ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 526 ขีดจำกัด (2)
บทที่ 526 ขีดจำกัด (2)
ลู่เซิ่งหยุดความคิดที่ล่องลอย จากนั้นหัวใจก็แยกออกเป็นช่องเลือดช่องหนึ่ง ร่างหลักกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งจากด้านในแล้วพุ่งออกมา ก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อร่วงตกพื้น ไม่นานก็กลับคืนสู่ร่างเดิม
จากนั้นกายเนื้อของโรแซงก็หดลงอย่างรวดเร็ว แล้วผนึกรวมกลายเป็นก้อนเลือดเนื้อทรงกลมก้อนหนึ่ง ก่อนจะหายเข้าไปในทรวงอกของร่างหลัก
การกระทำนี้เพิ่งจะจบลง เวลาของการหยุดเวลาก็หมดลง
ทุกสิ่งทุกอย่างในตำหนักวิจัยกลับสู่สภาพปกติในพริบตา
กระดาษที่ปลิวว่อนค่อยๆ ร่วงตกพื้น อุปกรณ์ทดลองกลิ้งหลุนๆ ไปถึงมุมกำแพง แสงของลวดลายอักขระบนพื้นกะพริบต่อไปเหมือนกับจังหวะหายใจ
‘ระบบการเลื่อนระดับกายเนื้อของโลกใบนี้เปราะบางเกินไป แตกต่างกับระบบของต้าอินโดยสิ้นเชิง เมื่ออยู่ที่นี่จึงเป็นการผสมผสานที่ขัดแย้งกันโดยสมบูรณ์ จะพังทลายก็ถือว่าปกติ’ ลู่เซิ่งสัมผัสกายเนื้อของโรแซงในร่างอยางละเอียด
กายเนื้อกำลังพังทลายด้วยความเร็วสูง ทว่าจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ถอยออกมาจากด้านในโดยสมบูรณ์แล้ว ขณะเดียวกันก็ดึงจิตวิญญาณเดิมของโรแซงออกมาด้วย
กรรมถูกสะสางแล้ว จิตวิญญาณอันอ่อนแอของโรแซงจึงค่อยๆ หายเข้าไปในจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของลู่เซิ่ง
ถึงแม้ถ้าเทียบกับลู่เซิ่งแล้ว จิตวิญญาณของโรแซงจะเล็กกระจ้อยเหมือนกับเม็ดงา แต่เม็ดงาเม็ดนี้กลับมีประโยชน์ต่อลู่เซิ่งเหมือนกับปฏิกิริยาทางเคมี
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิ หลับสองตาแน่น เขาสัมผัสได้ว่าจิตที่อ่อนแอถึงขีดสุดอีกจิตหนึ่งในจิตของตัวเองกำลังสลายด้วยความเร็วสูง
พอไม่มีความเสียดายและความอาลัยอาวรณ์เหลืออยู่อีก จิตของโรแซงก็หลอมละลายเข้ากับจิตวิญญาณของตัวเองด้วยความเร็วสูง ลู่เซิ่งเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าในขณะที่ทั่วร่างเย็นเยียบเสียดกระดูก อยู่ๆ ก็มีความอบอุ่นสายหนึ่งไหลออกมาจากด้านในร่างกาย แล้วมอบความอบอุ่นไปทั่วร่างจนรู้สึกสุขสบาย
เขาคล้ายเห็นประตูบานหนึ่งในชั่วขณะที่สติเลือนราง
เป็นประตูใหญ่สีดำที่บนกรอบมีสัตว์ประหลาดน่ากลัวซึ่งเหมือนกับค้างคาวสองตัวเกาะอยู่
ประตูบานนั้นอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิต แก่นสารทั้งหมดที่เขาได้เรียนมาได้นับไม่ถ้วนถูกสลักไว้บนประตู
แก่นสารทั้งหมดของวิชาไร้ขอบเขตล้วนกลายเป็นสัญลักษณ์เรียบง่ายมากมายสลักอยู่บนบานประตู
‘นี่คือขอบเขตเจ้าแห่งอาวุธเหรอ…’ ลู่เซิ่งพลันเข้าใจแล้ว
เขาก้มหน้าจ้องมองสัญลักษณ์ลวดลายบนประตู สัญลักษณ์ทั้งหมดเป็นตัวแทนความสำเร็จและพลังทั้งหมดตั้งแต่เขาเริ่มฝึกฝนมา
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองดูสัตว์ประหลาดสีดำสองตัวที่อยู่บนสุดของประตูใหญ่
สัตว์ประหลาดที่เหมือนกับค้างคาว ท่อนล่างหลอมรวมเป็นหนึ่งกับประตู ในเบ้าตาของพวกมันไม่มีลูกตา หากแต่เป็นไฟหยินสีเขียวที่กำลังลุกไหม้สองกลุ่ม
ลู่เซิ่งจ้องมองสัตว์ประหลาดทั้งสองตัว และเหมือนเห็นเส้นสายอันพิสดารของเทวลักษณ์วารีลี้ลับจากในดวงตาของพวกมัน
ตูม
อยู่ๆ รอบๆ ก็พร่ามัว ลู่เซิ่งได้สติกลับมา พลันพบว่าไม่ทราบว่าตนเองหมดสติล้มอยู่บนพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าหมดสติไปนานขนาดไหนแล้ว
‘บัดซบ!’ เขาตะกายลุกขึ้น ถ้าหากศัตรูพบสภาพเมื่อครู่แล้วลอบโจมตี หากเขาไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
เขาลูบกายเนื้อ ก่อนจะพบว่าร่างกายเย็นยะเยือกอยู่บ้าง จากนั้นก็นึกทบทวนกระบวนการทั้งหมดเมื่อครู่อย่างละเอียด
สุดยอดความสามารถด้านพลังจิตวิญญาณของอริยะเจ้าระดับเทวปัญญาที่แข็งแกร่งและน่ากลัวพลันสำแดงออกมาให้เห็น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ถูกเล่นให้ช้าลงสิบเท่าทีละฉากๆ โดยปรากฏในจิตของลู่เซิ่งอีกรอบ
เขานึกทบทวนไปเรื่อยๆ ไม่นานก็เข้าใจสภาพในตอนนั้นของตัวเอง
‘เป็นการแตะประตูเขตแดนของเจ้าแห่งอาวุธ ดูเหมือนจะคล้ายๆ กับการลอกคราบของจิตวิญญาณ เจ้าแห่งอาวุธ…แล้วเจ้าแห่งอาวุธเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่นะ’ ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าบางทีตนอาจจำเป็นต้องขอให้เจ้าแห่งอาวุธสักคนชี้แนะให้แล้ว
ในข้อมูลทั้งหมดที่เขามีอยู่ ณ เวลานี้ ล้วนไม่มีการบันทึกอย่างละเอียดต่อเจ้าแห่งอาวุธ ต่อให้เป็นคัมภีร์หยกมารสวรรค์ที่จวี้เยี่ยนมอบให้ในโลกพลังวิญญาณ ก็ไม่มีการบันทึกรายละเอียดทางด้านนี้เช่นกัน
จวี้เยี่ยนในตอนนั้นไม่ได้มีเจตนาดีอยู่แล้ว ตอนนี้พอหวนนึกถึงเนื้อหามากมายในคัมภีร์หยกดู ล้วนเป็นฉบับไม่สมประกอบ ไม่มีส่วนช่วยใดๆ ต่อการฝึกฝนแม้แต่น้อย
ผลพลอยได้เพียงหนึ่งเดียวคือเขาใช้ภาษาภัยพิบัติได้
ภาษาพิเศษที่ใช้สื่อสารทางจิตวิญญาณได้ อาศัยเสียงและการสั่นสะเทือนในการสื่อสาร สามารถก้าวข้ามกำแพงทางภาษาของหลากหลายเผ่าพันธุ์ได้
ระหว่างพักผ่อนอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยหนึ่งเท่า หลังจากตนดูดซับโรแซงไป
เขาไม่รู้ว่าตัวเองมาถึงระดับไหนแล้ว แต่ถ้าหากดูจากปริมาณจิตวิญญาณ เขามั่นใจว่าตนเองไม่แพ้อริยะเจ้าระดับเทวปัญญาระยะปลายแน่นอน
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ กายเนื้อที่แข็งแกร่งของโรแซงได้พังทลายลงโดยสิ้นเชิงเพราะกฎธรรมชาติ วัตถุห้าส่วนในนี้ถูกร่างหลักดูดซับมาใช้เพิ่มความแข็งแกร่ง ส่วนที่เหลือได้แต่ถูกกำจัดกลายเป็นของเสียไป
จิตวิญญาณกับกายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นพร้อมกัน ลู่เซิ่งดูอินเตอร์เฟสของดีปบลู
[วิชาไร้ขอบเขต: ขอบเขตที่ห้า, รวบรวมยอดศัสตราระดับหก—ศัสตราโลหิต (คุณสมบัติพิเศษ: วิถีแปดมารสูงสุด, หยุดเวลา, หลอกธรรมชาติ, จิตวิญญาณแข็งแกร่ง…)]
คุณสมบัติพิเศษมากมายหลากหลายต่อจากนั้น ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเอง และการยกระดับความต้านทานทุกชนิด เช่น ความต้านทานทางกายภาพ ความต้านทานต่อพลังงาน
ถึงแม้เนื้อหาในกรอบจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เทียบกับก่อนหน้าแล้ว ในคุณสมบัติพิเศษมีความสามารถหยุดเวลาและหลอกธรรมชาติเพิ่มมา แถมจิตวิญญาณยังเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนหน้าหนึ่งเท่ากว่าๆ ด้วย ถือว่าได้แตะกับเขตแดนของเจ้าแห่งอาวุธแล้ว
‘ยกระดับขึ้นจริงๆ ด้วย มาถึงระดับปลายสุดที่ห่างจากเจ้าแห่งอาวุธเพียงเส้นกั้นบางๆ เท่านั้นแล้ว ครั้งต่อมาคงจะเลื่อนสู่ระดับเจ้าแห่งอาวุธได้ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางธรรมชาติจริงๆ’
ด้วยระดับของลู่เซิ่งในปัจจุบัน ต่อให้ยืนอยู่กับที่พร้อมกับปล่อยให้คนทุบตี อย่างน้อยมีแต่ระดับผู้ถืออาวุธระเบิดพลังทั้งหมดเท่านั้น จึงอาจจะเจาะความต้านทาน แล้วทิ้งร่องรอยไว้บนร่างเขาได้
นี่แค่ทิ้งร่องรอยไว้เท่านั้น หากจะทำร้ายเขาจริงๆ อย่างน้อยต้องโจมตีสุดกำลังด้วยอาวุธเทพที่มีเฉพาะอริยเจ้าดาวหยกก่อน ถึงจะสร้างอาการบาดเจ็บได้
นี่…ยังเป็นแค่สภาพหยินโชติช่วงของเขาเท่านั้น…ต่อจากแปดวิถีมารสูงสุดยังมีสภาพร่างหลัก สภาพหยางโชติช่วง รวมถึงหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง หรือสภาพผู้ทำลายล้างที่แข็งแกร่งที่สุด แม้แต่ตัวเขายังไม่รู้ว่า หากตนในตอนนี้ลงมือสุดกำลัง จะบรรลุระดับไหน
‘เราในตอนนี้ เทียบกับตอนที่ต่อสู้กับเซียวจื่อจู๋ในตอนนั้นแล้ว คงจะแข็งแกร่งกว่าสักสิบเท่าได้มั้ง’ ลู่เซิ่งกำหมัด ลุกขึ้นยืน รู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง
ร่างหลักเหยียบอยู่ในเขตแดนของเจ้าแห่งอาวุธแล้ว เพียงจำเป็นต้องก้าวเข้าประตู อีกนิดเดียวก็จะเข้าสู่ระดับใหม่ได้
ตั้งแต่โบราณกาลถึงปัจจุบัน เกรงว่าเจ้าแห่งอาวุธทั้งหมดล้วนไม่มีใครมีความเร็วในการยกระดับสู้เขาได้
‘ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่ความสามารถพิเศษหยุดเวลา ก็สามารถสะกดตัวตนทั้งหมดที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทวปัญญาได้แล้ว ถ้าหากเราในตอนนั้นไม่ได้ใช้คันฉ่องแห่งความเจ็บปวดวางแผนเล่นงานเซียวจื่อจู๋อย่างเหนือความคาดหมาย เกรงว่าคนที่แพ้ในตอนสุดท้ายจะเป็นตัวเราเอง ต่อจากนี้ คนที่เราติดต่อได้ง่ายที่สุดก็คืออริยะเจ้าประกายขั้วโลกแห่งสำนักพันอาทิตย์ บางทีอาจคุยกับเขาเพื่อขอคำชี้แนะดูได้’
อริยะเจ้าประกายขั้วโลกมีประวัติที่เข้าใจง่ายที่สุด
ตัวเขาเป็นพี่ชายของเชียนตู้ ทั้งยังเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ซึ่งหลับใหลอยู่ในโลกที่เปลี่ยวร้างแห่งหนึ่งในโลกด้านนอกที่ต้าอินติดต่อด้วย ภายหลัง หลังจากเขาถูกพบ เป็นเพราะมีนิสัยเป็นมิตร เจ้าสำนักพันอาทิตย์รุ่นก่อนจึงรับเข้าเป็นศิษย์
อริยะเจ้าประกายขั้วโลกกับเชียนตู้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ เป็นพี่น้องบังเกิดเกล้าหรือว่าคนรู้จัก ข้อนี้ไม่มีใครรู้ ลู่เซิ่งเองก็ไม่ได้สนใจนัก
แต่ว่าที่บอกว่าประกายขั้วโลกมีนิสัยเป็นมิตรและน่าคบหานั้นเป็นความจริง เป็นเพราะว่าจุดนี้ อริยะเจ้าและศัสตราเทพคลั่งทั้งหมดของสำนักพันอาทิตย์ใต้สังกัดของเขาจึงยอมให้เขารับตำแหน่งต่อ
หลังจากตกลงใจเสร็จ ลู่เซิ่งก็ลุกขึ้นเดินไปถึงหน้าประตู ตรงปลายนิ้วมีแก่นหยางสีเงินอมขาวสายหนึ่งลอยขึ้น แล้วแตะใส่เบาๆ ทันใดนั้นแก่นหยางกลายเป็นเส้นเรียวเล็ก เปลี่ยนเป็นลวดลายสีเงินสายหนึ่งโดยอัตโนมัติ ก่อนจะประทับบนประตูใหญ่
แกร๊ก
ประตูเปิดออก
ตวนมู่หว่านนั่งอยู่ข้างประตู เตรียมจะส่งอาหารในมือเข้าช่องอาหาร พอได้ยินเสียง นางก็รีบเงยหน้าขึ้น
“ใต้เท้า! ท่านออกจากการกักตนแล้วหรือ” หน้างามแสดงความยินดี รีบกล่าวอย่างนอบน้อม
ตวนมู่หว่านมีความเคารพเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เซิ่ง พร้อมกับที่พลังและตำแหน่งของทั้งสองค่อยๆ แตกต่างกันมากขึ้นในเวลาหลายปีมานี้
นอกจากจะแสดงความท้อแท้ห่อเหี่ยวออกมาบ้างในบางครั้งแล้ว ที่เหลือล้วนไม่มีปัญหา นางก็มีพลังธรรมดา แต่ความสามารถในการดูแลกลับยอดเยี่ยมถึงขีดสุด จัดระเบียบสำนักมารกำเนิดในสังกัดของลู่เซิ่งได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน
หลายๆ ครั้งราชาเงามืดกับผู้เฒ่าสือจะมอบเรื่องเล็กที่ไม่ได้สำคัญอะไรนักให้นางจัดการ
ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้พลังของตวนมู่หวานจะเป็นแค่ระดับปฐพีกำเนิด แต่เมื่อมีอาวุธเทพชิ้นหนึ่งที่ลู่เซิ่งมอบให้ นาง ก็ถือว่าไปถึงระดับผู้ถืออาวุธแล้ว
เพียงแต่ว่าระดับผู้ถืออาวุธนี้เป็นของปลอม เทียบกับผู้ถืออาวุธที่ได้รับการยอมรับจากอาวุธเทพอย่างแท้จริง อย่างมากสุดนางก็แข็งแกร่งกว่าปฐพีกำเนิดทั่วไปเท่านั้น
“ข้ากักตนนานเท่าไหร่” ลู่เซิ่งถาม
“เรียนใต้เท้า สองเดือนกว่าๆ เจ้าค่ะ” ตวนมู่หว่านตอบอย่างตั้งใจ
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งคำนวณเทียบเวลา เขาอยู่ในโลกของเมืองนั้นหนึ่งปีกว่าๆ
‘ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่ การไหลของเวลาต่างกันไม่ถึงสิบเท่า…’ เขาส่ายหน้าในใจ ทราบว่า หากไม่ใช่ค่ายกลก็ตรงไหนสักที่ที่เกิดความคลาดเคลื่อน
“ในสำนักกับในคฤหาสน์เกิดเรื่องใหญ่อะไรไหม” ลู่เซิ่งดึงเสื้อคลุมสีดำที่แขวนบนผนังมา และเดินไปยังตำหนักหลักของวังมารพร้อมกับตวนมู่หว่าน
“ในสำนักเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ แต่ว่าทางคฤหาสน์ ก่อนหน้านี้ฮูหยินเฒ่าออกไปท่องเที่ยว และได้เก็บเด็กสาวที่หมดสติและไม่รู้ที่มาที่ไปคนหนึ่งกลับมาจากในป่า พวกข้าน้อยกำลังตรวจสอบสถานะที่แท้จริงของนางอยู่” ตวนมู่หว่านกล่าวเบาๆ
“อ้อ เด็กสาวคนนั้นอายุเท่าไหร่ บนตัวมีความผิดปกติหรือไม่” ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้าพร้อมกับถามต่อ
ตวนมู่หว่านส่ายหน้า
“ไม่มีความผิดปกติใดๆ แต่นี่จึงเป็นความผิดปกติที่เห็นชัดที่สุด เป็นเพราะตอนที่ฮูหยินเฒ่าออกท่องเที่ยว พวกเราได้ส่งคนไปจัดเส้นทางไว้ก่อนแล้ว ไม่มีทางมีใครเข้ามาในเส้นทางง่ายๆ อย่าว่าแต่คน ต่อให้เป็นพวกแมลง พวกเราก็ต้องคัดเลือกก่อนถึงจะปล่อยเข้าไป”
“นางชื่ออะไร”
“เอ่อ…นางอ้างว่าเสียความทรงจำ ฮูหยินเฒ่าจึงตั้งชื่อให้นางว่าลู่หลัน ใช้แซ่เดียวกับท่าน” ตวนมู่หว่านตอบอย่างระมัดระวัง
“ในสำนัก ทางด้านพันอาทิตย์ ตรวจไปไม่เจอเส้นสนกลในเลยหรือ” ลู่เซิ่งแปลกใจ
“เจ้าค่ะ แต่พวกเฒ่าสือมาดูด้วยตัวเองแล้ว เด็กสาวคนนี้เป็นคนธรรมดา ไม่มีความผิดปกติตรงไหน และไม่มีการคุกคามใด” ตวนมู่หว่านตอบอย่างละเอียด
ลู่เซิ่งหยุดอยู่นิ่ง สีหน้าไตร่ตรอง
ตอนนี้สำนักมารกำเนิดดูเหมือนหยุดการพัฒนา แต่เป็นเพราะเขามีที่พึ่งอย่างดีปบลูอยู่ ดังนั้นในความจริงแล้วจึงกำลังอยู่ในช่วงจำศีล ส่วนเขาก็แค่ปกปิดพลังของสำนักมารกำเนิดไว้
เมื่อเวลามาถึง วันที่เขาทะยานขึ้นสู่เก้าชั้นฟ้า จะเป็นเวลาที่เขาครอบครองต้าอิน กำจัดศัตรูและทำลายแผนการร้ายทั้งหมดทิ้ง
แต่ว่าความลับนี้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้ แม้แต่ลูกและภรรยาที่ใกล้ชิดที่สุดก็ยังไม่ทราบถึงสภาพของเขาในเวลานี้
คนในโลกภายนอกทั้งหมดคิดว่าเขาต้องใช้เวลาอยู่ในระดับอริยะเจ้าอีกหลายร้อยหลายพันปี
ลู่เซิ่งไม่เชื่อว่าจะมีคนจงใจเลือกเล่นงานตนในเวลานี้ นอกจากนั้นยังเป็นเพราะมีการดำรงอยู่ของหลี่ซุ่นซีอยู่ด้วย ความพิเศษของอาวุธเทพในตัวหลี่ซุ่นซีสามารถหยั่งรู้อนาคตได้ ถ้าหากเขาค้นพบความผิดปกติ จะต้องมาเตือนตนอย่างแน่นอน
นี่เป็นหลักประกันที่ใหญ่มาก
“อีกประเดี๋ยวให้นางมาพบข้า” ลู่เซิ่งทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าเข้าตำหนักหลัง
เหง่ง…หง่าง…เหง่ง…
ระฆังเรียกประชุมค่อยๆ ดังขึ้น
ระดับสูงของสำนักมารกำเนิดต่างทราบว่า เจ้าสำนักออกจากการกักตนแล้ว และกำลังเรียกทุกคนไปประชุม
……………………………………….