ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 504 กลียุค (2)
บทที่ 504 กลียุค (2)
ลู่เซิ่งเก็บแผ่นหินแล้วนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้ต่อ มองดูเด็กน้อยตัวอ้วนลู่หนิงที่กำลังเล่นกับเด็กคนอื่นๆ พร้อมกับคิดแผนการในใจ
‘ตอนนี้เราครอบครองปฐมพลัง สำเร็จเป็นเทวปัญญา และหลุดจากกรงขังอริยะเจ้าทั่วไปแล้ว หากขึ้นไปอีกจะเป็นเส้นทางสำเร็จเป็นเจ้าแห่งอาวุธ วิธีการที่บันทึกในคัมภีร์ฟ้าน้ำแข้งสี่ฤดูบอกว่าต้องจุติอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติในวันหนึ่ง จากนั้นเมื่อทุกๆ เงื่อนไขสำเร็จลง ก็จะสำเร็จเป็นเจ้าแห่งอาวุธโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ต้องจุติกี่โลก คัมภีร์ไม่ได้บอกไว้ ตอนนี้ยังไงก็ไม่ธุระอะไร ไปดูหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร’
พอเขาตกลงใจเสร็จ ก็ปล่อยใจสบายๆ ไม่ไปคิดมากอีก ก่อนจะลุกขึ้นไปพาลู่หนิงเที่ยวเล่นต่อ
จนกระทั่งถึงตอนกลางคืน ลู่เซิ่งค่อยพาลู่หนิงกลับบ้าน ส่วนตัวเองไม่ได้เข้านอนทันที หลังปลอบเฉินอวิ๋นซีเสร็จ ก็นอนหลับในห้องหนังสือ
เป้าหมายที่แท้จริงของเขาย่อมไม่ใช่การนอนหลับ แต่เป็นการจัดการงานหลัก
…
โลกแห่งความเจ็บปวด
ลู่เซิ่งใส่ชุดคลุมสีดำ สวมหน้ากากเสือสีขาวสำหรับอำพรางใบหน้า เดินอยู่บนระเบียงที่กว้างขวางในอาคารเล็ก
ไม่ได้กลับมาที่เมืองนี้นาน สถานที่บางส่วนตรงหน้าคล้ายมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ว่าสถานการณ์โดยรวมยังคงเป็นเหมือนเดิม
ขึ้นถึงชั้นสาม ไม่นานลู่เซิ่งก็หยุดยืนด้านหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูใหญ่สีขาวอมเทาไม่ทราบกลายเป็นประตูไม้สีเทาที่แตกร้าวตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งที่เหมือนกับหนอนตัวเล็กๆ คลานเข้าคลานออกตามรอยแตกบนประตูอย่างต่อเนื่อง
“เข้ามาเลย” ด้านในห้องมีเสียงแหบพร่าของสือจื้อซิงดังมา
ลู่เซิ่งจัดเสื้อคลุมก่อนผลักประตูเข้าไป
เด็กสาวงดงามที่มีเรือนผมสีทองและตาสีมรกตนั่งอย่างเรียบร้อยอยู่หลังโต๊ะหนังสือในห้อง เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนอายุไม่เกินสิบเอ็ดสิบสองปี ตัวเล็ก ผิวขาวซีดอย่างน่าประหลาดเล็กน้อย
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือบนคอข้างขวาของนางมีรอยแผลสีเลือดขนาดเท่าฝ่ามืออยู่รอยหนึ่ง ด้านในบาดแผลมีหนอนตัวเล็กๆ หมุดเข้ามุดออกตลอดเวลา
เป็นหนอนที่ลู่เซิ่งเพิ่งเห็นตรงรอยแตกบนประตูนั่นเอง
“เจ้ามาแล้วหรือ ดูท่าทางจะมีพัฒนาการนี่ ไม่เลวๆ” เด็กสาวอ้าปาก เสียงที่พูดออกมาเหมือนกับสือจื้อซิงอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“ใต้เท้าสือจื้อซิงหรือ” ลู่เซิ่งถามพลางหยีตา
“ข้าเอง เพิ่งเปลี่ยนร่างกายไป” เด็กสาวพยักหน้าแล้วยื่นมือไปเกาที่คอคล้ายกับรู้สึกคัน หนอนสีขาวจำนวนมากหล่นลงมาเหมือนกับผงถ่านเขียนกระดาน
“ช้าเล็กน้อยตอนไปถึง ศพเลยมีหนอนขึ้นเสียแล้ว ต้องซ่อมแซมอีกหน่อยนึง ประเดี๋ยวต้องแช่น้ำฆ่าหนอนด้วย” สือจิ้งซิงยิ้มแย้ม “ไม่เจอสองปี ดูเหมือนเจ้ามีผลลัพธ์ไม่เลวนี่”
“ต้องขอบคุณท่าน” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง ครั้งนี้ต้องขอบคุณรูปสลักอีกาดำของสือจื้อซิงจริงๆ ไม่อย่างนั้นไม่ทราบว่าเขาที่ถูกกดดันให้จุติเป็นครั้งแรกจะเกิดข้อผิดพลาดอย่างไร
“ได้ใช้ก็ดีแล้ว เจ้ากลับมาพอดีทีเดียว กระทิงแห่งพลังพูดถึงเจ้าตอนที่คุยกันเมื่อวาน บอกว่าเซ่นสรวงสองครั้งแต่ไปไม่ถึง” สือจื้อซิงยิ้ม
“ข้าน้อยสะเพร่าเอง” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ประเดี๋ยวจะชดเชยให้ ครั้งนี้ที่กลับมาอยากจะขอคำชี้แนะเรื่องสำคัญจากใต้เท้าเรื่องหนึ่ง”
“อ้อ?” สือจื้อซิงเกิดความสนใจ เขตลัทธิของเขาพัฒนาอย่างรวดเร็วและมั่นคงเพราะการช่วยเหลือของลู่เซิ่ง นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่เขาให้ความสำคัญกับลู่เซิ่งถึงขีดสุด ตอนนี้ลู่เซิ่งมาขอความช่วยเหลืออย่างหาได้ยาก จึงทำให้เขานึกสนใจขึ้นมา
“เรื่องอะไร เจ้าว่ามา” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม หากสถานการณ์ความก้าวหน้าที่ลู่เซิ่งช่วยวางแผนดำเนินต่อไปอีกสองสามปี เขาอาจจะกลับเขตลัทธิเดิมได้ และทำให้ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้คันฉ่องวิญญาณที่ซ้ำเติมเขาในตอนนั้นรู้ว่าเขาสือจื้อซิงไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ
ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าทราบหรือไม่ว่าเจ้าแห่งอาวุธกับอริยะเจ้าแตกต่างกันมากที่สุดตรงไหน”
“แตกต่างกันมากที่สุดตรงไหนหรือ…พอผู้ใช้วิชาชั่วร้ายกับผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องเกิดมาก็จะอยู่ในระดับอริยะเจ้าทันที เพียงพยายามเล็กน้อยก็จะเป็นระดับดาวหยก และเทวปัญญา ส่วนพวกที่มีคุณสมบัติดีหน่อยจะกลายเป็นหัวหน้าพันธมิตรทมิฬเหมือนอย่างข้า คำถามของเจ้ากว้างเกินไป เจ้าแห่งอาวุธเป็นคำเรียกของพวกเจ้ามนุษย์โลก ความจริงแล้วพลังในขอบเขตนี้มีระดับกว้างมาก ระดับเจ้าแห่งอาวุธเป็นคำเรียกรวมๆ ของอาณาเขตที่ใหญ่ถึงขีดสุด พวกเราเรียกระดับที่ต่ำกว่าระดับเจ้าแห่งอาวุธว่าเอกภพ”
สือจื้อซิงแนะนำ “เหนือกว่าเจ้าแห่งอาวุธ จึงนับเป็นปัจเจกที่มีคุณสมบัติควบคุมโชคชะตาของตัวเองอย่างแท้จริง พวกเราเรียกว่าปฐมภพ”
“เอกภพไม่ใช่ปฐมภพ ต่อจากอริยะเจ้า คือการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณและทำให้จิตวิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ใช้จิตวิญญาณขุดค้นปฐมพลังออกมามากกว่าเดิม กระบวนการนี้เรียกว่าชูศัสตรา” จะว่าไปวิธีการฝึกฝนของเจ้าแห่งอาวุธในโลกมนุษย์ของพวกเจ้าก็ได้จากโลกมารดาของพวกเรา มารดาแห่งความเจ็บปวดอยู่บน กฎเกณฑ์ทุกกฎเกณฑ์มาจากโลกมารดา โลกมนุษย์ก็ดี พิภพมารก็ดี ล้วนเป็นเช่นนี้” สื้อจื้อซิงเล่า
“กระบวนการชูศัสตรามีความซับซ้อนมาก แต่ว่าวัตถุประสงค์โดยรวมคือการหลอมตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนอาวุธเทพจนบรรลุขอบเขตมายาพิศวง”
“มายาพิศวงหรือ” ลู่เซิ่งเพิ่งเคยได้ยินถึงขอบเขตต่อจากเจ้าแห่งอาวุธเป็นครั้งแรก พลันรู้สึกฮึกเหิม
“ต่อจากเจ้าแห่งอาวุธคือมายาพิศวง ผู้ที่สำเร็จเป็นมายาพิศวงในสามโลกมีน้อยมาก ผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงคนล่าสุดสำเร็จเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เอาล่ะ พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้ามาพอดี คนผู้นั้นแห่งอารามใบไม้ไหวกลับมาแล้ว ตอนแรกนึกว่านางจะช่วยอะไรข้าได้ น่าเสียดายที่ข้ามองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย…” สือจื้อซิงแสดงสีหน้ารำคาญใจ
“ความหมายของใต้เท้าคือ?” ลู่เซิ่งไม่แสดงสีหน้า รอคำสั่งของสือจื้อซิง
“เขตลัทธิกางเขนไม่ต้องการเจ้าลัทธิคนที่สอง” สือจื้อซิงจับผม “ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไร จงไล่นางไปให้ได้”
ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย พยักหน้าเล็กน้อย
“เข้าใจแล้ว ข้าน้อยขอตัว”
“ไปเถอะ จัดการเร็วๆ หน่อย ข้าทนนางมานานมากแล้ว” สือจื้อซิงโบกมือ แล้วยื่นมือไปเกาศีรษะอีกรอบ หนอนสีเทาที่เหมือนกับรังแคพลันร่วงลงมาจากศีรษะ แล้วกระจายลงบนโต๊ะหนังสือ
ลู่เซิ่งขานรับ ทั้งสองคุยกันอย่างละเอียดอีกสักพัก ลู่เซิ่งจึงค่อยถอยออกจากห้องและงับปิดประตูอย่างเยือกเย็น เขาระวังตัวไม่ให้เหยียบหนอนตัวใดตาย
จากนั้นจึงลงจากอาคารแล้วเดินไปยังประตูขั้นแรก ก่อนจะกลับมายังถนนบนเมืองอักขระทมิฬ
เขาเดินไปยังทิศทางของอารามใบไม้ไหวอย่างช้าๆ ตามความทรงจำ
ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว บนถนนยามกลางวันของโลกแห่งความเจ็บปวดไม่มีใครสักคนเดียว ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายกับผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องไม่ชอบทิวากาล แต่ลู่เซิ่งเป็นข้อยกเว้น
สำหรับเขาแล้ว การเคลื่อนไหวยามกลางคืนในโลกสีขาวดำมีความไม่สะดวกถึงขีดสุด ถ้าหากไม่จำเป็น เขาจะไม่เข้าโลกแห่งความเจ็บปวดในเวลากลางคืนเด็ดขาด
อารามใบไม้ไหวตั้งอยู่ด้านหลังเมืองอักขระทมิฬ เป็นตำหนักสีขาวเทาที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก สร้างจากการแกะหินขนาดยักษ์ พื้นและเสาศิลาให้ความรู้สึกหยาบกระด้างป่าเถื่อนแก่ผู้คน
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูอารามใบไม้ไหวอย่างรวดเร็ว สายตาข้ามผ่านเสาศิลาหยาบใหญ่สองแถว มองไปยังบ่อน้ำทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าในตำหนัก
น้ำสีดำพลิกในบ่อน้ำ มีศพที่แช่น้ำจนขาวพลิกตัวออกมาเป็นระยะ เห็นเส้นผมสีดำสนิทจำนวนไม่น้อยที่ไหลพันกันไปตามน้ำได้เป็นบางครั้ง
ข้างบ่อน้ำมีเงาหลังงดงามที่เปลือยร่างท่อนบนนั่งหันหลังให้แก่ลู่เซิ่ง แขนเนียนละเอียดที่เรียวเล็กขาวผ่องค่อยๆ วักน้ำสีดำส่วนหนึ่งขึ้นจากในบ่อเพื่อใช้ชะโลมร่างตัวเอง
ลู่เซิ่งทราบว่านี่คือเจ้าของอารามใบไม้ไหวที่ทำให้สือจื้อซิงปวดหัวมากที่สุด ตอนที่เขาเข้ามาในเมืองอักขระทมิฬเป็นครั้งแรก ได้เข้ามาในอารามใบไม้ไหวแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
“ขอถาม แม่นางเฮยจินอยู่หรือไม่” เขาเข้าใกล้หลายก้าว ขยับริมฝีปาก เสียงส่งไปถึงหูของสตรีโดยตรง
สตรีที่หันหลังให้แก่ลู่เซิ่งพลันชะงักการเคลื่อนไหวแล้วค่อยๆ หมุนตัวมา เผยให้เห็นใบหน้างดงามที่หยาดเยิ้มบริสุทธิ์ เพียงแต่ใบหน้านี้แฝงความทุกข์อยู่จางๆ
“ที่แท้เป็นใต้เท้าลู่เซิ่ง” นางเอ่ยอย่างราบเรียบ “ใต้เท้าสือจื้อซิงมีคำแนะนำอะไรหรือ”
“เกรงว่าจะไม่มี” ลู่เซิ่งพิจารณานางอย่างละเอียด “เพียงแต่ใต้เท้าเฮยจินทราบเจตนาในการมาเมืองอักขระทมิฬของตัวเองดี” เขาชี้เป้าหมายหลักในการมาที่นี่ของอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้ามาเกลี้ยกล่อมข้าหรือ” นางงุนงงเล็กน้อย
“ใต้เท้าเองก็ทราบว่า ด้วยขนาดและการพัฒนาของเมืองอักขระทมิฬในวันนี้ เขตลัทธิหลักไม่มีทางไม่เห็น ภายใต้แนวโน้มการพัฒนาที่โดดเด่นระดับนี้ ใต้เท้าคิดจะมาพัฒนาจากพื้นฐานเดิมเพื่อแสดงความสามารถของตัวเองที่นี่ น่ากลัวว่าจะยากยิ่งกว่ายาก ต่อให้ใต้เท้าจะได้แท่นเหยียบเพื่อขึ้นไปอีกระดับชั้นได้จากพื้นฐานนี้ แต่ของอย่างภาพประทับใจไม่ได้มีประโยชน์แค่เป็นแท่นเหยียบเท่านั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฮยจินงงงวยเล็กน้อย
“ข้าเองก็ทราบเหตุผลนี้ เพียงแต่…” เดิมทีนางไม่ได้จัดการดูแลสิ่งใด พวกผู้ใช้วิชาชั่วร้ายกับผู้ใช้คันฉ่องวิญญาณขึ้นชื่อเรื่องความไม่เป็นระเบียบ ทำอะไรตามใจชอบ คิดจะให้พวกเขาสร้างคุณูปการให้แก่การพัฒนาเขตลัทธิอย่างจริงๆ จังๆ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด
ลู่เซิ่งมองออกจากสายตาของนางว่า สตรีนางนี้ไม่ใส่ใจเบื้องหลังที่อาจอยู่ด้านหลังสือจื้อซิง ทั้งยังตั้งใจมาเด็ดลูกท้อ แสดงให้เห็นว่านางมีเบื้องหลังล้ำลึกยิ่งกว่า เขาจึงเกิดความสนใจ คิดแผนการได้ทันที
“เรื่องที่ใต้เท้าเป็นกังวลไม่นับว่าร้ายแรงอะไร ข้าน้อยอ่อนด้อยด้านพลังฝึกปรือ แต่ด้านการดูแลจัดการยังนับว่ามีประสบการณ์เล็กน้อย ถ้าหากใต้เท้าได้เขตลัทธิกันดารแห่งหนึ่งจากใกล้ๆ นี้มาได้ การสร้างผลงานจากไม่มีจนมีย่อมได้รับความสนใจจากระดับสูงได้”
เฮยจินอึ้งไป จากนั้นก็เท้าคางใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้นี้อย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งมีแผนการของตัวเอง สือจื้อซิงใกล้จะได้กลับเขตลัทธิหลักที่เก้าแล้ว และเขาก็ไม่สามารถตามไปด้วยได้ เรื่องนี้เขาได้ยืนยันกับสือจื้อซิงอย่างละเอียดแล้ว
เวลานี้ถ้าหากเฮยจินแห่งอารามใบไม้ไหวเจอเขตลัทธิใกล้ๆ นี้ได้ แล้วให้เขาช่วยสนับสนุน ก็จะรักษาสภาพเดิมต่อไปได้
นอกจากนี้แม้จะเพิ่งติดต่อกันได้ไม่นาน แต่ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เฮยจินหลอกง่ายและไร้เดียงสากว่าสือจื้อซิงมาก
“ท่าน…ช่วยข้าได้จริงๆ หรือ” เฮยจินถามอีกครั้งอย่างลังเล นางเพิ่งจะกลับมาไม่นาน แต่ว่าในเมืองอักขระทมิฬก็มีสายของตัวเองอยู่ นางได้รู้จากสายเช่นกันว่าที่เมืองอักขระทมิฬโดดเด่นขึ้นมาได้ เป็นเพราะอาศัยบุรุษตรงหน้าเป็นหลัก
แถมนางยังทราบสภาพจนตรอกของลู่เซิ่งด้วย สือจื้อซิงพาเขาไปด้วยไม่ได้ ดังนั้นถ้าเขาจะรั้งอยู่ จำต้องรอเจ้าลัทธิคนใหม่ที่อาจมาถึง แล้วถ้าเกิดว่าเจ้าลัทธิไม่ชอบขี้หน้าเขาล่ะ…
“ท่านวางใจเถอะ ขอแค่ท่านสร้างวิถีขึ้นได้ก็พอ” ลู่เซิ่งยิ้ม
เฮยจินจ้องมองเขาอย่างตั้งใจพักหนึ่ง
“ถ้าหากท่านทำได้จริงๆ อย่างนั้นสิ่งที่สือจื้อซิงมอบให้ท่าน ข้าสามารถให้ได้เช่นกัน แถมยังมีมากกว่า”
ในที่สุดนางก็หวั่นไหวแล้ว
ความจริงนางเป็นบุตรีของผู้ยิ่งใหญ่ในเขตลัทธิที่เก้า เพียงแต่เป็นเพราะมาลงหลักปักฐานสร้างอารามขึ้นที่เมืองอักขระทมิฬโดยไม่ได้ตั้งใจ และติดปัญหาด้านตำแหน่งและสถานะ ตอนนี้หากนางคิดจะกลับไป กลับมีความยุ่งยากบ้างแล้ว
“ประตูสามพิภพกำลังจะเปิด โอกาสครั้งนี้ข้าจะพลาดไปไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้น ข้าขอให้ท่านช่วยสร้างผลงานให้ข้าในระยะเวลาสิบสองปี” เฮยจินอธิบาย
“เหตุใดต้องเป็นสิบสองปี” ลู่เซิ่งงง
“เป็นเพราะ…อีกสิบสองปีจะเป็นเวลาที่ประตูสามพิภพเปิดออก” เฮยจินกล่าวอย่างราบเรียบ “ถึงเวลานั้น ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องจากโลกมารดาจะกรูกันเข้าไป โลกมนุษย์ก็ดี พิภพมารก็ดี จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดสารอาหารชั้นยอด หากไม่มีผลงานมากพอ ข้าจะไม่สามารถบอกให้ครอบครัวสนับสนุนให้ข้าแย่งชิงทรัพยากรอย่างสุดกำลังได้”
ลู่เซิ่งไม่แสดงสีหน้า แต่ในใจกลับตื่นตระหนก
สิบสองปี!? เขารู้แล้วว่ามหาภัยพิบัติคืออะไรกันแน่ เป็นการที่ประตูซึ่งเชื่อมโลกแห่งความเจ็บปวดเข้ากับโลกมนุษย์และพิภพมารถูกเปิดออก แล้วผู้ใช้วิชาชั่วร้ายกับผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องจำนวนมากกรูกันออกจากประตู เพื่อใช้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเซ่นสรวงบูชาอาวุธเทพ
นี่เป็นมหาภัยพิบัติของฟ้าดินธรรมชาติ ดังนั้นโลกมนุษย์และพิภพมารถึงได้เกิดการต่อสู้ขนาดใหญ่ เป้าหมายก็เพื่อหยุดยั้งการเปิดประตูแห่งความเจ็บปวด ความจริงมนุษย์และมารล้วนเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายในภัยพิบัติครั้งนี้
และตอนนี้ มหาภัยพิบัติกำลังจะมาถึงในอีกแค่สิบสองปีอย่างนั้นหรือ
……………………………………….