ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 518 รวมตัว (2)
บทที่ 518 รวมตัว (2)
พุ่มไม้ต่ำเตี้ยถอยไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง
โรดี้กระโดดข้ามก้อนหินสูงเท่าครึ่งคนก้อนหนึ่งอย่างแผ่วเบา ก่อนจะร่วงลงไปในร่องดินเล็กๆ ด้านหลัง จากนั้นก็ตีลังกาไปทางขวา
เปรี้ยง!
ก้อนหินด้านหลังระเบิด สัตว์ประหลาดสีดำซึ่งเหมือนพืชที่ถูกขยายส่วนขึ้นหลายเท่าตัวกำลังบิดและสะบัดกิ่งหนามแหลมที่มีของเหลวเหนียวหนืดสีดำหยดออกมาเป็นจำนวนมาก พร้อมกับไล่ตามโรดี้ไปอย่างรวดเร็ว
ก้อนหินถูกแส้หนามแหลมเส้นหนึ่งของมันฟาดจนแหลกเป็นชิ้นๆ
สิ่งที่ทำให้คนแปลกใจก็คือ ท่ามกลางกิ่งของพืชประหลาดชนิดนี้มีศีรษะมนุษย์ที่โชกเลือดและผิวเป็นสีแดงเรื่อติดอยู่ตรงปลายสุด เหมือนกับเบ็ดที่หย่อนเหยื่อไว้ ศีรษะมนุษย์สามข้างบ้างก็ยิ้ม บ้างก็แสดงความงุนงงอยู่ในหมอกหนา ทำให้คนที่มองไกลๆ นึกว่าเป็นมนุษย์จริงๆ
โรดี้หันกลับไปมองศีรษะมนุษย์ทั้งสามข้างนี้ขณะกำลังวิ่งอยู่ ความจริงทั้งสามคนเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มแดนมรณะที่เมื่อครู่ยังพูดคุยกับเขาอยู่ น่าเสียดายที่ถูกนักล่าฉวยโอกาสฆ่าทิ้งหมดสิ้น
เปรี้ยง!
พื้นดินไกลออกเปิดเกิดการสั่นสะเทือน เป็นเสียงปืนใหญ่ อูรุสลงมือแล้ว
ท้องฟ้ามืดลง หมอกลอยขึ้น เป็นเวลาที่พวกสัตว์ประหลาดในเมืองจะเคลื่อนไหวเช่นกัน
ตูม!
เสียงปืนใหญ่จำนวนมากเชื่อมกันเป็นแผ่นผืน พื้นดินสั่นไหวเป็นระยะ
ฮี่ๆ…
พืชประหลาดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วไล่ล่าโรดี้ต่อโดยไม่สนใจเสียงปืนใหญ่แม้แต่น้อย
ไม่นานเสียงยิงปืนใหญ่ก็หยุดลง แล้วมีเสียงร้องโหยหวนลอยมาจากไกลๆ
โรดี้ถอนใจเงียบๆ ทราบว่าอูรุสล้มเหลวโดยสมบูรณ์แล้ว พลังของกองทัพ นอกจากจะยั่วยุเมืองแห่งนั้นแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก เหมือนกับคนคนนั้นในอดีต
เขาพลิกตัวพุ่งเข้าไปในไม้พุ่มแห่งหนึ่ง ก่อนจะโยนขวดเล็กๆ ออกมา จากนั้นก็แนบตัวติดพื้น อยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน
ขวดเล็กๆ ใบนั้นแตกออกหลังหล่นลงพื้น พลันมีหมอกควันสีเขียวกลุ่มใหญ่ลอยออกมา
พืชประหลาดพลันลังเล การเคลื่อนไหวจึงเชื่องช้าลง มันส่ายไปมา คล้ายกับหาโรดี้ไม่เจอแล้ว
โรดี้ไม่กล้าระบายลมหายใจแรง เพียงแค่ซ่อนอยู่ในไม้พุ่มเงียบๆ เท่านั้น
กิ่งสีดำของพืชค้นหาไปทั่ว หลายครั้งที่เกือบกวาดโดนโรดี้ แต่อีกฝ่ายก็เคลื่อนร่างหลบได้อย่างหวุดหวิด
ผ่านไปสิบกว่านาที ในที่สุดพืชก็เริ่มตัดสินใจถอยเข้าไปในม่านหมอกด้านหลังอย่างเชื่องช้า ไม่นานก็หายสาบสูญไปในหมอกหนา
ทว่าโรดี้ยังคงไม่กล้าส่งเสียง เวลานี้มันยังไม่ไปไหนไกล เกิดว่ามีเสียงดัง อีกฝ่ายจะกลับมาทันที
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ขณะเขากำลังจะยืนขื้นเพื่อระบายลมหายใจนั้นเอง
“โรดี้! ท่านอยู่ไหน โรดี้! ท่านอยู่ตรงไหน”
เสียงตะโกนสะเทือนแก้วหูพลันดังมาจากใกล้ๆ โดยอยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร
โรดี้สีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก่อนจะหันกลับไป
เห็นแค่พืชประหลาดสามต้นกำลังปรากฏตัวในหมอกหนาด้านหลังอย่างช้าๆ กำลังจับจ้องเขาตาเป็นมัน
“ครั้งนี้…ลำบากแล้ว…” โรดี้อดส่งเสียงครางออกมาไม่ได้
“อยู่ตรงนี้นี่เอง!” เสียงของโรแซงพลันดังมาจากด้านข้าง โรดี้หันไปมอง เห็นโรแซงเดินออกมาจากหมอก และกำลังมองตนด้วยสีหน้าประหลาดใจพอดี
“เจ้า…!?” โรดี้จำโรแซงในตอนนี้ไม่ได้ เทียบกับตอนที่ตนออกจากบ้านแล้ว โรแซงที่อยู่ด้านหน้า นอกจากใบหน้าแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่มีจุดไหนเลยที่เหมือนกับลูกชายของตน
“ข้าฝึกวิชาดาบที่ท่านทิ้งไว้ จากนั้นก็เริ่มกินยา ประสิทธิผลเห็นได้ชัดมาก” ลู่เซิ่งเบ่งกล้ามแขน “จากนั้นก็มีคนบอกว่าท่านจะมาที่นี่ ข้าก็เลยมาตามหาท่าน”
“เจ้า…” โรดี้อ้าปากมองหน้ายิ้มแย้มอันแสนบริสุทธิ์ของลูกชาย พลางสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
“เจ้าไม่ควรมา…ที่นี่อันตรายมาก…”
ฉัวะ ฉัวะ ชิ้ง!
พริบตานั้นประกายดาบสามสายที่เหมือนกับจันทร์เพ็ญพลันสาดขึ้น เหมือนกับมีแหล่งกำเนิดแสงสามแหล่งโผล่ขึ้นกลางหมอกมัว ไม่ทราบว่าโรแซงโผล่มาด้านหลังเขาตั้งแต่ตอนไหน พร้อมกับค่อยๆ เก็บดาบ
พืชทั้งสามต้นล้มลงบนพื้นแล้วกลายเป็นน้ำสีดำหย่อมหนึ่งอย่างรวดเร็ว โรแซงฉีกกิ่งกิ่งหนึ่งบนมือออกเป็นชิ้นๆ
“อันตรายอะไรกัน ท่านเจอปัญหาอะไรเข้าหรือ” เขาหันกลับมาถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
โรดี้หยุดสะอื้นอย่างฉับพลัน เขามองดาบในมือลู่เซิ่ง ก่อนจะมองพืชประหลาดที่เน่าเปื่อยกลายเป็นน้ำสีดำบนพื้น
“เมื่อครู่…สิ่งที่เจ้าใช้คือ…วิชาดาบของสำนักหรือ” เขามีสีหน้าแปลกพิกลเล็กน้อย
“ใช่แล้ว” ลู่เซิ่งยิ้ม “กระบวนท่านี้มีประโยชน์มาก ตอนมาข้าเห็นกิ่งพวกนี้หนามาก เลยตัดมาส่วนหนึ่ง แต่เป็นเพราะพืชพวกนี้มันสู้กลับได้ ข้ากลัวว่าหากตัดเยอะไปจะส่งผลต่อระบบนิเวศของที่นี่ ก็เลยไม่ได้ฟันมาเยอะนัก” เขาพูดพร้อมกับปลดกิ่งไม้มัดหนึ่งลงมาจากหลัง
“พวกนี้นี่แหละ”
โรดี้ที่มองเห็นเกือบจะเป็นลม
กิ่งไม้มัดนี้มีทั้งหมดยี่สิบกว่ากิ่ง หมายความว่า มีพืชประหลาดทั้งหมดยี่สิบกว่าต้นถูกโรแซงฟันกลายเป็นน้ำสีดำ
มุมปากของเขากระตุก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ถึงสัตว์ประหลาดพวกนี้จะไม่ตาย ยังสามารถคืนชีพได้ แต่มนุษย์ที่โค่นสัตว์ประหลาดซึ่งหน้าได้ เขาเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก
“ท่านพ่อท่านมาเที่ยวที่นี่ไม่ยอมบอกข้า ข้าเอาแต่ฝึกดาบอยู่ที่บ้านจนยาหมด ก็เลยตามหาคนที่ท่านพูดถึงในจดหมายเพื่อหายามากินด้วยความจนปัญญา ต่อจากนั้นเหมือนเจอข้อจำกัดเข้า เผอิญได้ยินคนที่ชื่อโซโลมอนบอกว่าท่านมาที่นี่พอดี ข้าจึงมาตามหาท่าน”
ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก
“โซโลมอนบอกว่าท่านใกล้ตายแล้ว แต่ข้าไม่เชื่อ ท่านพ่อท่านบอกข้าเถอะ ใครต้องการฆ่าท่าน ข้าจะช่วยท่านฆ่ามันเอง”
โรดี้จินตนาการไม่ออก
“เจ้าฝึกฝนวิชาดาบของสำนักมาโดยตลอดหรือ ไม่ได้ฝึกฝนอย่างอื่นใช่ไหม” เขามองลูกชายที่สูงกว่าตนช่วงตัวหนึ่งอย่างสับสน “แค่ฝึกวิชาดาบกินยาก็เป็นแบบนี้ได้หรือ”
“ใช่แล้ว ฝึกจบหมดแล้วขอรับ ข้ารู้สึกว่าฝึกต่อไปก็ไม่มีความก้าวหน้าอีก” ลู่เซิ่งพยักหน้า
โรดี้ผุดสีหน้าประหลาดใจ เขาพลันสงสัยว่าวิชาดาบที่ตนฝึกฝนมาหลายปีเป็นของปลอมหรือไม่
“เมื่อครู่ข้าเห็นคนไม่น้อยยิงปืนใหญ่ใส่เมืองเล็กๆ เมืองนั้น แต่พวกตัวเองดันตายไปไม่น้อย เมืองนั่นเป็นจุดหมายของท่านในครั้งนี้รึเปล่า” ลู่เซิ่งถาม เขากำลังแสดงเป็นโรแซงที่ไม่มีประสบการณ์อะไร และไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังระดับไหน นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการปกปิดช่องโหว่
“ใช่…” โรดี้พยักหน้า เขาเดินไปตรวจสอบพื้นดินที่พืชสามต้นล้มลง
เมื่อครู่ดูเหมือนผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว สัตว์ประหลาดสามตัวถูกฟันล้มในพริบตาเดียว แต่พอเข้าไปดู จึงค่อยพบว่า บนพื้นมีรอยดาบลึกที่ชัดถึงขีดสุดหลงเหลืออยู่
รอยดาบที่ลึกเท่าฝ่ามือสามสายหลงเหลืออยู่บนพื้นด้านหลังพืชประหลาด เหมือนกับใช้เสียมขุดออกมา
โรดี้ยืนตรวจสอบอยู่ที่เดิมสักพักใหญ่ๆ ผลลัพธ์ที่ได้ในตอนสุดท้ายคือกระบวนท่าที่ลู่เซิ่งใช้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาถ่ายทอดให้ในตอนนั้น
‘หรือว่าลูกเราจะเป็นอัจฉริยะ’ เขาเกิดความคิดนี้ในใจ
นี่เป็นผลลัพธ์ที่ลู่เซิ่งต้องการ ไม่ว่าใคร กล่าวได้ว่าไม่ว่าใคร ล้วนไม่อาจขจัดความกลัวและความเดียงสาออกไปจนกลายเป็นผู้ใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่เดือน ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อยังบอกได้ว่ามีพรสวรรค์ร้ายกาจ แต่นิสัยกลับไม่มีข้ออ้างแล้ว
ดังนั้นเขาจึงคิดวิธีนี้ขึ้นเพื่อชดเชย นิสัยนั้นเปลี่ยนได้ แต่ต้องใช้เวลา
ความจริงแม้โรดี้จะจนปัญญา แต่ก็รู้สึกดีใจ ถ้าหากเมื่อครู่นี้ลูกชายมาสายไปก้าวหนึ่ง ครั้งนี้เขาคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี
“ตอนนี้…ข้ายังต้องไปจัดการธุระในเมืองนั้น เจ้าจงไป…” เขาคิดจะบอกให้ลูกชายจากไป แต่พอนึกถึงอีกที ในเมื่อโรแซงมาหาถึงที่นี่แล้ว หากมีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งที่สอง ครั้งนี้มีตนอยู่ด้วย บางทีอาจมีโอกาสทำให้เขารอดและได้ทำความรู้จักความน่ากลัวของที่นี่จนภายหลังไม่กล้ามาอีกก็ได้
ไม่อย่างนั้นเกิดว่าภายหลังเขาพบว่าตนหายไป แล้วมาหาที่นี่เพียงลำพังอีก…นั่นจะยิ่งอันตรายกว่าเดิมแล้ว
หลังจากจัดระเบียบความคิดเรียบร้อย โรดี้ก็ตัดสินใจพาโรแซงไปด้วยกันเป็นเวลาหนึ่งวันก่อนจะเข้าสู่แดนมรณะ เพื่อทำให้เขาได้รู้จักความน่าสะพรึงกลัวของที่นี่แล้วยอมถอยไปเอง
‘มีเวลาแค่หนึ่งวัน หวังว่า…’ โรดี้ถอนใจเงียบๆ
“ไปเถอะ พวกเราจะไปที่นั่น” จากนั้นโรดี้ก็ชี้ไปทางเมืองเล็ก ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็ให้ลูกชายเห็นถึงที่สุดก็แล้วกัน
“ได้” ดวงตาลู่เซิ่งฉายแววสนอกสนใจ
ทั้งสองคนทยอยเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในเมืองเล็กกลางหมอกหนา
ในหมอกหนาเงียบสงัด เสียงปืนใหญ่ที่ดังตูมตามเมื่อครู่ ตอนนี้หายไปหมดแล้ว
แสงมืดสลัวลงเรื่อยๆ ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว
เดินไปราวสิบกว่านาที หมอกหนาค่อยๆ สลายหายไป ตรงหน้าปรากฏบ้านเล็กๆ สีขาวอมเทาที่ยึดครองพื้นที่กว้างขวาง
กำแพงหยาบสีขาวที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านหลังเล็กแสดงให้เห็นว่า นี่คือสิ่งก่อสร้างของเมืองแห่งนี้ พวกเขาเข้าใกล้เมืองแห่งนั้นแล้ว
“โรดี้!” ไม่ไกลออกไป คนที่ร่างเปรอะไปด้วยรอยเลือดหลายคนร้องเรียกมาทางด้านนี้
“เอสเซียงโล!” โรดี้เห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปหา
ลู่เซิ่งตามไปติดๆ เพื่อจะได้ปกป้องคนได้ทุกเวลา
พอทั้งสองคนเข้าไปใกล้ จึงค่อยเห็นว่าคนที่เรียกพวกเขาเป็นชายชราอายุมากสามคน ชายชราคนหนึ่งในนี้เป็นนักวิชาการที่เป็นคนพูดเมื่อก่อนหน้า ขาของเขาถูกตะปูแทงทะลุ และคล้ายกับอักเสบแล้ว
“คนคนนี้คือใคร…” พอโรดี้เข้ามาใกล้ ทุกคนต่างก็แสดงความหวาดระแวงต่อโรแซงที่อยู่ด้านหลังโรดี้อย่างชัดเจน
“โรแซง ลูกชายข้าเอง” โรดี้รีบอธิบาย ตัวเขานับว่าแข็งแกร่ง แต่เทียบกับลูกชายแล้ว เหมือนกับผัดถั่วงอกไม่มีผิด
และเมื่อเทียบระหว่างลูกชายกับชายชราอ่อนแอสามคนตรงหน้า นั่นคือการดำรงอยู่อันน่ากลัวที่เหมือนกับสัตว์ประหลาดจริงๆ
“ลูกชาย…ของเจ้าหรือ” คนทั้งสามมองหน้ากัน ยังคงตึงเครียดเล็กน้อย
ในความขมุกขมัวของหมอก ความรู้สึกยามดวงตาของโรแซงมองมาทางพวกเขา กลับไม่ต่างอะไรจากสัตว์ประหลาดที่ได้พบเหล่านั้นเลย
“ไม่ว่าจะยังไง พวกเราออกไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ ที่นี่อยู่ใกล้เมืองเกินไป” นักวิชาการชราแนะนำเบาๆ
“ได้” โรดี้พยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็รีบประคองนักวิชาการชราขึ้น พร้อมกับหันไปกล่าวกับลู่เซิ่ง “โรแซง พวกเรา…!”
ทันใดนั้นเขาพลันตัวแข็ง ก่อนจะหันกลับไปมองชั้นสองของบ้านเล็กๆ ด้านหลัง
หน้าต่างบานหนึ่งตรงนั้นมีหญิงผมยาวสวมกระโปรงสีขาว เบ้าตาเป็นสีดำอ่อน ยืนยิ้มให้แก่เขาในความมืด
“พวกเจ้า…จะต้อง…”
ตูม!
หญิงสาว หน้าต่าง ห้อง บวกกับหลังคาครึ่งหนึ่งของห้องกลายเป็นช่องว่างในพริบตา พวกมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย คล้ายกับถูกบางอย่างกระแทกจนแหลกไปมุมหนึ่ง
บ้านเล็กสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งของกองหนึ่งร่วงกราวลงมา ผ่านไปนานโขกว่าจะสงบลง
แปะๆๆ
ลู่เซิ่งปัดฝุ่นบนมือ กำแพงรอบๆ หายไปสี่เมตรกว่าๆ
“นึกว่ายืนอยู่ไกลแล้วข้าจะโจมตีไม่ได้เหรอ ไร้เดียงสาจริง” เขาหัวเราะเหอะๆ เสียงเย็นชา พลันหันไปเห็นสีหน้าตกตะลึงของพวกโรดี้พอดี
“เห็นรึยังท่านพ่อ ไม่ต้องให้ท่านลงมือ ไอ้ของพรรค์นี้ก็ต้านข้าได้ไม่เกินหนึ่งกระบวนท่าหรอก” ลู่เซิ่งว่า
โรดี้หางตากระตุก ไม่รู้ว่าควรตอบลูกชายที่สามัญสำนึกบกพร่องอย่างร้ายแรงอย่างไรดี
……………………………………….