ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 497 ใต้หล้า (5)
บทที่ 497 ใต้หล้า (5)
น้ำทะเลที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวกระจายไปทั่วท้องฟ้า ได้แต่มองเห็นเค้าโครงสีฟ้าพร่ามัวจุดเดียวของดวงอาทิตย์ผ่านน้ำทะเลท่านั้น
ลู่เซิ่งชูกระบี่ธารปฐพีขึ้นสูง พลังอาคมหลายร้อยหลายพันเท่าของผู้บำเพ็ญสูงส่งทั่วไปทะลักออกมาดุจกระแสคลื่นเพื่อสะกดกระบี่ธารปฐพีที่เตรียมจะต่อต้าน วิญญาณกระบี่ร้องโหยไห้ ตัวกระบี่มืดสลัวลง กลายเป็นเพียงยอดศัสตราธรรมดาๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น
“อานุภาพเทพ!”
ในที่สุด ลู่เซิ่งก็ฟันกระบี่ไปด้านหน้า
ตูม!
เสียงที่ยากบรรยายดังสนั่น พวกซือหม่าจุ่นไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว เพราะเมื่อคลื่นเสียงดังถึงระดับหนึ่ง จะไม่ใช่สิ่งที่หูคนรับรู้ได้อีกต่อไป
ยอดฝีมือวิถีธรรมะหลายสิบคนมีเลือดไหลออกจากสองหูแทบจะในพริบตาเดียว ต่างคนต่างถูกน้ำทะเลม้วนใส่และโดนพัดหายไปเหมือนกับคนเมาสุรา
ซือหม่าจุ่นถูกน้ำทะเลทั่วฟ้าที่กระบี่ควบคุมกดทับใส่ แค่พริบตาเดียวไม่ทราบว่ากระดูกทั่วรางหักไปกี่ท่อน เพียงได้ยินเสียงหักดังเป๊าะๆ เท่านั้น
เขาถูกน้ำทะเลสีฟ้านับไม่ถ้วนถล่มใส่ โดนกลบกลืนหายไปด้านใน กลิ่นอายบนร่างตกจากระดับทารกจิตช่วงปลาย ความแข็งแกร่งเหลือแค่หนึ่งในสิบส่วนของตอนแรกในพริบตาเดียว
ลู่เซิ่งก้มมอง พอไม่เห็นเงาร่างของซือหม่าจุ่นในน้ำทะเลของห้วงสมุทรแล้ว เขาจึงค่อยแค่นเสียง
“ไปเถอะ” เขาเดินเหยียบอากาศไปยังทิศทางของค่ายกลสิบสองอาคมวารีทองคำ
หลิวเอ๋อร์กลืนน้ำลายเอื๊อก ไม่กล้าหัวเราะอีกต่อไป เพียงแอบแลบลิ้นกับตัวเอง ก่อนจะตามลู่เซิ่งไป
พริบตาที่กระบี่ธารปฐพีซึ่งอยู่กลางอากาศฟันลงเมื่อครู่ น้ำทะเลมืดฟ้ามัวดินถล่มลงมา แล้วชนใส่ค่ายกลสิบสองอาคมวารีทองคำอย่างรุนแรง
ค่ายกลถูกบีบอัดจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เห็นรอยแตกเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ผิวได้รางๆ แสดงให้เห็นว่าคงทนได้อีกไม่นานแล้ว บางจุดยังปรากฏช่องเล็กๆ ที่ทำให้พวกลู่เซิ่งเข้าไปได้ง่ายๆ
…
ซ่าๆๆ!
ในน้ำทะเล คลื่นใต้น้ำหลายสายพุ่งมาจากทั่วสี่ทิศแปดทาง
ซือหม่าจุ่นที่มุมปากเปื้อนเลือดยกมือใช้กระบวนท่าต้านทานด้วยความเร็วสูง ตอนแรกๆ ยังสามารถฟาดน้ำทะเลปราณทารกที่พุ่งมาให้กระจายออกไปได้อยู่ แต่ว่าเขาก็เริ่มหน้าซีดขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป ถึงแม้คุณสมบัติพลังอาคมของอีกฝ่ายจะสู้ตนไม่ได้ แต่…ปริมาณของพลังอาคมนี้มากเกินไปกระมัง?!
เขาควบคุมปราณทารกของตัวเองเพื่อทำลายน้ำทะเลปราณทารกที่พุ่งเข้ามาอย่างแม่นยำ พลังอาคมบนร่างลดลงด้วยความเร็วสูง แต่รอบๆ ยังเห็นน้ำทะเลน่ากลัวนับไม่ถ้วนกระเพื่อมและไหลเชี่ยวอยู่ดี คล้ายกลับพลังไม่ลดลงแม้แต่น้อย
‘ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้!’ ซือหม่าจุ่นตัดสินใจเด็ดขาด ทราบว่าหากซ่อนตัวต่อไป หากเขาที่เป็นธนูแรงปลายยังไม่ใช้ไพ่ตายอีก เกรงว่าภายหลังจะไม่มีแม้แต่โอกาสแล้ว
เขาหยิบเมล็ดเม็ดเล็กๆ ที่เหมือนกับผลเจ่าออกมาจากอกเสื้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็บีบไว้ในมืออย่างตั้งใจพร้อมกับท่องคำสวด
“ไป!” เขาเพิ่งจะยกมือขึ้น เมล็ดก็ระเบิดออก ธงสีขาวคันหนึ่งลอยออกมาจากด้านหลังเมล็ด
ลวดลายอันน่าอัศจรรย์ได้แก่กวางขาว มังกรขาว และเหยี่ยวขาวสว่างขึ้นบนธงสีขาว อากาศรอบๆ สั่นไหว ธงปล่อยเส้นแสงสีขาวเล็กๆ ออกมาพร้อมกับพุ่งใส่น้ำทะเลด้านหน้า
ฟ้าว!
เกิดเสียงดังหนักๆ ธงขาวเพิ่งแตะน้ำทะเล มันก็แยกออกเป็นชิ้นๆ
ซือหม่าจุ่นกระอักเลือดอีกครั้ง ของวิเศษถูกทำลายในพริบตา ความเสียหายที่ส่งผลต่อจิตวิญญาณของตนเป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการ
เมื่อครู่เขาคิดจะใช้ของวิเศษของตนสะกดคลื่นใต้น้ำของห้วงสมุทรตรงหน้าอย่างสุดกำลัง นี่เทียบได้กับใช้พลังอาคมปราณทารกทั้งหมดของตนปะทะกับลู่เซิ่งซึ่งหน้า
ผลลัพธ์กลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่ใช่เพราะธงวิเศษที่เขาตั้งใจหลอมมาหลายร้อยปีป้องกันการสะท้อนกลับ พริบตาเมื่อครู่เขาคงตายคาที่ไปแล้ว
‘เป็นไปได้อย่างไรกัน…!’ ในทีสุดซือหม่าจุ่นก็เริ่มสิ้นหวังแล้ว ครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้เขาคือยอดฝีมือแห่งใต้หล้าที่อยู่สูงส่ง เป็นเจ้าขุนเขาและผู้บำเพ็ญสูงส่งซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของวิถีธรรมะ
แต่ครึ่งชั่วยามต่อมา เขากลับได้รับบาดเจ็บหนัก โดนน้ำทะเลนับไม่ถ้วนโอบล้อมเอาไว้ในส่วนลึก แม้แต่หลบหนียังทำไม่ได้
ลางสังหรณ์บอกเขาว่า ถ้าไม่ใช่เพราะน้ำทะเลรอบๆ ปรับความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องตามพลังฝึกปรือของตนที่กำลังลดลง เหมือนจงใจไว้ชีวิตตนไว้ เกรงว่าตอนนี้เขาคงจะ…
…
ช่องว่างของค่ายกลสิบสองอาคมวารีทองคำ
ลู่เซิ่งกับหลิ่วเอ๋อร์ค่อยๆ ร่อนลงผ่านช่องว่างที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางแค่สิบกว่าหมี่เข้าไป
ตรงช่องว่างมีเงาคนหลายสิบสายลอยอยู่ กำลังรอเขาอย่างเยือกเย็น
ผู้นำเป็นจอมมรรคาวิถีธรรมะที่เมื่อครู่คิดลงมือช่วยคน แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง
คนผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักพรตที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ตอนนี้บนใบหน้าไม่หลงเหลือเค้าความผ่อนคลายในยามปกติแล้ว
สิ่งที่มาแทนที่คือ ความสงบนิ่ง ความเย็นเยียบ และความเคร่งขรึม
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งสนใจมากที่สุดก็คือ เขาเห็นจันทร์เสี้ยวอันอ่อนโยนบนหน้าผากของจอมมรรคาวิถีธรรมะที่ปล่อยแสงสีขาวอย่างช้าๆ
เขาสัมผัสได้อย่างปราดเปรียวว่า จันทร์เสี้ยวนั้นมีผลเหมือนกับเทวลักษณ์วารีลี้ลับที่เขาเพิ่งได้รับมา
ในทางเดียวกัน สาเหตุที่จอมมรรคาวิถีธรรมะสูญเสียความเยือกเย็นในยามปกติไป เป็นเพราะสัมผัสได้ในทันทีว่าบนรางลู่เซิ่งมีคลื่นเทวลักษณ์ที่กำลังแผ่กระจายอยู่เช่นกัน
ฝั่งลู่เซิ่งสวมชุดดำกับเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ทางฝั่งวิถีธรรมะสวมชุดกระชับสีขาว คล้ายกับเป็นชุดออกศึกชนิดพิเศษที่เพิ่งผลัดเปลี่ยน
ด้านล่างคนสองกลุ่มคือเหล่าศิษย์และคนในสำนักหลายพันคนของวิถีธรรมะ ต่างก็ตั้งทัพที่มีขนาดต่างๆ กัน
เงาสัตว์ประหลาดอสูรเทพหลากหลายชนิดซึ่งมีสีสันต่างๆ นาๆ รวมตัวบนค่ายทัพ คล้ายกับเขาประกายทองกลับไปสู่ยุคเทพนิยาย อสูรเทพกับสัตว์ประหลาดทั้งหมดกำลังจับจ้องพวกลู่เซิ่งตาเป็นมัน
อากาศตลบอบอวลไปด้วยบรรยายกาศตึงเครียดที่พร้อมจะระเบิดศึกมรณะได้ตลอดเวลา
“ข้ามาเพราะเรื่องในอดีต” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้าในฐานะราชาสี่สมุทรจะต้องจัดการบุญคุณความแค้นที่แล้วมาในวันนี้ เตี๋ยซาจื่อตายไปแล้ว ตอนนี้เหลือผู้วางแผนในตอนนั้น ถ้าไม่ใช่ตอนนั้นวิถีธรรมะวางแผนการใหญ่ คิดจะผลักดันโชคชะตาของสำนักให้โชติช่วง ข้าคงไม่โดนลูกหลงไปด้วย”
จอมมรรคาวิถีธรรมะสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ค่อยๆ ละสายตาจากหลังมือของลู่เซิ่ง
“ผลกรรมวนเวียนในธรรมชาติฟ้าดิน ตอนที่เราวางแผนการใหญ่ ก็นึกไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง น่าเสียดาย…สิ่งที่ข้านึกไม่ถึงก็คือจะมาเร็วขนาดนี้”
“อย่างนั้นเจ้ามีความเห็นอย่างไร” ลู่เซิ่งไม่สนใจธรรมชาติฟ้าดินอะไร เขาเพียงแค่ต้องการสะสางผลกรรมเท่านั้น
“วิถีธรรมะ…เป็นสำนักอันดับหนึ่งฝ่ายธรรมะ แต่สำนักสี่สมุทรมีเจ้าสำนักประคับประคองด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้เจ้าสำนักมีบารมีเทียมฟ้า ใช้น้ำกลบท่วมเขาประกายทอง แสดงความเกรี้ยวกราดน่าเกรงขาม แต่เคยนึกหรือไม่ว่าหลังจากสำนักสี่สมุทรเสียอำนาจไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น” หลิวซือเฉิงที่อยู่ด้านข้างก้าวขึ้นหน้าพร้อมกับกล่าวเตือนด้วยใจจริง ในฐานะผู้บำเพ็ญสูงส่ง เขามีสิทธิ์สนทนากับลู่เซิ่งที่เป็นจอมมรรคาเช่นกัน
“ไม่เคยคิด”
หลิวซือเฉิงสะอึก ได้แต่พูดต่ออย่างจนปัญญา
“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ซือหม่าจุ่นผู้บำเพ็ญสูงส่งของวิถีธรรมะก็ถูกเจ้าสำนักเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสด้วยการใช้พลังอาคมอันสูงส่งกักตัวไว้แล้ว เทียบกับการวางแผนบีบคั้นในตอนนั้น ความเสียหายกับการชดเชยนี้ยังไม่พออีกหรือ”
ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาไปยังบนร่างหลิวซือเฉิง “ไม่พอ”
“มู่อวิ๋น พวกเราเองก็รู้ว่าคนที่สู้พวกเราสองคนได้ในโลกใบนี้มีกี่คน คนที่จะมีความสามารถเท่าเราสองคนในตอนนี้ได้เกรงว่าจะไม่มีอีกแล้ว” จอมมรรคาวิถีธรรมะค่อยๆ ชักกระบี่เรียวยาวที่มีลายข้าวสาลีสีทองออกมาจากด้านหลัง
“การต่อสู้ของพวกเรา ผลดีเพียงหนึ่งเดียวคือทำให้มือที่สามได้ประโยชน์” เขาแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ปราณทารกสีขาวบริสุทธิ์บนร่างแผ่คลื่นและปริมาณที่น่าสะพรึงถึงขีดสุดซึ่งเหนือกว่าผู้บำเพ็ญสูงส่งทั่วไปเหมือนกับลู่เซิ่ง
“บ่อควบควบคุมวิญญาณหรือ!?” พวกหลิวซือเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไป ทราบว่าจอมมรรคาใช้บ่อควบคุมวิญญาณแล้ว จึงพากันถอยหลัง
จอมมรรคาจะลงมือสุดกำลังอีกครั้งหลังจากศึกกับมารโบราณเมื่อครั้งก่อน
พลังอาคมอันน่ากลัวที่มีเป็นหลายร้อยหลายพันเท่าของผู้บำเพ็ญสูงส่งทั่วไปกำลังสั่นไหวบนร่างจอมมรรคาวิถีธรรมะด้วยความเร็วสูง ก่อนจะกลายเป็นแสงสีขาวแยงตาหลายสาย กีดกันปราณกำเนิดทั้งหมดในอากาศที่อยู่รอบๆ อย่างเกรี้ยวกราด
“ไม่เลว สมกับเป็นจอมมรรคาวิถีธรรมะ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า” ลู่เซิ่งสีหน้าผกผันเล็กน้อย เดิมทีนึกว่าหลังจากเขาสำเร็จพลังอาคมไร้ขอบเขต จะกลายเป็นผู้ปกครองโลกได้แล้ว นึกไม่ถึงว่าจอมมรรคาวิถีธรรมะจะมีความสามารถที่ใช้เพิ่มพลังอาคมของตัวเองได้อย่างใหญ่หลวงเหมือนกัน
แม้พลังอาคมส่วนใหญ่ของอีกฝ่ายจะไม่ใช่ของตัวเอง แต่การที่เทียบเคียงกับตัวเองได้ ก็ถือว่าหายากเป็นอย่างยิ่งแล้ว
เขาสั่งการความคิด แสงน้ำเงินนับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกมาจากด้านหลังเช่นกัน
ในที่สุดค่ายกลสิบสองอาคมวารีทองคำก็ค่อยๆ พบเจอการพังทลายเพราะการบีบอัดอันยิ่งใหญ่จากสองฝั่ง ผนังค่ายกลแผ่นใหญ่ๆ ส่งเสียงแกร๊กและแตกสลายไป
น้ำทะเลทั่วฟ้าทะลักเข้ามาภายในเขาประกายทองอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นในทุกช่องว่าง
เสาน้ำสีน้ำเงินพุ่งสู่ท้องนภาต้นแล้วต้นเล่า ด้านในค่ายกลของเขาประกายทองเต็มไปด้วยเสาน้ำสีน้ำเงินที่เชื่อมท้องฟ้าเข้ากับผืนดินอยู่ชั่วขณะ
เสาน้ำหลายต้นที่สูงมากกว่าพันหมี่มีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยที่สุดอยู่ที่หลายสิบหมี่ ดูอลังการถึงขีดสุด
เหล่าศิษย์ของวิถีธรรมะได้รับการแจ้งเตือนไว้ก่อน จึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก เพียงแต่กลุ่มสิ่งก่อสร้างอายุพันปีของสำนักถูกทำลายราบไปมากกว่าครึ่ง
ด้านในกลุ่มสิ่งก่อสร้างนับไม่ถ้วนมีแสงค่ายกลสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันน้ำทะเล ทว่าภายใต้การทะลวงของปราณทารกในน้ำทะเล ไม่ทันไรก็พังทลายลงพร้อมเสียงดังกึกก้อง
“เป็นอย่างไร ยังจะสู้ต่อหรือไม่” ลู่เซิ่งมองจอมมรรคาวิถีธรรมะด้วยรอยยิ้ม
จอมมรรคาผุดสีหน้าเหยเก เมื่อครู่ทั้งสองใช้ปราณทารกประมือกันหลายสิบครั้งเพื่อหยั่งเชิง จิตใจก็ปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน แต่เขากลับไม่อาจชิงความได้เปรียบได้ ทั้งสองฝ่ายคู่คี่สูสี
ความจริงถ้าไม่ใช่เพราะทักษะเคล็ดวิชาของเขาเหนือกว่าอีกฝ่ายขั้นหนึ่ง เกรงว่าคนที่แพ้ในการต่อสู้กันสองครั้งเมื่อครู่จะเป็นเขาแทน
ตอนนี้ทั้งสองทราบถึงระดับคร่าวๆ ของอีกฝ่ายแล้ว
หลังประมือกันพันกระบวนท่า ลู่เซิ่งจะชนะ
นี่เป็นการเปรียบเทียบพลังในสภาพปกติ
แต่สิ่งที่ลู่เซิ่งกริ่งเกรงกลับเป็นเทวลักษณ์บนหน้าผากของจอมมรรคา เขาทราบถึงอานุภาพของเทวลักษณ์ดี แถมเขาก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายความคุมเทวลักษณ์ได้ล้ำลึกขนาดไหน หากว่ายังมีไพ่ตายอย่างอื่นที่ยังไม่รู้อยู่อีก จะกลายเป็นบีบคั้นจนปลาตายแหขาดของแท้ หากเป็นแบบนั้นจะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
เป้าหมายของเขาคือการสะสางกรรม
ไม่ใช่การเสี่ยงชีวิต ถึงอย่างไรดูจากตอนนี้ แม้ปริมาณพลังอาคมของจอมมรรคาวิถีธรรมะจะสู้เขาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก อย่างมากสุดก็แค่สิบกว่าเท่าเท่านั้น
ทว่าเคล็ดวิชาทักษะของเขาด้อยกว่าอีกฝ่ายมากโข แถมปราณทารกก็มีคุณภาพต่ำกว่าเช่นกัน ความจริงหากคำนวณดูดีๆ จะถือว่าเสมอกัน
“เจ้าสำนักวางแผนได้ดีนัก ครั้งนี้ท่านบีบบังคับเขาประกายทองของเรา ถ้าหากไม่มอบคำว่ากล่าวให้ เกรงว่าวันนั้นบารมีของสำนักสี่สมุทรของท่านจะเหยียบหัวของพวกเราวิถีธรรมะขึ้นไปแล้ว!” เจ้าขุนเขาคนหนึ่งอดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้
“พวกเจ้าจะเปิดศึกก็ได้ ข้าอยากจะขอคำชี้แนะอยู่พอดีว่าบารมีของยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้าเป็นความจริงหรือไม่” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่นำพา
“โอหัง!”
เหล่าคนในวิถีธรรมะพากันถลึงตาจ้องด้วยความโมโห
ทว่าจอมมรรคายังคงมีสีหน้าใจเย็นอยู่
“กรรรมในอดีต พวกเราสามารถชดเชยให้ได้ แต่เรื่องคุกคามสำนักและทำลายค่ายกลในวันนี้ ข้าต้องการคำว่ากล่าวจากสำนักสี่สมุทรของท่าน”
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจะลงมือจริงๆ แล้ว
……………………………………….