพากันกลับมายังที่นี่อีกหนหนึ่งเพราะเรื่องของลู่เซิ่ง
ประมุขเจ็ดขุนเขา นอกจากคนใหม่สองคนที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งแล้ว จอมสัจจะที่เหลือล้วนเคยเห็นฉากอลังการมาแล้วทั้งสิ้น จึงไม่ตกใจกับปรากฏการณ์ประหลาดเหนือท้องฟ้าด้านนอก
“ในเมื่อเจ้าสำนักสี่สมุทรคิดใช้วิถีธรรมะของพวกเราสร้างบารมี อย่างนั้นก็ให้เป็นไปตามประสงค์ของเขาเถอะ พวกเรายังใช้บ่อควบคุมวิญญาณได้อยู่ดี เขาคิดใช้น้ำกลบฝังเขาประกายทอง ต้องดูว่ามีพลังอาคมพอหรือไม่” เจ้าขุนเขาคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา เขากำลังกักตัวหลอมของวิเศษ แต่ก็เกือบจะพลาดไปทั้งๆ ที่ยังเหลือเพียงก้าวเดียวเพราะการสั่นสะเทือนจากคลื่นพลังอาคมอันน่ากลัว จึงออกจากการกักตนมาด้วยความเดือดดาล เวลานี้วาจาเลยไม่เกรงใจเท่าไหร่
“คนผู้นี้มีพลังฝึกปรือสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทุกท่าน มีใครยินยอมไปพบหรือไม่” จอมมรรคาวิถีธรรมะมองร่างเจ้าขุนเขาทุกคน
“แม้คนผู้นี้จะมีพลังอาคมแข็งแกร่ง แต่ว่าแก่นสารของปราณทารกธรรมดามาก หากพวกเราใช้ปราณทารกบริสุทธิ์ปะทะซึ่งหน้า จะสามารถเอาชนะได้ง่ายๆ คงเพราะฝ่ายนอกรีตขาดแคลนวิชาสกัดปราณทารก ดังนั้นแม้คนผู้นี้จะแข็งแกร่ง แต่ถ้าสู้ด้วยจริงๆ ก็ไม่ถือว่าน่ากลัวเท่าไหร่” หลิวซือเฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“คนผู้นี้โอหังอวดดี กล้าปิดล้อมเขาประกายทองของพวกเราด้วยตัวคนเดียว น้ำกระจายไปพันลี้อย่างนี้ ไม่ทราบว่าทำลายชีวิตไปมากเท่าไหร่” เจ้าขุนเขาอีกคนกล่าวพลางขมวดคิ้ว “การเอาชนะคนผู้นี้ไม่ยาก แต่เพื่อไม่ให้บารมีของวิถีธรรมะได้รับความเสียหาย ข้าแนะนำให้จับเป็นคนผู้นี้ แล้วสะกดไว้ในคุกทำลายดาราเพื่อเตือนพวกมารร้ายในโลกภายนอก”
“ถ้าจะจับเป็น…” หลิวซือเฉิงไม่มั่นใจเท่าไหร่ วิชาที่เขาฝึกฝนมีแต่การฆ่าฟัน ไม่มีการปรานี ผลลัพธ์ของการพ่ายแพ้ให้เขามีเพียงอย่างเดียวก็คือความตาย
คนที่เหมาะสมที่สุดในหมู่เจ้าขุนเขา ยังมีอีกคน
สายตาของทุกคนพากันหยุดอยู่บนร่างซือหม่าจุ่นที่เงียบงันอยู่โดยไม่รู้ตัว
วิชาของเขาเหมาะสมที่สุดในหมู่คนทุกคน
ซือหม่าจุ่นยิ้มอย่างหนักใจ เพียงประสานมือคารวะจอมมรรคา “อย่างนั้น ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
จอมมรรคาวิถีธรรมะยิ้มพลางพยักหน้า “รีบไปรีบกลับ”
“รับทราบ” ซือหม่าจุ่นขานรับ ควันขาวบังเกิดขึ้นใต้เท้า แล้วรวมตัวเป็นกระเรียนเซียนสีขาวบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพาเขาบินออกจากตำหนัก แล้วร่อนลงไปยังดาดฟ้าบนขุนเขาที่หนึ่งด้วยความเร็วสูง
…
ตูม!
น้ำทะเลสีน้ำเงินปะทะใส่เกราะคุ้มกันโปร่งแสงของค่ายกลอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นอีกครั้ง
น้ำทะเลทั่วฟ้าหลอมรวมกับปราณทารกส่วนหนึ่งของลู่เซิ่ง
น้ำทะเลส่วนนี้ดึงดูดไอน้ำปริมาณมหาศาลเหลือคณานับในรัศมีหมื่นลี้รอบๆ สุดท้ายก็กลายเป็นธารสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวถล่มใส่ทิวทัศน์ด้านล่าง
เขาประกายทองกลายเป็นมหาสมุทร น้ำทะเลหลายร้อยล้านตันดึงดูดไอน้ำพันล้านตัน หมื่นล้านตันแสนล้านตัน และล้านล้านตัน แม้กระแสน้ำจำนวนมากจะไม่ได้มีพลังทำลายล้างอะไรมากนัก ไม่น่ากลัวเท่าอานุภาพของน้ำทะเลหลายร้อยล้านตันซึ่งอยู่ตรงใจกลาง แต่ก็ต้านทานพลังอาคมของลู่เซิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินไปไม่ได้
ฟ้าและดินกลายเป็นสีน้ำเงิน ป่าเขาหายไป ท้องฟ้าหายไป ด้านบนและด้านล่างเห็นได้แค่กระแสน้ำสีน้ำเงินไหลกลบท่วม
เหมือนกับว่าหากมองไปด้านบนคือผิวทะเล หากมองไปด้านล่างก็ยังเป็นผิวทะเลเหมือนเดิม
……………………………………….