ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 502 กลับ (2)
บทที่ 502 กลับ (2)
“ตกลงตามนี้” ลู่เซิ่งค่อยๆ หลับตาลง
วางแผนถึงตอนนี้ นับว่าไม่เลวแล้ว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจไม่ให้ลัวเฉิงปกครองสำนักสี่สมุทร ผู้เข้มแข็งนับไม่ถ้วนล้วนปรารถนาในอำนาจและผลประโยชน์ โชคลาภเช่นนี้ไม่ใช่ผลดีสำหรับคนรุ่นหลังของตระกูลลัว หากแต่เป็นเพทภัย
ดังนั้นเขาจึงเพียงให้ตระกูลลัวร่ำรวยมีฐานะไปหลายยุคสมัย ขอแค่ให้จอมเทวะทั้งห้าคนในสำนักสี่สมุทรกับเผ่าพันธุ์ทะเลใหญ่ทั้งเก้ามอบความร่ำรวยและทรัพยากรให้แก่ตระกูลลัวตามสัญญาบนกุญแจเท่านั้น นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาใช้อักขระค่ายกลซึ่งแข็งแกร่งสุดเปรียบปานนับไม่ถ้วนสร้างขึ้น
ในสถานการณ์ที่เขากักตนฝึกฝน อย่างน้อยสำนักสี่สมุทรจะรักษาความเคารพต่อตระกูลลัวได้อีกหนึ่งถึงสองร้อยปี ต่อจากนั้นไม่สามารถบอกได้แล้ว
ลู่เซิ่งรับประกันความร่ำรวยและวาสนาที่ยาวนานกว่านั้นไม่ได้อีก
ทุกเรื่องบนโลกล้วนไม่จีรัง เขาไม่อาจปกป้องตระกูลลัวได้ตลอดไป ที่ทำได้นานถึงเพียงนี้ก็ไม่เลวมากแล้ว
ลู่เซิ่งกำชับชายชราอย่างละเอียด ให้เขาทยอยส่งคำสั่งที่ตนจัดไว้แล้วออกไปตามช่วงเวลาที่แตกต่างกันในภายหลัง
จากนั้นเขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นลงจากดาดฟ้าหยกขาว มุ่งหน้าเข้าตำหนัก แล้วเดินไปยังส่วนลึกของตำหนัก
ประตูศิลาหนักอึ้งด้านหน้าตำหนักใหญ่สีดำสนิทค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นไฟตะเกียงสีน้ำเงินหลายแถว
ตั้งแต่ด้านบนจรดด้านล่างมีเทียนไขสีขาวมากกว่าร้อยแถว ทั้งหมดจัดวางเป็นวงกลม ล้อมรอบเทียนไขขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงกลางเอาไว้
เทียนไขรอบๆ ล้วนจุดไฟสีน้ำเงินสว่าง แต่เทียนไขขนาดเท่าแขนที่อยู่ตรงกลางกลับไม่ได้จุดไฟ
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าเทียนสีขาวที่ใหญ่ที่สุด สองมือประสานมุทราหลายรูปแบบดุจสายฟ้าแลบ หลังจากได้รับเคล็ดวิชามากกว่าพันชนิดจากวิถีธรรมะ เขาก็ได้ประสานพวกมันเข้ากับเคล็ดวิชาการสืบทอดดั้งเดิมของโพ้นทะเลนับไม่ถ้วน โดยใช้การเรียนรู้ของดีปบลู บวกกับการจ่ายพลังอาวรณ์ไปมากกว่าพันหน่วย จนถึงขั้นรอบรู้วิชาบำเพ็ญกับความรู้คัมภีร์เต๋าหลายพันวิชาอย่างปรุโปร่ง ปัจจุบันใต้หล้าไม่มีใครสู้เขาได้อีก
ลุ่เซิ่งที่รวบรวมแก่นแท้ของวิธีบำเพ็ญในคัมภีร์เต๋าจากทั่วทั้งใต้หล้า เข้าใจระบบการฝึกฝนของโลกใบนี้อย่างกระจ่างแจ้ง
พรึ่บ!
มุทราจากสองมือพลันกดใส่ไส้เทียนไขขนาดใหญ่อย่างแม่นยำ
ไฟสีน้ำเงินเข้มกลุ่มหนึ่งลุกโชนบนเทียนไขในชั่วอึดใจ
นี่คือเทียนวิญญาณ สร้างจากแร่ศิลาทะเลลึกที่มีความพิเศษถึงขีดสุด แท่งหนึ่งเผาไหม้ได้พันปี พันปีผ่านไปค่อยเติมครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้จะจุดได้ต่อไปเรื่อยๆ ไร้สิ้นสุด
แสงไฟของเทียนวิญญาณบ่งบอกว่าวิญญาณของนักพรตที่จุดเทียนไขยังอยู่บนโลกหรือไม่
ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ไปเกิดใหม่ อย่างนั้นเทียนวิญญาณจะลุกไหม้และส่องแสงต่อไป นี่คือตะเกียงวิญญาณที่ผู้บำเพ็ญพูดถึง
‘วิชาเต๋าหมื่นพัน เทียบกับต้าอิน เทียบกับเส้นทางวิญญาณ บ้างก็บำเพ็ญตัวตน บ้างก็ฝึกฝนปราณภายนอก แต่ก็มีจุดร่วมกัน’
หลังจากจุดตะเกียงวิญญาณแล้ว ลู่เซิ่งจึงค่อยนั่งขัดสมาธิลงพร้อมกับหลับตา
ครืนๆ
พริบตาที่เขานั่งลง ประตูใหญ่ของวังที่ลึกก็ปิดลงหลายชั้น วังหยกขาวปิดผนึกตัวเองอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ภูเขารอบๆ เปล่งแสงสามสีที่ประกอบด้วยสีเขียว สีน้ำเงิน และสีขาวด้วยความเร็วสูง ลวดลายสีฟ้าจำนวนเหลือคณานับปรากฏบนพื้นอย่างช้าๆ แล้วไต่ไปรอบๆ เหมือนกับเถาวัลย์ ไม่นานก็เริ่มปล่อยไอความเย็นเสียดกระดูกออกมาครอบคลุมเขาเซียนไว้ทั้งลูก
ชายชราหัวล้านที่เพิ่งบินออกจากเขาเซียนสัมผัสได้อย่างกะทันหัน จึงรีบหันหน้ากลับมา เห็นทิวทัศน์ที่เริ่มหายไปในหมอกหนาพอดี
เขาผุดสีหน้าตกใจ รีบทดลองใช้เคล็ดวิชาเข้าค่ายกล แต่ว่าเคล็ดวิชาที่ก่อนหน้านี้ใช้งานได้อย่างใจนึก ปัจจุบันได้แต่เปิดใช้ค่ายกลคุ้มกันของตำหนักหมื่นวิญญาณเท่านั้น ได้แต่ชมดู ไม่อาจเข้าไป
หรือหมายความว่า นอกจากคอยตรวจสอบตะเกียงวิญญาณในตำหนักหมื่นวิญญาณอยู่ไกลๆ แล้ว ก็ไม่มีโอกาสเข้าออกเขาเซียนอีก
‘ท่านเจ้าสำนัก…เกรงว่าการกักตนในครั้งนี้จะนานมาก…’ ชายชราใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว กัดฟันกรอดๆ ก่อนจะหมุนตัวบินไปยังที่ไกล เขาจะต้องรีบบอกข่าวนี้กับจอมเทวะคนหนึ่งที่สนิทกับตัวเองให้เร็วที่สุด
…
สำนักสี่สมุทรปกครองสี่ทะเล สยบใต้หล้า จงหยวน ชายแดน และจตุรทิศล้วนสั่นสะเทือน ในตอนที่ทุกคนนึกว่าจอมสัจจะกลืนสมุทรจะขยายอาณาเขตใต้อาณัติไปอีกขั้น มู่อวิ๋นก็ประกาศกักตนระยะยาว และสร้างกุญแจเทพทะเลมอบให้คนรุ่นหลัง จอมเทวะห้าคนปกครองและจัดการภารกิจในสำนักสี่สมุทร
ใต้หล้าที่เพิ่งจะปั่นป่วนค่อยๆ สงบลง
ที่จงหยวน การต่อสู้ของวิถีธรรมะกับตำหนักราชาปฐพีของฝ่ายมารดุเดือดกว่าเดิม เห็นได้อย่างเลือนรางว่าโลกเบื้องบนกับพิภพมารกำลังวางหมากกันอยู่
สำนักสี่สมุทรถอนตัวออกจากมรสุมได้ทันพอดี ฝ่ายอธรรมกับฝ่ายมารจึงตั้งตัวไม่ทัน และไม่คิดจะหาเรื่องขุมอำนาจใหญ่ยักษ์ที่เพิ่งรวมตัวกันนี้ด้วย
ชีวิตของลัวเฉิงเลยสงบสุขเพราะสาเหตุนี้
…
ตูม!
ด้านในตำหนักกักตนที่อยู่ส่วนลึกของวังมาร
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน ไฟสีน้ำเงินที่เจิดจ้ากะพริบในดวงตาและจมูก ปราณทารกจำนวนมหาศาลที่น่ากลัวและยิ่งใหญ่กำลังหลอมรวมเข้ากับร่างหลักด้วยความเร็วสูง
หลังหลอมรวมเข้ากับพลังฝึกปรือของผู้บำเพ็ญสูงส่งอย่างมู่อวิ๋น และแก้ไขกรรมเรียบร้อย จิตวิญญาณทางธรรมชาติของร่างหลักในเส้นทางมารสวรรค์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ พลังฝึกปรือกับจิตวิญญาณยกระดับขึ้นพร้อมกัน ทำให้เกิดปรากฏการประหลาดที่ลู่เซิ่งควบคุมพลังอาคมไม่อยู่จนรั่วไหลออกมาเล็กน้อย
ปราณทารกสีน้ำเงินลุกไหม้กลายเป็นอัคคีทารก พร้อมกับเผาไหม้อวัยวะภายในของลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
เขารู้สึกร้อนลวกไปทั่วร่าง กายเนื้อที่แข็งแกร่งอย่างร่างหลักกลับถูกอัคคีทารกที่ยิ่งใหญ่ไพศาลดันจนเจ็บปวดเพราะการขยาย
ทว่าขณะที่กำลังเจ็บปวดอย่างสาหัส ลู่เซิ่งกลับจ้องมองกรอบของดีปบลูที่ปรากฏขึ้นด้านหน้าเขม็ง
บันทึกขอบเขตบนวิชาไร้ขอบเขตกำลังเปลี่ยนแปลงเป็นเนื้อหาใหม่อย่างช้าๆ
[วิชาไร้ขอบเขต: ขอบเขตที่ห้า—รวบรวมยอดศัสตราระดับที่หก] ด้านหลังคือผลพิเศษและคุณสมบัติแน่นขนัดที่อ่านไม่ออก
‘รวบรวมยอดศัสตราระดับหก ตรงกับสามขอบเขตของระดับอริยะเจ้า ตอนแรกเราอยู่ที่ระดับที่สี่ ตอนนี้กลับเลื่อนถึงระดับที่หกในรวดเดียว หมายความว่าตอนนี้เราได้มาถึงจุดสูงสุดของระดับเทวปัญญาแล้ว’ ลู่เซิ่งค่อยๆ เก็บไฟในเจ็ดทวารกลับไป ความร้อนของร่างกายจึงค่อยๆ ลดลงตามไปด้วย
‘หากเอาแต่ฝึกฝนในต้าอินเพียงอย่างเดียว…ถ้าไม่ใช้เวลามากกว่าพันปีก็อย่าฝันเลยว่าจะบรรลุขอบเขตนี้ได้ แต่ตอนนี้แค่จุติไปด้านนอกรอบเดียว กลับเลื่อนระดับได้อย่างสบาย มิน่าถึงไม่เห็นพวกเจ้าแห่งอาวุธปรากฏตัวในต้าอิน เพราะปกติจะจุติออกไปเพื่อเพิ่มระดับพลังฝึกปรือนี่เอง เพียงแค่พวกเขาไม่มีดีปบลู เกรงว่าการจุติครั้งหนึ่งจำเป็นต้องใช้เวลานานมากถึงจะมีผลลัพธ์ แต่ก็มีประสิทธิภาพไม่สูงเท่าเรา’ ลู่เซิ่งรำพึงรำพันในใจ
ตอนนี้จิตวิญญาณกำลังยกระดับอย่างบ้าคลั่ง จิตวิญญาณในตอนแรกบรรลุขอบเขตเทวปัญญาในระดับปริมาณอยู่แล้ว ครั้งนี้หลังจากกลับมาก็เลื่อนจากระดับดาวหยกเข้าสู่ระดับเทวปัญญาได้ทันที
และในพริบตาที่กลับมา ไฟหยินอัคคีอนธการที่เขาใช้เป็นที่พึ่งพิงหลักมาโดยตลอดก็เลื่อนไปถึงขั้นปฐมพลังโดยอัตโนมัติเพราะการเลื่อนระดับของลู่เซิ่ง
‘ปฐมพลัง…นี่คือปฐมพลังอย่างนั้นหรือ’ ลู่เซิ่งยื่นนิ้วชี้ออกมา เปลวไฟสีเขียวอ่อนกลุ่มหนึ่งลุกไหม้บนปลายนิ้ว
เหตุใดมองดูไม่ต่างอะไรกับไฟหยินเมื่อก่อนหน้านี้เลย แต่พอสังเกตอย่างละเอียด เขาก็ค้นพบว่า แม้ไฟกลุ่มนี้จะดูเหมือนไฟ แต่ความจริงแล้วประกอบขึ้นจากฝุ่นสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วน
เหมือนกับฝุ่นสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนจับตัวกันเป็นสภาพของเปลวไฟด้วยตัวเอง ทั้งยังปล่อยความร้อนและกัดกร่อนสิ่งมีชีวิตได้ด้วย
‘นี่เป็นปฐมพลังหลักของไฟหยินอย่างนั้นเหรอเนี่ย หรือควรบอกว่าไฟหยินถือกำเนิดจากสิ่งนี้’
ตอนนี้ลู่เซิ่งบรรลุขอบเขตและรู้จักกฎเกณฑ์ทั้งหมดของไฟหยินแล้ว ดังนั้นแค่มองแวบเดียว ก็รู้ทันทีว่าปฐมพลังที่แท้จริงของไฟหยินมาจากสิ่งใดกันแน่
มาจากฝุ่นผงสีเขียวเล็กละเอียดพวกนี้นี่เอง
‘ปฐมพลังคือพลังงานระดับสูงสุดที่อยู่เหนือกว่าพลังงานชนิดอื่นๆ มีคุณสมบัติในการกดข่มพลังกำเนิดระดับต่ำๆ ทั้งหมด มาลองดูก่อนดีกว่า’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะทำท่ากวักมือ อักขระสีแดงก่ำกลุ่มหนึ่งพลันสว่างขึ้นบนผนังกำแพงใกล้ๆ พอดี
ไฟสีแดงก่ำกลุ่มหนึ่งลุกไหม้ขึ้นกลางอักขระ นี่เป็นอัคคีพิษที่ก่อนหน้านี้เขาฝากเก็บไว้ อานุภาพของมันเทียบเท่ากับความสำเร็จครึ่งเดียวของเขาก่อนที่จะเข้าไปในโลกของมู่อวิ๋น ซึ่งเขาใช้เป็นความสามารถคุ้มกัน
ไฟสีแดงก่ำลอยออกมาพลางโยกไหว ไม่นานก็มาลอยอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งจิ้มไฟหยินด้านหน้าเบาๆ ไฟหยินหลังจากที่กลายเป็นปฐมพลังลอยเข้าหาอัคคีพิษสีแดงก่ำพลางส่ายไหวเช่นกัน
ลู่เซิ่งเพ่งมองการปะทะกันระหว่างสองสิ่งอย่างตั้งใจ
เขารู้อยู่แก่ใจดีว่า พลังกฎเกณฑ์ที่ใช้สร้างไฟหยินมีน้อยกว่าพลังกฎเกณฑ์ที่ใช้สร้างอัคคีพิษมาก ตอนนี้สองสิ่งกำลังปะทะกัน เขาอยากเห็นว่าฝั่งไหนจะชนะ
ไม่นานนัก ไฟสองกลุ่มก็ปะทะกันซึ่งหน้า
พรึ่บ
อัคคีพิษสีแดงก่ำพลันระเบิด มันระเบิดแทบจะในทันทีที่แตะโดน ไม่มีการชะงักแม้แต่น้อย
ไฟหยินหลังจากที่กลายเป็นปฐมพลังปล่อยฝุ่นสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา มันหมุนกลางอากาศรอบหนึ่ง ก่อนจะกลับกลายเป็นสภาพไฟสีเขียวเหมือนเดิม
‘สุดยอด!’ ลู่เซิ่งฮึกเหิม เขาสังเกตเห็นว่าความสิ้นเปลืองของไฟหยินหลังจากกลายเป็นปฐมพลังยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของปริมาณโดยรวมด้วยซ้ำ
“นี่เทียบเท่ากับพลังกฎเกณฑ์ของเราเพิ่มขึ้นมาอย่างน้อยมากกว่าสิบเท่า แถมปริมาณโดยรวมของพลังกฎเกณฑ์ก็เพิ่มขึ้นมากกว่าสิบส่วนด้วย”
ในที่สุดลู่เซิ่งก็รู้แล้วว่าทำไมเทวปัญญาจึงแตกต่างจากขอบเขตอื่นๆ
‘ที่แท้เจ้าแห่งอาวุธของต้าอินก็เดินบนเส้นทางการฝึกฝนนี้ หากเลื่อนสู่ระดับเทวปัญญาเมื่อไหร่ โลกจะกว้างไกลมากขึ้น ทัศนวิสัยไม่ได้จำกัดอยู่ในต้าอินที่มีขนาดเล็กๆ อีกต่อไป
ในโลกจำนวนนับไม่ถ้วนไม่แน่ว่าจะไม่มีพื้นที่ที่แข็งแกร่งกว่าต้าอิน ที่พูดกันว่าเหล่าเจ้าแห่งอาวุธกักตนตลอดเวลา อาจเพราะกำลังท่องโลกด้านนอกอยู่ตลอดก็ได้’ ลู่เซิ่งรำพึงในใจ
เมื่อพลังฝึกปรือมีส่วนสำเร็จ เขาก็แทบสัมผัสได้อย่างล้ำลึกกว่าเดิมว่าความแตกต่างระหว่างเจ้าแห่งอาวุธกับอริยะเจ้าอยู่ตรงไหน
เกรงว่าถ้าไปสู้กับร่างหลักของเจ้าแห่งอาวุธเข้า จะเกิดความแตกต่างราวฟ้ากับเหว
‘ตอนนี้การต่อสู้ระหว่างราชวงศ์ต้าอินกับพิภพมารยังยื้อยันกันอยู่ เจ้าแห่งอาวุธได้รับบาดเจ็บสาหัส ตระกูลลู่ของเราอยู่ในสถานที่อันตรายแบบนี้มาโดยตลอด ควรเปลี่ยนสถานที่ไปอยู่ในที่ที่มั่นคงปลอดภัยกว่านี้ดีกว่า’
ตอนนี้หลังจากลู่เซิ่งเข้าสู่ระดับเทวปัญญา ความคิดก็ทำงานได้เร็วขึ้น คนที่อพยพจากต้าอินไปยังโลกด้านนอกไม่ใช่ไม่มี แต่เงื่อนไขแรกที่ต้องทำก่อนก็คือการหลบเลี่ยงภัยพิบัติ ถึงอย่างไรหากวางคุณสมบัติร่างของต้าอินเอาไว้ในโลกใบอื่น ก็จะทำให้ฟ้าดินธรรมชาติเข้าใจผิดว่าเป็นแม่แบบของมารสวรรค์อย่างแน่นอน
หากตระกูลของมารสวรรค์กลุ่มใหญ่อยากจะอพยพไปยังโลกใบอื่น สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือรับประกันว่าโลกใบนี้จะไม่มีการคุกคามและอันตรายต่อตระกูลลู่
‘ไม่ใช่ว่าทุกๆ คนจะปรับตัวเข้ากับความขัดแย้งทางกฎของโลกแต่ละใบได้อย่างรวดเร็ว…เรื่องนี้ต้องวางแผนระยะยาว’ ลู่เซิ่งเก็บความคิดนี้เอาไว้ก่อน
โลกของมารสวรรค์ล้ำลึกเกินไปจริงๆ
ความประหลาดลี้ลับที่เป็นอมตะยังไม่ได้ทำความเข้าใจเลยว่าเป็นสิ่งใด นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติร่างของมารสวรรค์ โลกแห่งความเจ็บปวด พิภพมาร สำนักไตรอริยะ และวิญญาณร้ายอีก ปัญหาและอันตรายมากมายบีบคั้นให้เหล่ามนุษย์ในโลกใบนี้ต้องบากบั่นฝึกฝน ไม่อย่างนั้นหากพลั้งเผลอไปนิดเดียว ก็จะเกิดบทสรุปคนตายวิญญาณดับสลายทันที
……………………………………….