ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 521 เมือง (3)
บทที่ 521 เมือง (3)
“เสียงอะไร?!”
โรดี้พลันชะงัก กาน้ำที่เตรียมจะยกขึ้นดื่มหยุดอยู่ตรงริมฝีปาก ใบหูสั่นไหวเล็กน้อย เงี่ยหูฟังเสียงเบาๆ ที่ลอยมาจากด้านนอก
“เหมือนกับมีอะไรสั่น” เอสเซียงโลตอบอย่างลังเล
ทั้งสองยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกตึกเล็กไม่มีสิ่งใด รอบๆ เงียบสงบ
“หรือว่าจะเป็นในตึก” โรดี้เป็นห่วงโรแซงเล็กน้อย แม้โรแซงจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้คุ้นเคยกับการเผชิญหน้าเมืองนี้ ยังสู้เขาที่รู้จุดอ่อนข้อด้อยของสัตว์ประหลาดทุกชนิดไม่ได้ เกิดว่าไปเจอเพชฌฆาตที่ยุ่งยากที่สุดเข้าล่ะก็
และยังเป็นเพชฌฆาตที่เมืองแห่งนี้เพิ่มความแข็งแกร่งให้อีก
โรดี้ตึงเครียด
“ไปดูไหม” เอสเซียงโลเสนอ
โรดี้เงียบงัน “ข้าไปเอง เจ้าอยู่นี่เงียบๆ อย่าลืมใช้สิ่งนี้” เขาล้วงหยิบยาขวดหนึ่งออกมายื่นส่งให้เอสเซียงโล
“ไม่ต้อง ข้ามีนี่แล้ว” เอสเซียงโลยิ้มพร้อมกับยื่นมือขวาออกมา บนหลังมือใช้อะไรบางอย่างวาดลวดลายสีดำไว้อย่างชัดเจน
“ตราประทับเซลลาขั้วตรงข้ามหรือ” โรดี้งุนงง เซลลาเป็นคู่ปรับของเทพเจ้าแห่งลัทธิเจนโซที่เอสเซียงโลนับถือ เป็นมารชั่วร้ายในตำนาน ในเมื่อตราประทับนี้เป็นตราประทับเซลลาขั้วตรงข้าม ก็หมายความว่าเป็นเทพเจ้านั่นเอง
“งั้นก็ขออวยพรให้เจ้าโชคดีก็แล้วกัน” โรดี้เข้าใจความหมายในพริบตา
ความจริงตราประทับเพียงช่วยปลอบประโลมจิตใจเท่านั้น ตัวเอสเซียงโลมีแผนอยู่แล้ว ทั้งไม่ต้องการการช่วยเหลือจากเขา นี่เป็นสาเหตุหลัก
“ข้าไปล่ะนะ” โรดี้หยิบหน้าไม้ออกมา แล้วสวมเสื้อกันลมกับหมวกคลุมทั่วร่าง ก่อนจะเปิดประตูพร้อมกับพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เอสเซียงโลยืนอยู่หน้าประตู มองตามจนเขาจากไป จากนั้นก็เหลียวมองห้องที่ว่างเปล่า จิตใจพลันบังเกิดความสำนึกเสียใจจางๆ
“ตาเฒ่าอย่างข้าก็มีประโยชน์กับเขาเช่นกัน…” เขายันตัวนั่งลง ก่อนจะหยิบชอล์กสีแดงแท่งหนึ่งออกมาขีดเขียนบนพื้น
…
เคร้ง
คมดาบของลู่เซิ่งกับโซ่ของเพชฌฆาตปะทะกัน ทั้งสองมีรูปร่างใกล้เคียงกัน ลู่เซิ่งกำยำกว่าเล็กน้อย ส่วนเพชฌฆาตสูงกว่านิดหน่อย แต่พละกำลังกลับคล้ายว่าจะสูสี
ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังงานที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายทะลักออกมาจากบนร่างของอีกฝ่าย พลังงานสายนี้ยกระดับขึ้นตามการเพิ่มพลังของเขาอยู่
‘ตามความเร็วของเราได้ทัน ชักสนใจที่นี่ขึ้นเรื่อยๆ ซะแล้วสิ…’ เขานึกไม่ถึงว่าขนาดยกระดับมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ยังมีสัตว์ประหลาดตามตัวเองทันได้ในสภาพปกติอยู่
“ท่าแทงแห่งธอร์น” เขาสะบัดวาดดาบออก แล้วแทงใส่ช่องว่างของโซ่อย่างหนักหน่วง ทะลุเข้าร่องแยกของเกราะอ่อนตรงคอของเพชฌฆาตอย่างแม่นยำ
ฉึก
เสียงคมดาบแทงเข้าไปในเนื้อดังมา
พรึ่บ เพชฌฆาตพลันหายไปจากที่เดิม
ลู่เซิ่งงุนงง ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็สัมผัสได้ว่ามีพละกำลังอันมหาศาลฟาดมาจากด้านหลัง
เปรี้ยง!
เขาพลิกมือดันศอกใส่โซ่ที่อยู่ด้านหลัง เพชฌฆาตไม่ทราบว่าโผล่มาด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมยังฟาดโซ่มาใส่เขาอย่างรุนแรง
ยังไม่รอให้เขาตอบโต้ โซ่อีกเส้นหนึ่งของเพชฌฆาตก็ลอยมาจากอีกทางหนึ่ง แล้วรัดพันเอวเขาไว้อย่างแรง
กึง!
โซ่ถูกพละกำลังมหาศาลดึงจนตึง คล้ายกับต้องการทำให้ลู่เซิ่งเสียสมดุล
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งถูกกระชากลอยไปชนกับประตูห้องด้านข้าง ประตูไหม้พังแหลก ควันสีดำแผ่กระจายอยู่ด้านใน สัตว์ประหลาดที่มีหนวดเหมือนกับทุเรียนวิ่งเตลิดออกมาอย่างหวาดกลัว พริบตาเดียวก็หายเข้าไปในหมอกสีดำ
“ไม่เลว…” ลู่เซิ่งค่อยๆ ยันร่างขึ้นในหมอกที่มีฝุ่นตลบอบอวล “พละกำลังไม่เลว…ดูเหมือน…”
เปรี้ยง!
โซ่เส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากความมืด แล้วมัดเอวของเขาอีกครั้ง
ลู่เซิ่งเหมือนถูกฟ้าผ่าใส่ ปลิวหวือออกไปชนกำแพง แล้วทะลุเข้าไปในห้องด้านข้าง
เพชฌฆาตสาวเท้าลากโซ่ไล่ตามไป เพิ่งจะพุ่งถึงกำแพงที่พังทลาย แขนข้างหนึ่งที่ใหญ่เท่ากับศีรษะของมันก็ดีดออกมาจากในความมืดอย่างฉับพลัน ก่อนจะคว้าศีรษะของมันไว้
เปรี้ยง!
เพชฌฆาตร่างเซไปด้านหน้า ถูกพละกำลังมหาศาลลากให้ไปชนกับขอบกำแพงจนพัง
เศษหินกับก้อนโคลนร่วงตกลงมา กระจายทั่วพื้น
ท่ามกลางฝุ่นที่ตลบ ไอหมอกค่อยๆ สลายหายไป เผยให้เห็นร่างมหึมากว้างสามเมตรสูงห้าเมตร
“ในเมื่อสภาพปกติสู้ไม่ได้ อย่างนั้นก็ปลดปล่อยสักหนึ่งในร้อยก็แล้วกัน…” ใบหน้าดุร้ายของลู่เซิ่งที่กล้ามเนื้อเบียดอัดบิดเบี้ยวโผล่ออกมาท่ามกลางไอหมอก ดวงตาฉายแววเย็นชาและเหี้ยมโหด
ร่างกายของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เหมือนกับเนื้องอก เหมือนกับสมัยที่ยังอยู่ต้าซ่ง
แต่แตกต่างกันแค่ตรงที่ไม่ทราบว่าด้านหลังเขามีสิ่งของที่เหมือนกับท่อสีเนื้อโผล่มาเชื่อมกับท้ายทอยด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ มีขนาดใหญ่มาก
“ได้ยินว่าสัตว์ประหลาดของที่นี่เป็นอมตะ อย่างนั้นขอลองดูหน่อยเถอะว่าจะเป็นอมตะจริงๆ รึเปล่า…” ลู่เซิ่งจับเพชฌฆาตด้วยมือข้างเดียวพร้อมกับยกมันขึ้นลอยค้างกลางอากาศ
เปรี้ยงๆๆ!
เพชฌฆาตใช้มือกับโซ่ฟาดใส่มือใหญ่ที่จับตนไว้อย่างสุดชีวิต แต่ก็ไม่ประสบผล ลู่เซิ่งที่ปลดปล่อยพลังมีพละกำลังน่ากลัวเกินไป เทียบรูปร่างกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายอยู่คนละระดับโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งมือหนึ่งจับลำตัวของเพชฌฆาต มือหนึ่งจับศีรษะของมัน จากนั้นก็พลันออกแรง
ฉูด
เลือดหลายสายกระฉูดออกมา ศีรษะของเพชฌฆาตถูกเขาดึงออกจากตัว
เลือดปริมาณมากกระจายไปทั่วพื้นและกำแพง
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าน้ำหนักของเพชฌฆาตในมือกำลังลดลงด้วยความเร็วสูงพร้อมกับเลือดที่ทะลักออกมา
‘ดูเหมือนเลือดพวกนี้จะเป็นกุญแจสำคัญสินะ’ ลู่เซิ่งฉุกใจได้
ไม่นาน เขาก็พบว่าศพของเพชฆาตในมือเริ่มระเหยกลายเป็นน้ำสีดำหลายหย่อม ก่อนจะอันตรธานหายไป
รอบๆ ไม่มีศัตรูเหลือแล้ว เขาจึงค่อยๆ หดร่างกลับคืนสู่สภาพปกติก่อนหน้า กล่าวให้ถูกต้องคือ ความจริงสภาพนี้เป็นร่างพิเศษที่เขาใช้วิชาลับในสภาพหยินโชติช่วงบีบอัดเอาไว้จนหดเล็กลง เทียบกับพละกำลังของกายเนื้อของแท้แล้ว สภาพนี้อ่อนแอกว่ามากๆ
เขาเดินเข้าไปนั่งลงตรวจสอบน้ำสีดำที่เกิดจากเพชฌฆาต น้ำสีดำเหล่านี้กำลังจางหายไปด้วยความเร็วสูง
‘ช่างเถอะ อีกสักพักค่อยศึกษาดู ไปกวาดล้างที่อื่นก่อนดีกว่า’ ลู่เซิ่งได้สติกลับมา จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านล่างต่อ ไม่นานก็จัดการตึกเล็กทั้งตึกจนเรียบร้อย
“เป็นอย่างไร” เวลานี้โรดี้ตามมาแล้วเช่นกัน เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงดัง เลยรีบวิ่งมา แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
“เจ้าต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวไหน” โรดี้พิจารณาลู่เซิ่ง พบว่าเสื้อผ้าลูกชายขาดกะรุ่งกะริ่ง นอกจากเสื้อกันลมตัวโคร่งแล้ว ก็ไม่มีเสื้อไว้สวมใส่อีก
“ไม่มีอะไรขอรับ เมื่อครู่เจอตัวอ้วนตัวหนึ่ง เลยกำจัดทิ้งไปแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แล้วสัตว์ประหลาดหญิงสาวที่เจ้าลากมาเมื่อครู่ล่ะ” โรดี้กวาดตามองรอบๆ สุดท้ายก็เห็นสัตว์ประหลาดหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง โดยที่ขาข้างหนึ่งหายไปแล้ว
โรดี้อดพิจารณาเพิ่มไม่ได้ ก่อนจะหันมามองลู่เซิ่ง
“จัดการเสร็จแล้วก็พักผ่อนหน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเราค่อยไปหาไม้ด้วยกัน เวลาเหลือไม่มากแล้ว ต้องเร่งมือเท่าที่จะทำได้”
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า แน่นอนว่าเขาคงไม่ตามโรดี้ไปหาไม้อย่างเดียว เป้าหมายที่เขามาที่นี่ยังคงเป็นการถอนรากถอนโคน ทำลายเมืองแห่งนี้โดยสิ้นเชิง
“เอาแบบนี้ ท่านพ่อกับผู้เฒ่าเอสเซียงโลอยู่ที่นี่ เขาเป็นคนเจ็บจำเป็นต้องมีคนดูแล ข้าจะไปหาไม้เอง วิ่งไปวิ่งมาไม่กี่ครั้งก็เอามาได้แล้ว คลื่อนไหวด้วยกันหลายคนมีแต่จะทำให้ล่าช้าเปล่าๆ” ลู่เซิ่งเสนอ
“แต่ว่า…” โรดี้ยังคิดจะพูดอะไร แต่ลู่เซิ่งกลับยกมือห้ามไว้
“ตกลงตามนี้ ข้าดูออกว่าท่านเหนื่อยมาก ข้าไปเองได้น่า” ลู่เซิ่งยิ้ม “นอกจากนี้…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ คล้ายกับมีคนหลายคนเดินย่องเข้ามาจากประตูตึก
“ชู่ว์…เบาๆ หน่อย…” มีคนเอ่ยขึ้นเบาๆ
ตอนนี้ลู่เซิ่งกับโรดี้ยืนอยู่ตรงมุมโค้งของบันไดในชั้นที่หนึ่ง จึงได้ยินอย่างชัดเจน
“เสียงนี้ ฟรานนี้นา” โรดี้พลันยินดี ก่อนจะหยุดลู่เซิ่งที่กำลังจะส่งเสียงไว้ แล้วขยับไปด้านข้างอย่างเงียบๆ เพื่อมองจากบันไดไปด้านนอก
ในความมืดมิด เงาร่างที่คุ้นเคยหลายสายกำลังอาศัยแสงจันทร์เดินเข้าโถงใหญ่ของตึกเล็ก คนสุดท้ายที่เข้ามาก็คือเมราที่มีร่างสูงใหญ่กำยำนั่นเอง
โรดี้กับเมรารู้จักกันดีมาก เพียงมองดูโครงร่างคร่าวๆ ก็จดจำได้ทันที
“ทำไมพวกเขามาที่นี่ ที่นี่…ไม่ใช่ที่ที่จะเข้ามาได้มั่วซั่ว” โรดี้นึกอีกที ก่อนจะเข้าใจทันที คงเป็นเพราะน้ำเมื่อก่อนหน้ากดดันให้เข้ามาแน่
“พวกนั้นนี่นา” ลู่เซิ่งจดจำพวกเมราได้เช่นกัน
“เมรา?” โรดี้เดินไปส่งเสียงเรียก
“โรดี้? พวกเจ้าก็อยู่เหมือนกันหรือนี่?!” ฝ่ายเมราไม่ได้พูดอะไร ฟรานกลับส่งเสียงร้องอย่างตกใจ รีบพุ่งเข้าไปหมายจะแอบอิงอ้อมอกของโรดี้ จากนั้นก็ถูกเขาผลักออก
“โรดี้ โรแซง…” เมรากลับหยีตามองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหลังเป็นคนแรก
“ท่านพ่อ พวกท่านฟื้นความหลังกันไปก่อน ส่วนข้าจะไปเอาไม้” ลู่เซิ่งไม่มีเวลามาพูดคุย หลังจากได้รับคำอนุญาตจากโรดี้ ก็เร่งฝีเท้าเดินออกจากตึกเล็กทันที
ในประตูด้านหลังมีเสียงพูดคุยของคนหลายคนดังมา ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้า หลังจากสังหารเพชฌฆาตไป เขาก็รู้สึกได้ว่า เมืองแห่งนี้เหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพิสดารบางอย่าง
อะไรบางอย่างพลิกม้วนในม่านหมอก เหมือนมีสายตาคอยจ้องมองเขาอยู่ตลอด
ขณะเดินบนถนนที่เย็นเยียบ ด้านในตรอกทางขวามือพลันมีเงาคนร่างสูงใหญ่ที่สวมเสื้อคลุมสีดำเดินออกมาช้าๆ
“หือ”
ลู่เซิ่งเงยหน้าพิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียด
เงาคนนั้นเชื่องช้ามาก ทั้งยังโขยกเขยก ร่างกายหนักอึ้ง ถ้าหากไม่ใช่ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้ารอเขา เกรงว่าอีกฝ่ายคงได้แต่ตามอยู่ด้านหลังช้าๆ เท่านั้น
“ซ่าๆ…ซ่าๆ…”
เสื้อกันลมเปิดออก สัตว์ประหลาดอันแสนพิสดารที่เอาศพสีม่วงอมเขียวสามศพมาผสมกันเหมือนเถาวัลย์ปรากฏด้านหน้าลู่เซิ่ง
ฟ้าว!
ร่างสูงสามเมตรกว่าๆ ของสัตว์ประหลาดพุ่งเข้าใส่ลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน
…
หนึ่งนาทีต่อมา
ลู่เซิ่งกระชับเสื้อกันลม แล้วทิ้งผ้าขี้ริ้วที่เพิ่งเปลี่ยนไป ก่อนจะเดินหน้าต่อ
ยิ่งเดินไปบนถนนที่ดำทะมึนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีหมอกมากเท่านั้น เสียงฝีเท้าดังตุบๆ บนถนนที่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งคิดจะเดินที่นี่ให้ทั่วก่อน
ด้วยระดับฝีเท้าของเขา แค่เมืองเล็กๆ เมืองเดียว ใช้เวลาสิบกว่านาทีก็เดินได้ทั่วแล้ว
เมืองมีสิ่งก่อสร้างทั้งหมดยี่สิบเอ็ดแห่ง โรงเรียนหนึ่งแห่ง โบสถ์หนึ่งแห่ง ร้านค้าสองแห่ง และยุ้งฉางหนึ่งแห่ง ที่เหลือเป็นบ้านของชาวเมือง
ลู่เซิ่งเตร็ดเตร่ในโบสถ์รอบหนึ่ง หากไม่พบความผิดปกติใดๆ จากนั้นก็ไปยังร้านค้า สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ไม่พบความผิดปกติอะไรเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงตรวจสอบบ้านของผู้อยู่อาศัย เจอแค่ตัวตนที่เหมือนกับมนุษย์ผู้หญิงไม่มีผิวหน้าเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ ต่อมาก็ค้นไม่พบอะไรอีก
ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีด้วยซ้ำ ขณะกลับ ลู่เซิ่งหาไม้เจอสิบกว่าท่อน ซึ่งเขาใช้เชือกมัดไว้แล้วจึงลากกลับไป
ลู่เซิ่งโยนไม้ไว้ที่ชั้นที่หนึ่งของตึกเรียน ก่อนจะได้ยินว่ามีคนลงมาจากชั้นบน
ขณะเขากำลังจะไปรับ หางตากลับพลันเหลือบเห็นว่าเหมือนจะมีแสงสว่างกะพริบอยู่ในห้องเรียนดำทะมึนซึ่งอยู่ส่วนลึกของทางเดินชั้นหนึ่งพอดี
เขาหรี่ตาพร้อมกับเดินย่องเข้าไป
พอเดินไปถึงด้านหน้าของหน้าต่างห้องเรียน เขาก็เห็นเด็กผู้ชายโดดเดี่ยวคนหนึ่งหันหลังให้เขา กำลังดูโทรทัศน์ขาวดำตัวหนึ่งที่วางอยู่ในห้องเรียน
โทรทัศน์กำลังฉายรายกายขาวดำพร่ามัว ไม่ทราบว่ามีเนื้อหาอะไร เห็นแค่เงาคนเคลื่อนไหวไปมาเท่านั้น
เด็กชายไว้ผมสั้นดกดำ นั่งบนม้านั่ง คล้ายกำลังรับชมอย่างตั้งใจมาก
……………………………………….