ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 525 ขีดจำกัด (1)
บทที่ 525 ขีดจำกัด (1)
‘เทวลักษณ์โบราณ’
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิบนหลังคา ลมเย็นยะเยือกพัดผ่านข้างตัวไปเป็นระยะ เขาสวมแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง คอเสื้อเผยให้เห็นโครงสร้างกล้ามเนื้ออันกำยำ
เขาออกจากเมืองแห่งนั้นมาได้ครึ่งปีแล้ว
ในครึ่งปีมานี้ เขาติดตามเอสเซียงโลมายังสถานศึกษาการ์เดี้ยน สถานวิจัยที่มีเงินทุนมหาศาลซึ่งก่อตั้งโดยเอกชน ทั้งยังเป็นสถานที่ที่ชุบเลี้ยงและให้การศึกษาแก่อัจฉริยะด้วย
เขาวิจัยปริศนาด้านปัจจัยร่างกายร่วมกับเอสเซียงโลระยะเวลาหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ได้เทวลักษณ์โบราณที่เอสเซียงโลมีอยู่ทั้งหมดมาไว้ในมือเช่นกัน
‘ความจริงแล้วเทวลักษณ์โบราณเป็นสัญลักษณ์หรืออักขระพิเศษส่วนหนึ่งที่ใช้ตอนทำพิธีบวงสรวงเทพในยุคโบราณ เดิมทีไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร สัญลักษณ์ตัวหนึ่งมีความหมายได้หลายแบบ เป็นตัวแทนคุณลักษณะกับความหมายที่แตกต่างกัน’
ลู่เซิ่งหวนนึกถึงเทวลักษณ์โบราณที่ตนเองได้ศึกษาในช่วงเวลานี้ มีเทวลักษณ์ฝ่ายดีสองตัว เทวลักษณ์ฝ่ายร้ายสามตัว
รวมเป็นทั้งหมดห้าตัว แต่ละตัวมีระบบโครงสร้างที่ซับซ้อนถึงขีดสุด หากจะวาดอักขระที่เล็กที่สุดออกมาจำเป็นต้องมีพื้นที่กว้างหนึ่งเมตรกว่าๆ ยาวหนึ่งเมตรกว่าๆ
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งสนใจก็คือ ชิ้นส่วนประหลาดที่เขาได้มาจากเมืองเมืองนั้น
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชิ้นส่วนสีม่วงชิ้นนี้ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก การเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งเดียวคือจะปรากฏการสั่นไหวน้อยๆ ตอนสลักเทวลักษณ์ฝ่ายร้ายตัวหนึ่งด้านในตัวมัน
สิ่งที่เทวลักษณ์ชั่วร้ายชนิดนี้บวงสรวงคือมีซ่าเทพชั่วร้ายที่เขาเคยเห็นมาจากสถานที่อีกแห่ง เป็นเทพซึ่งควบคุมชายขอบความเป็นความตาย
ลู่เซิ่งพลันนึกถึงดวงตาแห่งเก๋อซังน่าที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันในตอนรวมก้อนน้ำเมื่อก่อนหน้านี้ ดวงตาประหลาดดวงนั้นทำให้เขาตกใจเช่นกัน
สิ่งของที่โจมตีวิญญาณได้โดยตรง ทั้งยังเป็นการโจมตีที่ไม่สร้างความเสียหาย ในสถานการณ์ปกติ การโจมตีวิญญาณจำเป็นต้องใช้จิตวิญญาณของตัวเองเป็นฐานในการลงมือ ดังนั้นจึงสร้างความไม่เสถียรให้แก่จิตวิญญาณของตัวเองไม่มากก็น้อย ทำให้ต้องฟื้นฟูในภายหลัง แต่ดวงตาแห่งเก๋อซังน่ากลับไม่มีปัญหานี้โดยสิ้นเชิง
และตอนนี้…ก็มีการดำรงอยู่พิเศษอย่างมีซ่าเทพชั่วร้ายโผล่มาอีก
นี่ทำให้ลู่เซิ่งจำเป็นต้องสนใจ บางทีในดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ นอกจากต้าอิน ต้าซ่ง อาจจะมีตัวตนอันน่ากลัวที่ตนไม่อาจจินตนาการอยู่ด้วย พวกมันคงมีร่องรอยที่เหลือไว้ในโลกแต่ละใบเช่นกัน
บางทีพวกเขาอาจเป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในโลกเหล่านี้ เพียงแต่ตกสู่การหลับไหลไปชั่วขณะเท่านั้น
ดวงดาวยามราตรีพร่างพราว ลู่เซิ่งหยิบน้ำลูกท้อขวดหนึ่งที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาเงยหน้าดื่ม
‘ถ้าหากบอกว่าอริยะเจ้าเป็นผู้มีพลังพิเศษด้านจิตระดับสุดยอดที่ไปถึงขั้นบิดเบือนความเป็นจริงได้หลังจากจิตวิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างนั้นระดับที่เหนือกว่าเจ้าแห่งอาวุธอาจจะ…’
เขาพลันเชื่อมโยงถึงเหตุการณ์น่าอัศจรรย์มากมายในเมืองนั้นที่ตนได้เจอเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่คุณสมบัติมารสวรรค์ของตนไม่มีทางทำให้ตนเกิดภาพหลอนได้แท้ๆ แต่ตอนนั้นก็ยังติดภาพหลอนอย่างอธิบายไม่ได้อยู่ดี
‘ชิ้นส่วนชิ้นนี้…’ ลู่เซิ่งหยิบชิ้นส่วนสีม่วงออกมาจากในอกเสื้อ แล้วตกสู่ห้วงความคิดขณะถือมันอยู่ในมือ
“ท่านโรแซง” ขณะกำลังไตร่ตรองอยู่ ก็มีเสียงอ่อนโยนลอยมาจากประตูตึก
“มีอะไรหรือ” ลู่เซิ่งถูกรบกวน จึงหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เป็นแค่…เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อยากจะขอให้ท่านช่วยชี้แนะ…ไม่ทราบว่าได้หรือไม่” หญิงสาวผมทองงดงามในกระโปรงรัดเอวสีขาวบริสุทธิ์ และสวมถุงน่องสีดำเนื้อบางผู้เป็นเจ้าของเสียง เข้าใกล้ลู่เซิ่งอย่างเหนียมอายเล็กน้อย
สองขาเรียวยาวของนางย่ำเหยียบเป็นฝีก้าวเล็กๆ อย่างพอเหมาะ กระโปรงขาวถูกลมพัดจนชายด้านซ้ายกระพือขึ้น ทำให้นางรู้สึกหนาวจนสั่นน้อยๆ
หลังจากเรื่องเมืองแห่งนั้นจบลง ก็เหมือนกับว่าในที่สุดเมฆดำที่ปกคลุมโลกทั้งใบก็เริ่มสลายหายไป
ผู้มีตราประทับนับไม่ถ้วนได้รับการปลดปล่อย เหยี่ยวขาวสูญเสียความหมายในการมีอยู่ แต่ก็ไม่ได้สลายตัวโดยสิ้นเชิง หากแต่หลังจากคนที่ไม่สนใจชื่อเสียงผลประโยชน์จากไป ก็มีสมาชิกใหม่ๆ เข้าร่วมมากกว่าเดิม
เหยี่ยวขาวเปลี่ยนจากองค์กรไร้สังกัดเป็นกลุ่มก้อนขนาดมหึมาอย่างแท้จริง อำนาจขยายไปถึงด้านการทหาร การเมือง และการค้า
เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับลู่เซิ่ง โรดี้จึงรับตำแหน่งอันดับสามซึ่งทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขามีความสำคัญ
พลังต่อสู้อันน่ากลัวที่ลู่เซิ่งแสดงออกมาให้เห็นในเมืองแห่งนั้นทำให้พวกเมราตกตะลึงพรึงเพริด แต่ความโหดเหี้ยมไม่เลือกวิธีการที่อูรุสแสดงออกมาทำให้ผู้คนรังเกียจ
หลังจบเรื่อง อูรุสถูกผู้นำประเทศจับเข้าคุก และโดนตัดสินให้จำคุกสามร้อยหกสิบสองปี ชั่วชีวิตนี้ได้แต่แก่ตายในคุก ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีโทษประหาร ความผิดของเขาคือโทษประหารสถานเดียว
ด้วยความจนปัญญา โยย่าซึ่งเป็นลูกสาวของเขาไม่ทราบว่าหมายตาลู่เซิ่งได้อย่างไร
เป้าหมายของนางชัดเจนมาก คนที่มีความสามารถช่วยเหลือบิดาของตน และสามารถติดต่อได้ในตอนนี้ เหลือแค่ลู่เซิ่งเท่านั้น
ความจริงลู่เซิ่งทราบถึงเป้าหมายของนางดี แต่เขาไม่อยากจะทิ้งเมล็ดพันธุ์ไว้ในโลกภายนอก ต่อให้ต้องทิ้ง ก็จะไม่หาผู้หญิงที่มีจุดประสงค์ชัดเจนแบบนี้เด็ดขาด
สาเหตุที่เขาไม่ได้ปฏิเสธการเข้าใกล้ของโยย่าในสถานการณ์แบบนี้ก็เป็นเพราะว่า คุณสมบัติร่างกายของหญิงสาวคนนี้กลับทำให้ชิ้นส่วนสั่นไหวได้
โยย่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบ “ท่านรู้ไหมว่าช่วงนี้มีคนกับองค์กรเล็งเล่นงานท่านอยู่ โดยทำภารกิจลอบสังหารพิเศษ”
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “แล้วอย่างไร”
โยย่าผุดสีหน้าจริงจัง กล่าวอย่างสงบนิ่ง “ตระกูลของข้าสามารถหาคนที่คิดเล่นงานท่านได้”
“อะไรอีก” ลู่เซิ่งไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
“แล้วก็ท่านโรดี้พ่อของท่าน จะมีความมั่นใจและไพ่ตายที่แข็งแกร่งพอเช่นกัน ตระกูลของข้าจะสนับสนุนท่านโรดี้สุดกำลัง” โยย่ากล่าวอย่างรวดเร็ว
“ไร้ความหมายสิ้นดี” ลู่เซิ่งตอบ “ต่อให้เป็นข้าก็ไม่มีทางพลิกคดีให้พ่อเจ้าได้อยู่ดี อย่าหวังมากเลย”
“แต่ท่านเป็นพยานให้ได้นี่ เป็นพยานว่าพ่อข้าไม่ทราบว่าเมืองแห่งนั้นมีตัวตนที่แข็งแกร่งแบบนี้ เขาพาคนไปทำลายและตรวจสอบเมืองแห่งนั้นในสถานการณ์ที่ไม่รู้เรื่อง” โยย่ากล่าวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่พวกนางต้องการก็คือการแสดงท่าทีของลู่เซิ่ง
เมื่อเป็นแบบนี้ จะสามารถใช้แผนการลดโทษให้แก่อูรุสได้ อย่างไรก็ดีกว่าการแก่ตายในคุก
“นอกจากนี้ ท่านอาจจะสนใจสิ่งนี้ก็ได้” นางค่อยๆ หยิบสร้อยเส้นหนึ่งออกมาจากคอเสื้อ บนสร้อยมีแท่งคริสตัลสีม่วงอมดำที่งดงามชิ้นหนึ่งแขวนอยู่
ลู่เซิ่งมองแวบเดียวก็เห็นลวดลายอันประณีตที่สลักบนจี้ทันที การสั่นไหวของชิ้นส่วนในมือชัดเจนขึ้นกว่าเดิม
เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าตนสนใจสิ่งนี้ แต่ตอนนี้เขาทราบถึงสาเหตุที่ชิ้นส่วนสั่นไหวแล้ว
“ขอแค่ท่านตอบรับ มันจะเป็นของท่านทันที รวมถึงตัวข้าด้วย” โยย่าเอ่ยอย่างราบเรียบ
ลู่เซิ่งไตร่ตรอง เขาอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นจำเป็นต้องจัดการอนาคตของโรดี้ด้วย
และขุมกำลังเบื้องหลังโยย่าก็ทำให้เขาวางใจขึ้นมา หลักประกันที่ใช้ปกป้องโรดี้จะเพิ่มมาอีกชั้นหนึ่ง
“ข้าแสดงออกตรงๆ ไม่ได้ แต่ข้าจะขอให้คนอื่นปฏิบัติอย่างเป็นธรรม” ลู่เซิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ
วิธีการที่ใช้ลดโทษได้ย่อมเป็นการสร้างคุณูปการ โทษของอูรุสมีระยะเวลานานเกินไป คิดจะสร้างคุณูปการเพื่อลดโทษ ต่อให้เล่นเส้นเล่นสาย ก็ไม่อาจออกมาได้ในเวลาอันสั้น
การได้ออกมาก่อนแก่ตายก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว
“ขอบคุณนายท่าน!” โยย่าดีใจ แล้วเข้าใกล้สองก้าว กลิ่นฮอร์โมนที่แผ่กระจายบนร่างมุดเข้าจมูกลู่เซิ่งโดยอัตโนมัติ
เขาเกิดเพลิงราคะเล็กน้อย แต่ก็ยังกดข่มไว้ได้
“นอกจากนี้ ข้าต้องการแค่ของ เจ้าไม่ต้อง”
พูดจบเขาก็ไปจากยอดตึกโดยไม่สนใจโยย่าที่กำลังงงงวย
‘ถึงเวลาไปสักที’
เรื่องของอูรุสเป็นอันจบลง หลังจากลู่เซิ่งจัดการขุมกำลังที่หยั่งเชิงพลังของเขาเสร็จ และคุยอย่างเป็นการลับกับโรดี้แล้ว เขาก็หายไปจากทัศนวิสัยของทุกคน
ตำนานเรื่องเมืองแห่งนั้นกลายเป็นหนังสือเรื่องเล่าเช่นนิยาย พล็อต และบทละครที่ไม่เสื่อมความนิยมอยู่เนิ่นนาน
ตำแหน่งในเหยี่ยวขาวของโรดี้มั่นคงกว่าเดิมเพราะการสนับสนุนจากตระกูลของโยย่า เขากุมอำนาจมากกว่าเดิม จากนั้นก็คบหากับฟราน จัดพิธีแต่งงาน และสร้างครอบครัวใหม่
ส่วนโรแซง ชื่ออันน่าอัศจรรย์นี้ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา
มีแต่โรดี้เท่านั้นที่ลอบส่งคนออกสืบเสาะไปทั่วหลังจากพบความผิดปกติ แต่ก็ล้มเหลวมาโดยตลอด
ทางเอสเซียงโลได้รับรู้ความแข็งแกร่งทางกายเนื้อของโรแซงผ่านการศึกษาว่า แม้จะน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด แต่กระบวนการเผาผลาญก็มีความเร็วมากกว่าคนปกติ ร้อยเท่า ด้วยความเร็วแบบนี้ กายเนื้อของคนธรรมดาทนได้ไม่กี่ปีก็จะอ่อนเพลียและตายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากโรดี้ทราบผลของการศึกษา ก็คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง
สองปีต่อมา เขา ฟราน และลูกชายฝาแฝดที่ให้กำเนิดใหม่ก็ได้สร้างหลุมฝังศพให้แก่โรแซงผู้เป็นลูกชาย
คนของเหยี่ยวขาวล้วนพากันมาเคารพศพ
…
เปรี้ยง!
ลวดลายสีแดงอ่อนระเบิดขึ้นในตำหนักวิจัย
ลู่เซิ่งคุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้น เสื้อผ้าบนร่างขาดกะรุ่งกะริ่งและลุกไหม้ ไม่นานก็กลายเป็นเถ้าดำหายไป
กายเนื้อของเขาสั่นไหวและบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง คล้ายกับกำลังถูกพลังที่ยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดบิดและฉีกทึ้ง
“หยุด!” ลู่เซิ่งตวาดขึ้น
ตำหนักวิจัยสั่นไหวอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดนิ่งในพริบตา คล้ายกับกดปุ่มหยุดชั่วขณะ
พลังจิตวิญญาณที่จับกันหนาแน่นจนแทบสัมผัสได้ กลายเป็นพายุจิตวิญญาณ พัดอยู่ในตำหนักวิจัยอย่างบ้าคลั่ง
พลังจิตวิญญาณกลายเป็นวงจรลี้ลับในตำหนักใหญ่ตามกฎเกณฑ์และเส้นทางพิเศษของธรรมชาติ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการวิจัยกองใหญ่ถูกพัดลอยขึ้น แล้วหยุดอยู่กลางอากาศ
กระดาษที่กระจัดกระจายบ้างก็หมุนม้วน บ้างก็แผ่ราบ เหมือนกับถูกแช่แข็งในพริบตาแรกที่ถูกลมพัดขึ้น
เถ้าดำหลังจากเสื้อผ้าลุกไหม้ ลวดลายอักขระที่สาดแสงสีแดงบนพื้น ดาบกระบี่ที่ส่ายไปมาบนผนัง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพลังจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวหยุดเอาไว้
‘อือ…เกือบจะระเบิดแล้วสิ…อันตรายจริง’ ลู่เซิ่งตั้งหลักแล้วค่อยลุกขึ้น
ตอนนี้เขายังคงใช้กายเนื้อของโรแซง การกลับมาในครั้งนี้ เขาไม่ได้ใช้ร่างหลักกลับมา แต่ทดลองใช้ร่างกายของโรแซงกลับมา
ผลลัพธ์ก็คือในพริบตาที่เข้าสู่รอยแตกของมิติ เสื้อผ้าบนร่างเขาได้ทำลายตัวเอง กายเนื้อที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปานเริ่มพังทลายด้วยความเร็วสูง ถ้าไม่ใช่เขาตอบสนองทันเวลา ปลดปล่อยจิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าขั้นเทวปัญญาออกมาหลอกธรรมชาติเพื่อหยุดทุกสิ่ง ขวางกั้นทุกอย่าง เกรงว่าตอนนี้กายเนื้อของโรแซงคงพังทลายอย่างสิ้นเชิงแล้ว
‘ดูเหมือนจะยังไม่ไหว…เสียพลังจิตวิญญาณเร็วเกินไป การหยุดเวลาเป็นความสามารถพิเศษที่มีแต่อริยะเจ้าระดับเทวปัญญาถึงจะใช้ได้ ตอนนี้เราเองก็ใช้ได้เหมือนกัน แถมยังคงไว้ได้นานกว่าเทวปัญญาในบันทึกเสียอีก เพียงแต่ว่า…’ ลู่เซิ่งลุกขึ้น เลือดไหลออกจากเจ็ดทวาร ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
“เพียงแค่ว่า อย่างไรก็เสียพลังมากเกินไป ต่อให้เป็นสภาพของเราในตอนนี้ พลังจิตวิญญาณก็คงได้อย่างมากสุดหนึ่งนาทีเท่านั้น”
ตามความเข้าใจของลู่เซิ่งจากแต่ละช่องทาง การหยุดเวลาเป็นความสามารถพิเศษที่จะปรากฏออกมาโดยอัตโนมัติหลังจากจิตวิญญาณแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง เป็นความสามารถอันน่าสะพรึงที่สามารถควบคุมสภาพรอบๆ ได้ชั่วพริบตาหนึ่งซึ่งมีแค่ในหมู่เทวปัญญาเท่านั้น
อริยะเจ้าเทวปัญญาที่เพิ่งเลื่อนระดับทั่วไปใช้การหยุดเวลาได้ราวสิบวินาที ส่วนลู่เซิ่งเป็นเพราะปริมาณพลังวิญญาณเทียบได้กับเทวปัญญามากประสบการณ์จำนวนมาก ดังนั้นจึงไปถึงจุดสูงสุดของระดับนี้ โดยหยุดเวลาได้หนึ่งนาที
‘ตอนนั้นถ้าสือจื้อซิงไม่ช่วยควบคุมเซียวจื่อจู๋เจ้าแห่งมารควบคุมจิตใจไว้ ถ้าหากเป็นร่างหลักมาเอง เราในตอนนั้นคงสู้ไม่ได้ ดีที่ครั้งแรกที่เจอเป็นแค่ร่างหยินของมัน’ ลู่เซิ่งเข้าใจทุกสิ่งเมื่อก่อนหน้าในพริบตา
ต่อมาเขาเล่นงานเซียวจื่อจู๋ในทันทีที่พบหน้า เพิ่งจะเริ่มสู้กัน ก็ใช้ชิ้นส่วนคันฉ่องแห่งความเจ็บปวดลากอีกฝ่ายเข้าไปในโลกแห่งความเจ็บปวดทันที ไม่อาจไม่บอกว่าเสี่ยงอยู่บ้าง
แต่ผลลัพธ์กลับเห็นอย่างเป็นประจักษ์ เขาชนะแล้ว ส่วนเซียวจื่อจู๋ตายแล้ว
จิตวิญญาณไม่ได้มีพลังมากขนาดนี้ในโลกแห่งความเจ็บปวด ที่นั่นเพียงยอมรับพละกำลังกายทางกายภาพของกายเนื้อเท่านั้น ควันเทาในโลกแห่งความเจ็บปวดเป็นการดำรงอยู่ที่จิตวิญญาณไม่อาจหยุดเวลาเพื่อหยุดมันไว้ได้
‘เจ้าคนน่าสงสาร ตายได้อย่างน่าอัปยศจริงๆ’ ตอนนี้พอลู่เซิ่งหวนนึกถึง ก็รู้สึกเสียดายแทนเซียวจื่อจู๋ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพิภพมาร ยอดฝีมือระดับเทวปัญญา กลับถูกคนวางแผนเล่นงานจนตายในโลกแห่งความเจ็บปวดอย่างอดสู ถึงขั้นหลังจบเรื่องแล้วก็ยังไม่มีใครรู้ว่าฆาตกรเป็นใครอีก
……………………………………….