ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 507 ชิงวิญญาณ (1)
บทที่ 507 ชิงวิญญาณ (1)
ในต้าอิน แม้ว่าใบไม้ทองคำ ดาวหยก เทวปัญญาจะเป็นแค่ระดับสามระดับง่ายๆ แต่กลับเป็นตัวแทนระดับสามระดับที่เข้าใกล้เจ้าแห่งอาวุธมากที่สุดของมนุษย์
อริยะเจ้ามีอานุภาพแข็งแกร่ง จิตวิญญาณบิดเบือนธรรมชาติและหลอกลวงพลังกำเนิดได้ ถ้าหากให้เทียบจริงๆ ระดับใบไม้ทองคำก็เหมือนกับคนที่ใช้ปืนกลมือยิงกราดไปทั่ว ส่วนระดับดาวหยกเป็นยอดฝีมือด้านปืนที่มีความเข้าใจต่อปืนกลมือถึงขีดสุด ทั้งยังเคยได้รับการฝึกฝนที่เฉพาะเจาะจงมาก่อน
ส่วนระดับเทวปัญญาอันเป็นระดับสุดท้าย แม้จะใช้ปืนกลมือเหมือนกัน แต่กระสุนที่ยิงออกมากลับกลายเป็นระเบิดที่ขับเคลื่อนด้วยจรวดโดยอัตโนมัติ…ความแตกต่างไม่อาจเอามาเทียบเคียงกันได้
‘เจ้าเด็กนี่เพิ่งเลื่อนระดับได้ไม่นาน กลับไต่เต้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ชาติก่อนมันเป็นสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่!?’ ซูหนิงเฟยใช้สมองตรึกตรองอย่างรวดเร็ว แต่กลับนึกไม่ออกว่าอริยะเจ้าคนไหนมีลักษณะการต่อสู้เหมือนอย่างลู่เซิ่ง
คิดไปคิดมา นางก็ยกมือเสกกล่องใบเล็กที่สลักลวดลายงูเขียวและใบไผ่ออกมา “นี่คือของชดเชย ของวิเศษไร้สาระอะไรของเจ้านั่นสร้างขึ้นจากวัตถุดิบธรรมดาๆ เท่านั้น เอามาปะทะกับอาวุธเทพตรงๆ ไม่ถูกทำลายสิถึงแปลก ไม่มีครั้งหน้าแล้วนะ!”
ลู่เซิ่งยิ้มๆ แล้วรับกล่องมาโดยไม่พูดอะไร พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเบาบางของอาวุธเทพที่แผ่กระจายออกมาอย่างเลือนรางจากด้านใน สมกับเป็นซูหนิงเฟยอริยะเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดจริงๆ พอลงมือก็เป็นอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำทันที
จากนั้นเขาก็เก็บของ ก่อนจะกวาดตามองประมุขถ้ำมังกรทองที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ด้านข้าง แล้วทะยานร่างขึ้นจากไปยังที่ไกล ในเมื่อซูหนิงเฟยมาด้วยตัวเองแล้ว อย่างนั้นเขาอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์อีก กลับไปใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่รีบศึกษาการยกระดับพลังดีกว่า
มหาภัยพิบัติกำลังจะมาถึง หากเขาไม่อยากจะกลายเป็นเถ้าธุลี และไม่อยากล่องลอยไปตามกระแสในต้าอิน พิภพมาร และโลกแห่งความเจ็บปวด จะต้องครอบครองพลังที่ตั้งตนเป็นอิสระได้
ถ้าไม่สำเร็จเป็นเจ้าแห่งอาวุธ สุดท้ายก็ได้แต่เป็นหมากตัวหนึ่ง
เป้าหมายของเขาต่อจากนี้ คือการสั่งสมจิตวิญญาณ และรอการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติเพื่อทะลวงสู่ระดับเจ้าแห่งอาวุธ
ลู่เซิ่งค้นหาบริเวณใกล้ๆ อีกสักพัก ก่อนจะกำจัดโจรภูเขาส่วนหนึ่งที่ถูกชักนำมา ไม่นานเขาก็พบสถานที่ผิดปกติแห่งหนึ่ง
นอกจากประมุขถ้ำมังกรทองแล้ว ที่แห่งนี้ยังได้จัดวางค่ายกลและอักขระค่ายกลไว้หลายชั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เบื้องหลังคล้ายมีคนรู้จักเขาดีถึงขีดสุด ค่ายกลทั้งหมดจึงมีเป้าหมายเดียว นั่นคือการส่งตัว
ส่งตัวเขาไปยังสถานที่อื่นๆ ไม่ใช่ประเภทป้องกันโจมตี
นอกจากนี้ค่ายกลส่วนหนึ่งในนี้ยังเหมือนกับตั้งไว้เพื่อโอบล้อมโดยใช้ตำแหน่งที่เขาสกัดประมุขถ้ำมังกรทองเมื่อก่อนหน้าเป็นศูนย์กลางด้วย
เพียงแต่เหมือนกับค่ายกลเหล่านี้ตั้งขึ้นอย่างรีบเร่ง คล้ายกับยังไม่ทันได้เปิดใช้ ก็ละทิ้งไปอย่างกะทันหัน
‘น่าสนใจ…ถ้าหากซูหนิงเฟยมาไม่ทัน หลังจากเรากำจัดพวกประมุขถ้ำมังกรทองทิ้งแล้ว ค่ายกลเหล่านี้จะทำงานและโอบล้อมเราไว้ทันที น่าเสียดายเรามาเร็วเกินไป แถมซูหนิงเฟยยังโผล่มาอย่างกะทันหันอีก ทำให้พวกเขาประเมินพลังการต่อสู้ตามความเป็นจริงของทางเราผิดไป เลยตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างทันที‘
หลังลู่เซิ่งตรวจสอบค่ายกลเสร็จ พลันรู้สึกได้ว่าผู้สั่งการที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่างนี้วางแผนว่าหากโจมตีไม่สำเร็จก็จะหลบหนีพันลี้ทันที
‘ตัดสินใจเด็ดขาดมาก ค่ายพยุหะ ธงค่ายกล และทรัพยากรมากมายแบบนี้ คิดจะทิ้งก็ทิ้งทันที ฝีมือเหี้ยมโหด ขายพวกประมุขถ้ำมังกรทองทิ้ง แถมยังใช้ทั้งสองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อทำให้แผนการที่มีมากกว่านี้สำเร็จ’
เขานึกฉงนเล็กน้อย ครั้งนี้เบื้องหลังมีคนคิดเล่นงานตนอยู่
น่าเสียดาย เขาวนอ้อมรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เจอว่ารอบๆ มีร่องรอยอะไร
แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายรู้จักตัวเขาเป็นอย่างดี ทำให้รอบๆ นี้ไม่ทิ้งเบาะแสอะไรเอาไว้แม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งจึงทำลายค่ายกลด้วยความจนปัญญา แล้วหมุนตัวกลับสำนักมารกำเนิด ไม่ว่าใครกำลังเล็งเล่นงานเขาอยู่ รอมีโอกาส จะต้องโดดออกมาเองแน่นอน
…
เรื่องของซูหนิงเฟยจัดการเรียบร้อยแล้ว ในตอนที่ลู่เซิ่งกลับมาก็ได้ยินว่าซูย่วนย่วนได้รับการช่วยเหลือแล้ว ครั้งนี้เขาเพียงเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น ความจริงที่เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกส่งแผ่นหินให้ เป็นเพราะต้องการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซูหนิงเฟยเท่านั้น
ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่
ซูหนิงเฟยพาซูย่วนย่วนไปกักตนฝึกฝน ต้าอินไม่เกิดความวุ่นวายอะไรอยู่ชั่วขณะ ลู่เซิ่งได้ไปโลกแห่งความเจ็บปวดอีกรอบ เฮยจินหาเมืองเล็กๆ ที่กันดารแห่งหนึ่งใกล้ๆ ได้แล้ว เป็นเมืองที่มีชื่อว่าเมืองแห่งแสง
ในเมืองมีผู้ใช้ชีวิตชั่วร้ายสามคน มีผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องหนึ่งคน ที่เหลือล้วนเป็นพวกความประหลาดลี้ลับและผีป่าวิญญาณไร้ญาติ
โลกแห่งความเจ็บปวดมักมีความประหลาดลี้ลับที่อธิบายไม่ได้ดำรงอยู่ พวกมันคล้ายกับพวกที่อยู่ในโลกมนุษย์ตรงที่เป็นอมตะ ถ้าหากโดนทำลาย ผ่านไประยะหนึ่งก็จะเกิดออกมาใหม่
แต่ว่าระดับชั้นความเจ็บปวดที่พวกมันอยู่นั้นแตกต่างกัน หากความเจ็บปวดไม่ถึงระดับหนึ่ง ก็จะสัมผัสการดำรงอยู่ของพวกมันไม่ได้
ลู่เซิ่งสัมผัสและค้นพบได้ในตอนที่ชดเชยพิธีเซ่นสรวงหลายครั้งที่ขาดไป
หลังจากช่วยเฮยจินวางแผนการอย่างละเอียดและพัฒนาต่อแล้ว ลู่เซิ่งก็ช่วยนางลาดตระเวนรอบๆ และฆ่าสัตว์ประหลาดรวมถึงความประหลาดลี้ลับที่เพ่นพ่านอยู่ใกล้ๆ จนหมด จากนั้นจึงค่อยศึกษาแผ่นหินกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับเริ่มเตรียมการจุติครั้งที่สาม
เวลาสิบสองปีไม่ยาวไม่สั้น ถ้าหากเลือกได้ดี อาจจะเลือกไปยังโลกด้านนอกที่มีเวลาแตกต่างกันมากได้ ไม่แน่จะใช้ความแตกต่างทางเวลาทำความเข้าใจแผ่นหินกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้
ดังนั้นครั้งนี้ลู่เซิ่งที่มีประสบการณ์แล้วจึงเริ่มปรับปรุงค่ายกลจุติ และทิ้งลวดลายค่ายกลบางส่วน เพื่อดำเนินการปรับปรุงอีกรอบ
ตอนนี้การฮุบกลืนอาวุธเทพเพียงอย่างเดียวไม่มีแรงดึงดูดต่อเขาอีกแล้ว การฮุบกลืนตัวตนในโลกใบอื่นผ่านการจุติจึงเป็นวิธีการฝึกฝนที่ยกระดับได้เร็วที่สุด
หลังจากที่ศึกษาคัมภีร์ฟ้าน้ำแข็งสี่ฤดูจนทะลุปรุโปร่งอีกครั้ง ลู่เซิ่งก็ดำเนินการแก้ไขครั้งใหญ่ และจำกัดความเร็วในการไหลของเวลาไว้ที่ระหว่างหนึ่งต่อสิบและหนึ่งต่อห้าสิบสำเร็จ
ส่วนจะไปโลกใบไหน นั่นก็บอกไม่ได้แล้ว
แต่ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า โลกใดที่เวลาไหลเร็ว วัฏจักรของพลังงานก็จะไหลเร็วตามไปด้วยเช่นกัน สองสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันแบบแปรผันตรง แต่ในขณะเดียวกัน ระดับการจำกัดพลังงานในโลกแบบนี้ก็ไม่สูงมากเช่นกัน
ดังนั้นหากพิจารณาหลายๆ ปัจจัยแล้ว การเลือกโลกที่เหมาะสมที่สุดจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น
หลังจากวิจัยเป็นเวลาหลายเดือน ในที่สุดค่ายกลจุติแบบใหม่ก็เสร็จสมบูรณ์
และลู่เซิ่งก็เริ่มการจุติครั้งที่สาม
…
ครืน…
จุดแสงสีฟ้าเล็กๆ กับเกล็ดสีแดงเข้มกระจัดกระจายไปทั่วตำหนักวิจัย เหมือนกับแผ่นกระดาษที่ถูกฉีกจนกระจายเวียนว่อน
ลู่เซิ่งยืนอยู่กลางค่ายกลตรงกลางตำหนักใหญ่ มือถือกล่องใบเล็กหลายใบที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว กล่องพวกนี้เป็นวัตถุชนิดพิเศษที่ครั้งนี้จะนำไปด้วยกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้เจอโลกที่มีกฎแตกต่างมากเกินไป เขาจึงได้เตรียมทรายทองและศิลาวิเศษระดับพื้นฐานที่เรียบง่ายที่สุดซึ่งผู้คนพากันใช้มาเพิ่มเติม ในตอนที่เจอโลกพิเศษ มันจะมีประโยชน์ ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน มันก็ไม่ได้เริ่มต้นจากความว่างเปล่า
“ตะวันออก 12.33 ตะวันตก 13.16 เหนือ 20.00 ใต้ 9.47”
“หลังปรับแต่งเพื่อจำกัดอาณาเขตแล้ว ให้ใส่พลังเทวลักษณ์เข้าไป”
ลู่เซิ่งยื่นหลังมือออกมา เทวลักษณ์บนหลังมือส่องแสงสีฟ้า เทวลักษณ์นี้ไม่ได้อ่อนแอลงเลยเมื่ออยู่ในต้าอิน ยังคงมีพลังทำลายล้างที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเหมือนเดิม จะเห็นได้ว่าระดับพลังงานของมันอยู่สูงสุดขีด
ลู่เซิ่งค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจในการทดลองครั้งหนึ่งว่า หากใส่เทวลักษณ์เข้าไปในค่ายกลจุติเสมือนว่าเป็นวัตถุดิบพิเศษ จะสร้างความเสถียรให้แก่ประสิทธิผลและโครงสร้างของค่ายกลได้
ดังนั้นเทวลักษณ์วารีลี้ลับจึงกลายเป็นห่วงโซ่สำคัญในการกระตุ้นค่ายกลจุติของเขาไปโดยปริยาย และเป็นเพราะมีมัน เขาจึงหดอาณาเขตของโลกที่จะจุติจนอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้อย่างใหญ่หลวง
พร้อมกับที่ลู่เซิ่งอ่านภาษาอักขระสำหรับปรับแต่งข้อมูลผ่านวิธีการสั่นสะเทือนโดยใช้เสียง ค่ายกลที่อยู่ใต้ดินของตำหนักวิจัยก็ค่อยๆ เริ่มส่องแสงสีแดง รังสีแสงเต้นระริกเหมือนกับเปลวไฟที่ลุกไหม้ คล้ายจะเห็นเงามายาของสัตว์ประหลาดตัวเล็กๆ บางส่วนกำลังแยกเขี้ยวกางเล็บได้อย่างเลือนรางจากด้านใน
“หาที่ตาย!” ลู่เซิ่งส่งจิตวิญญาณออกไป ลวดลายงูมีปีกสีแดงเข้มสว่างขึ้นกลางหว่างคิ้ว
ตูม!
เกิดเสียงทึบหนัก เงาสัตว์ประหลาดทั้งหมดในตำหนักวิจัยหายไป พวกมันหลอมละลายเข้ากับรังสีแสงพร้อมกับร้องโอดโอย
‘ดันเจอหนอนมิติเวลาเข้าซะแล้ว…ตามบันทึกของคัมภีร์ฟ้าน้ำแข็งสี่ฤดู มีแค่ตอนที่มิติเวลาแตกต่างกันถึงระดับหนึ่งเท่านั้น ถึงอาจจะเกิดปรากฏการณ์แบบนี้’
ลู่เซิ่งมองลวดลายค่ายกลที่กำลังส่องแสงอยู่ใต้ฝ่าเท้า
‘ตามบันทึก ในมิติเวลามีสิ่งมีชีวิตที่มีสังคมแม่เป็นใหญ่อย่างเช่นพวกหนอนอาศัยอยู่ พวกมันดำรงชีวิตด้วยการกินเวลาและอายุขัยของสิ่งมีชีวิตที่ข้ามมิติและย้อนอดีตเป็นอาหาร หนอนมิติเวลาเป็นหนึ่งในนั้น นึกไม่ถึงว่าเราจะเจอเข้า…’
ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวจิตวิญญาณ พลังจิตไร้รูปร่างหมายจะควานหาซากของหนอนมิติเวลาบางส่วน แต่ซากทั้งหมดถูกพลังงานของค่ายกลที่ไหลเชี่ยวชำระล้างจนหายไปหมดแล้ว
“น่าเสียดาย…มีแต่ต้องรอครั้งหน้าค่อยว่ากัน” ขณะที่เขาบ่นเสียดาย ค่ายกลจุติพลันระเบิดแสงสีแดง เกล็ดน้ำแข็งสีแดงและสีฟ้าเปล่งแสงสีทองตามไปด้วย
ชิ้ง!
มิติเหนือค่ายกลแตกออกเป็นช่องสีเทาอย่างฉับพลัน ร่างของลู่เซิ่งถูกแสงสีขาวห่อหุ้มไว้ ก่อนจะพุ่งเข้าไป แล้วหายไปในพริบตา
ช่องสีเทาเปิดออกชั่วอึดใจเดียว รอลู่เซิ่งเข้าไปแล้ว มันก็หุบปิดลงอย่างกะทันหัน ใช้เวลาทั้งหมดไม่เกินครึ่งวินาที
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อยภายใต้การจัดการและการคำนวณอย่างแม่นยำของค่ายกลจุติ แม้จะเปิดใช้เพียงชั่วครู่ แต่มันก็หดขนาดและควบคุมพื้นที่ให้อยู่ในขอบเขตเล็กๆ แรงกดดันที่ลู่เซิ่งได้รับ และภาระที่ค่ายกลได้รับ ล้วนลดลงอยู่ในระดับที่น่าดูชม ทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยและความเสถียรได้ถึงจุดสูงสุด
…
อาทิตย์อัสดงสีเหลืองมัวซัวสาดส่องด้านในเมืองที่เก่าแก่และเงียบสงัด
บนถนน ด้านในคอกม้า ด้านในโรงเหล้า ด้านในโรงแรม ไม่มีใครสักคนเดียว ฝุ่นกับหมอกลอยอยู่กลางอากาศ
“โรแซง ยังจำที่นี่ได้ไหม” เสียงแปลกหูดังมาจากใกล้ๆ
โรแซงมองทุกสิ่งตรงหน้าอย่างสับสน ก่อนจะตอบอย่างไม่รู้ตัว
“ทีนี่คือ…เมืองลมอินทรี…บ้านเกิดของข้า…”
“ใช่แล้ว…เป็นบ้านเกิดของข้าเช่นกัน” เสียงนั้นดังมาจากด้านขวา โรแซงพลันหันไปมอง
เขาเห็นบุรุษร่างกำยำสูงใหญ่คนหนึ่ง เป็นบุรุษที่ไว้เคราข้างแก้มท่าทางกร้านโลก อีกฝ่ายกำลังมองไปด้านหน้าอย่างสงบนิ่ง แต่ไม่ว่าใครก็เห็นความอัดอั้นที่สะกดไว้ในความสงบนิ่งนั้นได้
บุรุษผู้นั้นตัดผมสั้นเกรียน ทำให้ดูเหมือนผ่านประสบการณ์มาโชกโชน สวมเสื้อแขนสั้นสีดำ แบะอกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น กล้ามเนื้อสีทองแดงสะท้อนแสงมันวาวใต้อาทิตย์อัสดงสีเหลืองมัวซัว
“โรแซง เจ้าต้องจำทุกสิ่งนี้ไว้ให้ดี” บุรุษเอ่ยเสียงขรึม เห็นได้ชัดถึงความจงเกลียดจงชัง
“จงจำที่แห่งนี้ไว้…จงจำสถานที่ที่เคยเป็นของพวกเรา แต่กลับทำลายพวกเราแห่งนี้เอาไว้”
“ข้าจำไว้แล้ว” โรแซงไม่ได้รู้สึกว่าริมฝีปากตัวเองขยับแท้ๆ แต่เสียงกลับพูดออกมาเอง
“ไปเถอะ ไปทำให้ทุกอย่างจบกัน” บุรุษผู้นั้นสาวเท้าผละจากด้านข้างเขาไปด้านหน้า มุ่งหน้าไปหาเมืองร้างแห่งนั้น
ฮือ!
ทันใดนั้นเกิดเสียงแหลมคมดังขึ้นกลางท้องฟ้า
……………………………………….