ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 515 เจ็บปวด (1)
บทที่ 515 เจ็บปวด (1)
ฟู่ว…
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในกองฟางหลังรถม้า เงยหน้าพ่นลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง
อากาศเปลี่ยนแปลงไปมาเหมือนใบหน้าของเด็ก ก่อนหน้านี้ยังเป็นสีครามสดใส มาตอนนี้กลับอึมครึมมืดมัว
ครืนๆ…
ท้องฟ้าเกิดเสียงฟ้าร้อง คล้ายกับฝนใกล้จะตกแล้ว
‘ถึงเวลากินยาแล้ว’
ลู่เซิ่งลุกขึ้นพร้อมกับถอนใจ
เขาเบื่อรสสตอเบอร์รี่แล้ว
ลู่เซิ่งหยิบขวดโลหะเล็กๆ สีดำใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าอย่างคุ้นเคย แล้วเปิดฝาถอดจุกไม้ออก ก่อนจะเงยหน้าดื่มอึกๆ ลงไปทั้งหมด
หลังจากได้สูตรยามาจากเวรอน เขาก็ได้โดยสารรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังเมืองชะมดต้นมาเป็นวันที่สามแล้ว
ลู่เซิ่งวางขวดลง แล้วเรอออกมาครั้งหนึ่ง ตอนนี้ร่างกายเขาแข็งแกร่งพอแล้ว การยกระดับครั้งหนึ่งจำเป็นต้องดื่มหลายขวด นอกเสียจากเขาเพิ่มความเข้มข้นถึงระดับที่มากพอ
เขาพลันคิดถึงยาขวดที่เวรอนส่งให้เขาเมื่อไม่นานมานี้ ดื่มแค่คำเดียวก็ยกระดับขึ้นสองระดับทันที มีประสิทธิผลมาก
ไหนเลยจะเหมือนกับน้ำยาที่เขาปรุงเอง ความเข้มข้นย่ำแย่เกินไป อย่างน้อยต้องดื่มสามสิบขวดในครั้งเดียวถึงจะเลื่อนระดับได้ นี่เป็นขั้นตอนที่ทุกข์ทรมานสำหรับลู่เซิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
‘ดูเหมือนว่าหลังจากได้สูตรยามา จะต้องกลับไปต้มยาเพื่อเพิ่มความเข้มข้นก่อนถึงจะใช้ได้ คราวนี้ทำปริมาณสำหรับคนหลายร้อยคนดื่มในทีเดียวเลย ยกระดับไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป แถมยังต้องเปลี่ยนรสชาติด้วย’ จากนั้นลู่เซิ่งก็โยนขวดเปล่าในมือทิ้งอย่างรังเกียจ เขาเอียนกับรสสตอเบอร์รี่เต็มทน
โลกนี้ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับเขา ยาพวกนี้ไม่มีคุณค่าสำหรับการพิจารณา แถมศาสตร์เรื่องยาก็ไม่ใช่ขอบเขตที่เขาถนัดอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาเชี่ยวชาญด้านยา กฎพื้นฐานของโลกแต่ละใบก็แตกต่างกัน หากเอาของของที่นี่ไปไว้ที่ต้าอินหรือโลกแห่งความเจ็บปวด คงจะใช้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง การยกไปทั้งดุ้นก็ยากลำบากเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงคิดจะทำให้ความปรารถนาของโรแซงเป็นจริง เพื่อให้การจุติครั้งนี้สำเร็จโดยเร็ว
‘หลับอีกสักงีบก็แล้วกัน การหลับเป็นวิธีการฆ่าเวลาที่ดีที่สุด’ ลู่เซิ่งเงยหน้าทิ้งตัวเข้าไปในกองฟางอีกครั้ง กองฟางที่ตากแสงอาทิตย์จนแห้งให้ความรู้สึกสุขสบายยามนอน ร่างเขาจมลงไปจนเกิดเสียงแซ่กๆ กองฟางถูกกดจนบุ๋มเป็นหลุมใหญ่
“ไม่ต้องนอนแล้วเจ้าหนุ่ม ใกล้จะถึงแล้ว อีกเดี๋ยวก็จะถึงเมืองชะมดต้นแล้ว” ชายชราไว้เคราสั้นซึ่งเป็นสารถีของขบวนรถที่ขับรถอยู่ด้านหลังกล่าวกับลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้ม
“เห็นเขาลูกเล็กด้านหน้านั้นไหม ผ่านเขาลูกนั้นไปก็จะเป็นอาณาเขตของเมืองชะมดต้นแล้ว ชะมดต้นที่ขึ้นทั่วป่าทั่วเขา งดงามมากเลยล่ะ”
“อย่างนั้นหรือ จะถึงแล้วเหรอเนี่ย” ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้วหันไปมองด้านหน้ารถม้า
เป็นอย่างที่คาด ผิวถนนด้านหน้าที่ไม่ราบเรียบเท่าไหร่หักเลี้ยวไปทางซ้าย หลังผ่านทางโค้งไประยะหนึ่ง ก็ค่อยๆ ปรากฏเขาลูกเล็กขนาดเท่าเนินเขาที่ไม่ใหญ่มาก
ขบวนรถไต่ขึ้นเนินเขาอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ก็เข้าไปอยู่ในกลางดงพืชพรรณสีเขียวอมเหลืองกลุ่มใหญ่
รอบๆ มีแค่สีเขียวอมเหลือง เหมือนกับมหาสมุทรสีเขียว
พืชพรรณชนิดนี้ดูเหมือนกับข้าวสาลี แต่ส่วนยอดมีดอกไม้ดอกเล็กๆ สีเหลืองอ่อน เห็นพวกมันขยับไหวตามสายลมได้จากที่ไกลๆ
ฮัดชิ้ว!
ในขบวนรถมีคนจามออกมาอย่างอดไม่ได้ สายลมของที่นี่มีเกสรดอกไม้กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก
ขบวนรถลดความเร็วลงขณะเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ไม่นานป้อมปราการขนาดใหญ่ที่เหมือนกับปลายสามง่ามก็โผล่ขึ้นด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
รอบๆ ป้อมปราการสีเทาไม่มีสิ่งก่อสร้างกับเขตถนนสำหรับระวังป้องกัน รอบนอกเป็นที่นาผืนใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ถูกต้นชะมดต้นที่เหมือนกับท้องทะเลโอบล้อมไว้ตรงกลาง
“ที่นี่สวยจริงๆ” ในขบวนรถมีเสียงผู้หญิงพึมพำเบาๆ
ลู่เซิ่งกลับสังเกตเห็นคนชราที่เหมือนกับนักวิชาการส่วนหนึ่งกับนักเรียนหลายคนกำลังเก็บอะไรบางอย่างอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นต้นชะมดต้น
‘หวังว่าครั้งนี้จะได้อะไรดีๆ กลับมาบ้าง’ เขาเกิดความคาดหวังส่วนหนึ่งที่อธิบายไม่ได้ในใจ
ขบวนรถเข้าไปในเขตรอบนอกของเมือง ก่อนจะหยุดลงเพราะมีทหารยามหลายคนเข้ามาตรวจสอบ
หลังจากได้รับการตรวจสอบ ลู่เซิ่งก็เข้าไปในเมืองชะมดต้น ไม่จำเป็นต้องตามหา เขาก็เห็นสถานศึกษาแบมบาซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างทรงหอคอยสูงสามต้นอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองชะมดต้นคือสถานศึกษาแบมบา ความจริงสถานศึกษาแห่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเมืองชะมดต้นขึ้นมา
เนื่องจากว่าต้นชะมดต้นที่เหมือนกับท้องทะเลเหล่านี้เป็นสิ่งที่สถานศึกษาแบมบาเพาะปลูก ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ภายหลังสถานศึกษาดึงดูดคนมามากมาย บวกกับคุณค่าของมัน ในทางยุทธศาสตร์จึงทำให้มีการสร้างป้อมปราการสำหรับกองทัพขึ้น
ลู่เซิ่งถามทางจากคนสองสามคน ไม่นานก็ไปถึงประตูใหญ่ของสถานศึกษาแบมบาที่มีขนาดเท่ากับเมืองเล็กๆ
หลังจากมอบจดหมายแนะนำของเวรอนให้ยามเฝ้าประตูดู และแจ้งศาสตราจารย์เคอเค่ออันด้าแล้ว เขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
ลู่เซิ่งเจอเคอเค่ออันด้าในสิ่งก่อสร้างสามชั้นทรงหกเหลี่ยมข้างหอคอยสูงแห่งหนึ่ง โดยไม่ได้สังเกตสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของสถานศึกษาแห่งนี้มากนัก
ทั้งสองคนเจอกันในห้องเย็นเยียบที่มีอุปกรณ์ทดลองและวัสดุมากมายวางอยู่
“ดีใจเหลือเกินที่เวรอนมีโอกาสมาขอให้ข้าช่วยสักที ข้านึกมาตลอดว่าชั่วชีวิตนี้คงช่วยอะไรเขาไม่ได้แล้ว เขากับข้าเป็นเพื่อนตายที่เติบโตด้วยกันมา ดังนั้นเจ้าเรียกข้าว่าอันด้าก็พอ” เส้นผมของศาสตราจารย์อันด้ากลายเป็นสีขาวแล้ว มองไปอย่างน้อยมีอายุหกเจ็ดสิบปี
นี่ทำให้ลู่เซิ่งนึกถึงเวรอนที่ยังหนุ่มแน่น ทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่โตมาด้วยกัน น่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง
“เจ้าน่าจะรู้ว่า คนที่ฝึกฝนเป็นประจำจะหนุ่มกว่า นี่คือทฤษฎี” ศาสตราจารย์ชรายักไหล่ “ความจริงเจ้าเวรอนอายุเจ็ดสิบสองปีแล้วล่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง…” ลู่เซิ่งยิ้ม
“นั่งสิ ข้าอ่านเนื้อความในจดหมายแล้ว พ่อเจ้าเคยช่วยเหลือเวรอน ดังนั้นเจ้าเสนอเงื่อนไขในขอบเขตที่กว้างที่สุดที่ข้าทำได้มาได้เลย ตราบใดที่ไม่ขัดกับจริยะธรรมและอุดมการณ์ของข้า ข้าจะช่วยเจ้าสุดกำลัง” ศาสตราจารย์อันด้ากล่าวอย่างจริงจัง
“งั้นข้าขอพูดตรงๆ ก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งนั่งลง “ข้าต้องการสูตรยาทั้งหมดที่ท่านมีอยู่ ท่านรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดคือสูตรยาอะไร”
“อ้อ สูตรยาเหรอ” ศาสตราจารย์อันด้างุนงง “ได้สิ แต่อภัยด้วยที่ข้าต้องขอพูดตรงๆ ว่า ถ้าหากสูตรยาเหล่านี้ไม่มีวิธีการฝึกฝนที่เข้าคู่กัน ก็จะเป็นได้แค่ยาพิษร้ายแรงเท่านั้น เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะเอาสูตรยาทั้งหมดจริงๆ” เขาเว้นเล็กน้อย “ความจริงแล้ว จากการวิจัยเป็นเวลาหลายปีของข้า คุณสมบัติของสูตรยาพวกนี้ไม่มีความพิเศษอะไรเลย ในอดีตพวกมันเป็นแค่ยาพิษธรรมดาๆ เท่านั้น หลักๆ เป็นเพราะการกำเนิดของวิธีการฝึกฝน จึงทำให้พวกมันมีประโยชน์ในด้านการต่อสู้
พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าเจ้าจะเจอสูตรยาพิษสูตรไหน ขอแค่สร้างวิธีการฝึกฝนที่เข้าคู่กันได้ ก็จะดื่มได้ตามใจเลย”
“อ้อ” ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงว่าจะมาได้ยินคำพูดเช่นนี้ “ท่านหมายความว่า ความจริงแล้วน้ำยาพวกนี้เป็นยาพิษธรรมดาๆ เท่านั้นหรือ” เขาเน้นเสียงที่คำว่าธรรมดาๆ
“ตามการวิจัยของข้า เป็นเช่นที่เจ้าว่า ก่อนที่สำนักกระแสหลักๆ จะผงาดขึ้น ยาพวกนี้เป็นยาลับในราชสำนักที่เอาไว้ฆ่าคนเท่านั้น ภายหลังจึงค่อยๆ พัฒนาจนมีวิธีใช้เหมือนอย่างตอนนี้ ถ้าเจ้าต้องการ ข้าเอารายการตรวจสอบจากการวิจัยล่าสุดให้เจ้าได้นะ ข้าได้สรุปสูตรยาพิษที่มีผลกระตุ้นและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายเอาไว้หนึ่งร้อยแปดสิบชนิด ขอแค่มีวิธีการฝึกฝน พวกมันจะกลายเป็นพื้นฐานให้กับสำนักแต่ละสำนักได้ทั้งนั้น” ศาสตราจารย์ชรากล่าวอย่างเรียบเฉย
“แต่ว่า…” เขาพลันหยุด เหมือนนึกอะไรออก ดวงตามืดมนและเหนื่อยล้า “ที่เจ้ารู้จักกับเวรอน…หรือจะเป็นเพราะที่แห่งนั้น…”
“สูตรยาพวกนี้ให้ข้าได้หมดเลยหรือ” ลู่เซิ่งอึ้งงัน ก่อนจะยินดี แต่พอได้ยินคำถามต่อมา เขาก็เยือกเย็นลง “ต้องเป็นเพราะเมืองนั้นอยู่แล้ว”
เคอเค่ออันด้าขมวดคิ้ว แล้วลุกขึ้นไปพลิกหาอะไรในลิ้นชักของตู้หลังหนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาเอกสารปึกหนาออกมา ด้านในกระเป๋าหนังวัวสีน้ำตาลบรรจุกระดาษต้นฉบับปึกหนาเอาไว้
เขาดึงกระดาษออกมาจากด้านในอย่างตั้งใจ พอหยิบออกมาได้ราวๆ สิบกว่าแผ่นแล้ว ค่อยยื่นส่งให้ลู่เซิ่ง
“เอาไปเถอะ ในนี้นอกจากบางสูตรที่วัตถุดิบบางอย่างหายากแล้ว ส่วนใหญ่สามารถซื้อหาจากร้านขายยาได้ง่ายๆ ไปร้านขายยาที่คนตะวันออกเปิดจะหาได้ครบกว่า”
“ขอบคุณมาก” ลู่เซิ่งรับมาดู มีแต่สูตรยาแน่นขนัดที่เขียนด้วยตัวหนังสือเล็กๆ
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะเอาไปทำอะไร อาจจะเป็นเพราะเจ้าคิดจะไปรับมือสัตว์ประหลาดพวกนั้นก็ได้” เคอเค่ออันด้านวดหว่างคิ้ว “ข้าศึกษาสถานที่แห่งนั้นมาสิบปี ทั้งยังสะกดรอยตามสัตว์ประหลาดพวกนั้นอย่างเฉพาะเจาะจงอีกยี่สิบปี จนกระทั่งถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลในการดำรงอยู่ของพวกมัน ดังนั้นจึงได้แต่อวยพรให้เจ้าโชคดีเท่านั้น”
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม “ท่านให้การช่วยเหลือข้าอย่างมากแล้ว” เขาลุกขึ้น “อย่างนั้นข้าขอตัวก่อน”
“ไปเถอะ ถ้าหากรอดกลับมาได้ ถ้าทำได้ ขอให้มาหาข้าอีกรอบ ข้าหวังว่าจะได้ข้อมูลและรายละเอียดจากด้านใน” เคอเค่ออันด้ากล่าวเสียงขรึม
“ถึงเวลาค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้น แล้วถือกระดาษต้นฉบับเดินไปที่ประตู
ตอนที่ใกล้จะถึงปากประตู หางตาเขาพลันเหลือบเห็นรูปแกะสลักสีดำรูปหนึ่งด้านข้างประตู
“เอ๋ นี่คืออะไรกัน” ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า
รูปแกะสลักสูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง ฐานเป็นเสาสีดำ ยอดเสาเป็นฝ่ามือที่กางห้านิ้วในลักษณะกึ่งหงาย สิ่งสำคัญที่ทำให้ลู่เซิ่งหยุดก็คือ บนหลังมือของฝ่ามือมีลวดลายสีแดงเข้มทรงข้าวหลามตัดที่ซับซ้อนติดอยู่
“อ้อ นั่นคือมีซ่า เป็นเทพนอกรีตที่ลัทธิชั่วร้ายเล็กๆ บางส่วนเผยแผ่ ควบคุมเขตแดนความเป็นความตาย รวมถึงความเจ็บปวดและความสุขสม” ศาสตราจารย์เคอเค่ออันด้าอธิบายอย่างรวดเร็ว
“มีซ่าหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา จดจำตราประทับบนหลังมือเอาไว้ สิ่งนี้มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับเทวลักษณ์วารีลี้ลับของเขาอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว มันน่าสนใจมาก ดูเหมือนจะเป็นมือ แต่จริงๆ แล้วเป็นตัวจริงของมัน ตัวจริงของมันเป็นสัตว์ประหลาดที่เหมือนกับมนุษย์มือ” ศาสตราจารย์อันด้าอธิบาย “ข้าเคยอ่านเจอในเอกสารโบราณบางส่วน รู้สึกขลังดี ก็เลยทำเลียนแบบขึ้นมาเพื่อวางแสดงโชว์”
“อืม ไม่เลวจริงๆ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “เอาล่ะ ข้าขอตัวก่อน ขอบคุณที่ช่วยเหลือ”
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก” ศาสตราจารย์อันด้าพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากเดินออกจากประตูใหญ่และลงบันไดหินแล้ว ลู่เซิ่งอดหันกลับไปมองทิศทางของรูปสลักมีซ่าไม่ได้
‘ดูเหมือนโลกใบนี้จะน่าสนใจนิดหน่อย…’ ลู่เซิ่งเกิดความสนใจ ก่อนจะหมุนตัวสาวเท้าเดินไปยังด้านนอกสถานศึกษา
ต่อจากนี้ เขาจำเป็นต้องกลับไปปรุงน้ำยาปริมาณมากเพื่อกินแล้ว
เงินนั้นมีพอ โรดี้ได้ทิ้งเงินทองให้เขาก่อนจะจากไป ซึ่งมากพอให้เขาใช้ไปสองชั่วอายุคนโดยไม่ต้องต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหารและการใช้ชีวิต
เห็นได้ว่าโรดี้ต้องการให้โรแซงยังมีการรับประกันที่มากพอเพื่อใช้ชีวิตต่อไปในกรณีที่ตนเองตายไป
ครั้งนี้ลู่เซิ่งจดจำเส้นทางไว้แล้ว จึงไม่ได้โดยสารรถ หากแต่ใช้การเดินเท้า สาวเท้าก้าวใหญ่ไปตามเส้นทางเดินรถเพื่อกลับ
ตอนที่มีคน เขายังคงแสร้งสำรวม เพียงวิ่งเหยาะๆ เป็นระยะสามสี่เมตรในหนึ่งวินาที
รอจนรอบๆ ไม่มีคน เขาจะเร่งความเร็วขึ้นทันที โดยวิ่งเป็นระยะทางมากกว่าร้อยเมตรต่อวินาที พุ่งผ่านท้องถนนไปในชั่วอึดใจเดียว
……………………………………….