ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 531 เวลา (3)
บทที่ 531 เวลา (3)
“เอ่อ…เรื่องนี้…เป็นอุบัติเหตุ อุบัติเหตุ…” หลี่ซุ่นซีค่อนข้างจนปัญญา คิดจะอธิบายอย่างกระอักกระอ่วน แต่ผ่านไปนานสองนานก็คิดคำพูดไม่ออก
“วันแต่งงานกับวันเกิดลูกสาวคือวันเดียวกัน เจ้านี่ร้ายกาจนะ…” ลู่เซิ่งปิดเทียบเชิญพร้อมกับกล่าวอย่างจนใจ
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางจะแอบข้าคลอดลูกเมื่อก่อนหน้านี้…” หลี่ซุ่นซีกล่าวพลางส่ายหน้า “แต่ในเมื่อเกิดแล้วก็เป็นเมล็ดพันธุ์ของตระกูลหลี่” พูดถึงตรงนี้เขาก็แสดงสีหน้าจริงจังขึ้น
ลู่เซิ่งตบบ่าเขาโดยไม่ได้พูดอะไร
หลังจากทั้งสองนั่งลง หลี่ซุ่นซีก็บอกให้พวกองครักษ์กับหญิงรับใช้ข้างกายถอยไป จากนั้นก็ต้องชักแม่น้ำทั้งห้าถึงลากชายชราสองคนนั้นออกไปเพื่อให้เขาได้พูดคุยกับลู่เซิ่งเป็นการส่วนตัวได้
ในตำหนักใหญ่ ลู่เซิ่งบอกให้คนของสำนักมารกำเนิดถอยไปเช่นกัน ตอนนี้เขานั่งหันหน้าเข้าหาหลี่ซุ่นซี
“พี่ใหญ่ลู่ ช่วงนี้ท่านต้องระวังหน่อย” พอหลี่ซุ่นซีเห็นคนไปแล้ว ก็โบกมือขวาขึ้น รอบๆ มีม่านโปร่งขมุกขมัวสีขาวนวลปรากฏขึ้นมาและอำพรางคนทั้งสองไว้
“อ้อ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป
เขารู้ว่าหลี่ซุ่นซีต้องไม่ปล่อยลูกศรโดยไร้เป้าหมายแน่ รอบนี้ที่กางธงใหญ่มา จะต้องพิจารณาหลายๆ ด้านแล้วแน่นอน
ถึงอย่างไรเขาในตอนนี้ก็ไม่ใช่คนพเนจรในยุทธภพที่หัวเดียวกระเทียมลีบอีกแล้ว
หลี่ซุ่นซีผุดสีหน้าจริงจัง สองมือประสานมุทราหลายท่าด้านหน้าดุจสายฟ้าฟาด
ฟิ้ว!
จอภาพโปร่งแสงรูปครึ่งวงกลมที่เหมือนกับแก้วพลันปรากฏขึ้นระหว่างคนทั้งสอง บนจอภาพปรากฏภาพเหมือนมีสีมากมาย
ภาพเหมือนแสดงให้เห็นถึงอาณาเขตสีเทาผืนใหญ่ ด้านบนระบุชื่อพื้นที่ในต้าอินไว้อย่างชัดเจน จุดที่อยู่ใกล้ทางเหนือด้านบนสุดคืออินตู
“พี่ใหญ่โปรดดู” หลี่ซุ่นซีชี้ภาพเหมือน “นี่คือดินแดนของต้าอินในวันนี้” เขาเคาะบนจอเบาๆ ด้านบนพลันมีอาณาเขตเกือบหนึ่งในห้าส่วนค่อยๆ กลายเป็นสีดำ
‘อาณาเขตสีดำเหล่านี้คืออาณาเขตที่หมดวิธีควบคุมแล้ว พร้อมจะถูกโลกแห่งความเจ็บปวดข้ามมิติมาจุติสู่ผืนดินได้ตลอดเวลา’
เขาเคาะจอภาพเบาๆ อีกครั้ง
ไม่นานทางตะวันออกของแผนที่ต้าอินก็ปรากฏอาณาเขตสีแดงที่เตะตาขึ้นมาผืนใหญ่
“ตรงนี้เป็นที่ที่อาจถูกวิญญาณร้ายทำให้ปนเปื้อน สัตว์ประหลาดต่างโลกที่มาจากนอกโลกเหล่านี้กินทุกอย่าง นอกจากนั้นวิธีการแทรกซึมก็มีหลากหลาย ยากขจัดถึงขีดสุด”
ครั้งนี้ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว เขตจันทราสารทของเขาตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อของอาณาเขตสองผืนนี้พอดี ด้านซ้าย โลกแห่งความเจ็บปวดสามารถจุติได้ตลอดเวลา ส่วนทางขวา สัตว์ประหลาดวิญญาณร้ายพร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา
“นี่คือเป้าหมายที่ผู้น้องมาในครั้งนี้ พี่ใหญ่ลู่ ความจริงไม่ใช่แค่ท่านเท่านั้น อาณาเขตที่สำนักซ่อนธาตุกับสำนักพันอาทิตย์ควบคุม ก็อยู่ในรอยต่อของอาณาเขตสองผืนใหญ่นี้เช่นกัน เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกมุ่งหน้าไปสะกดวิญญาณร้ายที่ประตูมายาด้วยตัวเองก็เพราะสาเหตุนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นแนวหน้าคนแรกเพื่ออะไรเล่า” หลี่ซุ่นซีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งแปลกใจเล็กน้อยเช่นกัน จนกระทั่งตอนนี้หลี่ซุ่นซีบอกให้เข้าใจ เขาค่อยเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้ชัด
สถานการณ์ใหญ่ในปัจจุบัน สำนักพันอาทิตย์กับสำนักซ่อนธาตุอาจจะเผชิญสถานการณ์ที่ถูกสองการคุกคามโค่นล้มได้โดยสมบูรณ์ตลอดเวลา
เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกได้รับบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ตอนนี้ยังต้องสะกดความขัดแย้งภายใน และป้องกันการจุติของวิญญาณร้ายรวมถึงโลกแห่งความเจ็บปวดด้วยพลังของตัวเองอีก แรงกดดันมหาศาลจนยากจะจินตนการ
“นอกจากนั้นอริยะเจ้าเชียนตู้อาจารย์ของท่านก็ใช้ร่างหลักสะกดจุดรั่วไหลของวิญญาณร้ายจุดหนึ่งโดยตลอดเช่นกัน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ของสำนักพันอาทิตย์คงจะเลวร้ายกว่านี้อีก” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งไตร่ตรองพร้อมกับจับจอกชาเบาๆ ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ๆ
นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาที่อริยะเจ้าหนึ่งหรือสองคนจะแก้ไขได้ หากเกี่ยวพันถึงระดับเจ้าแห่งอาวุธ แถมสถานการณ์ของสำนักพันอาทิตย์ในเวลานี้ ต่อให้เจ้าแห่งอาวุธทั่วทั้งต้าอินไม่มีใครเป็นอะไรแล้วมารวมตัวกันต่อสู้ ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานได้ไหว
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง
“อย่างนั้น จุดมุ่งหมายของสำนักไตรอริยะของพวกเจ้าคืออะไร…” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม
หลี่ซุ่นซียิ้มหนักใจ
“อริยะปฐพีสามกำเนิดเก้าหอคอยอาจารย์ของข้าคือหนึ่งในราชาอริยะแห่งสำนักไตรอริยะ คอยทำหน้าที่จับตาดูทิศทางของโลกแห่งความเจ็บปวดมาโดยตลอด ครั้งนี้ที่ข้ามา เดิมเพื่อเป็นตัวแทนอาจารย์ไปเยี่ยมเยือนเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกโดยเฉพาะ เพียงแต่ผ่านทางมาที่นี่พอดี จึงถือโอกาสเตือนพี่ใหญ่ลู่เท่านั้น”
ลู่เซิ่งพลันเข้าใจ
ตอนนี้ระดับของหลี่ซุ่นซีไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ครั้งนี้เขาเทียบได้กับทูตของสำนักไตรอริยะ ภารกิจหลักคือการติดต่อกับเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลก ในความเป็นจริงเขาจะไม่มาก็ได้ แต่เขาก็ยังมาเพื่อเตือนลู่เซิ่งโดยเฉพาะในฐานะเพื่อน
“อย่างนั้น…จุดประสงค์ของเจ้าคือ…” ลู่เซิ่งสีหน้าเรียบเฉย
“ถ้าหากทำได้ พี่ใหญ่ลู่ควรจะเปลี่ยนที่อยู่” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างจริงจัง
“เรื่องนี้ ข้าจะพิจารณาดู” ลู่เซิ่งพยักหน้า ตอนนี้สำนักมารกำเนิดได้หยั่งรากในพื้นที่นี้เรียบร้อยแล้ว การเปลี่ยนสถานที่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
“เอาละ คุยเรื่องหลักกันจบแล้ว พี่ใหญ่ลู่อยากจะเจอลูกสาวข้าหรือไม่” พอหลี่ซุ่นซีพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าพลันต่างไปจากเดิม “ตอนนั้นได้ยินว่าลู่หนิงลูกชายของพี่ใหญ่ถือกำเนิด แต่ไม่ได้มาอวยพรในทันที ต้องโทษข้า ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า พวกเราสองบ้านหมั้นกันไว้แต่เด็ก พี่ใหญ่ท่านช่วยข้าพ้นภัยมาหลายครั้ง ผู้น้องซาบซึ้งตื้นตันใจนัก เพื่อไม่ให้เกิดความห่างเหินกันในภายหลัง การดองกันแบบนี้ดีออกไม่ใช่หรือ”
ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้นก็หวั่นไหวเล็กน้อย หลี่ซุ่นซีโชคดีมาโดยตลอด สามารถรอดชีวิตจากความตายได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ในที่สุดก็มีชีวิตมั่นคงแล้ว ศัตรูคู่แค้นและความยากลำบากเมื่อก่อนหน้า เมื่อมาอยู่ต่อหน้าขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ระดับสำนักไตรอริยะ ล้วนเปราะบางอ่อนแอเหมือนตั๊กแตนใช้ขาขวางรถ
สำนักไตรอริยะสืบทอดมาหลายปี มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตำแหน่งมั่นคง การดองกับเขาเป็นญาติ ถือเป็นหลักประกันให้แก่ตระกูลลู่
หลังจากพิจารณาดูเล็กน้อย ลู่เซิ่งก็พยักหน้าเบาๆ
“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หาเวลาตกลงกันได้เลย”
หลี่ซุ่นซีได้ยินดังนั้นก็ยินดี “อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
ความจริงเขาไม่ได้บอกกับลู่เซิ่งว่า เดิมทีอาจารย์ของเขาคิดจะให้ลูกสาวของเขาหมั้นหมายกับคนรุ่นหลังของเจ้าแห่งอาวุธอีกคนหนึ่ง
แม้อายุจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ตำแหน่งกลับใกล้เคียงกัน เพียงแต่หลี่ซุ่นซีสู้ด้วยเหตุผล ยืนกรานว่าเรื่องในบ้านตัวเองจะจัดการเอง จึงค่อยรีบมาทางนี้เพื่อตกลงเรื่องหมั้นหมายกับลู่เซิ่ง
สิ่งที่อาจารย์ให้ความสำคัญส่วนใหญ่แล้วเป็นความเท่าเทียมของสถานะในการแลกเปลี่ยน แต่หลี่ซุ่นซีกลับจดจำบุญคุณที่ลู่เซิ่งเคยช่วยชีวิตเขามาแล้วหลายต่อหลายครั้งได้เสมอ ถ้าหากว่ายืนยันความสัมพันธ์ด้านนี้ได้ วันหน้าภายใต้ขุมกำลังยิ่งใหญ่ เขาจะมีความมั่นใจในการเรียกใช้ทรัพยากรของสำนักเพื่อลงมือปกป้องได้
เทียบกับลูกหลานของขุมกำลังระดับสุดยอดแห่งอื่นที่อาจารย์หมายตา หลี่ซุ่นซีไม่สนใจการขยับขยายอำนาจในภายหลัง เทียบกับการขยายอิทธิพลแล้ว เขาให้ความสำคัญกับน้ำใจคนยิ่งกว่า
หลังจากตกลงกันแล้ว ลู่เซิ่งก็พาหลี่ซุ่นซีไปเจอลู่หนิงที่เป็นลูกชายด้วยกัน หลังจากหลี่ซุ่นซีมอบหยกล้ำค่าชิ้นหนึ่งให้แก่ลู่หนิงต่อหน้าทุกคนแล้ว ลู่เซิ่งก็ได้มอบหยกม่วงชิ้นหนึ่งให้แก่หลี่หานจูลูกสาวของหลี่ซุ่นซีเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นเครือญาติกันโดยมีอริยะเจ้าทงเซิงเป็นสักขีพยาน
เรื่องนี้แพร่หลายไปทั่วเขตจันทราสารทอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็กระจายไปรอบๆ ด้วย ขุมกำลังใหญ่ต่างก็ได้รับข้อมูลเรื่องนี้ในทันที
สำนักไตรอริยะเป็นกองกำลังยิ่งใหญ่อย่างสมศักดิ์ศรีซึ่งแตกต่างจากขุมกำลังอย่างสำนักมารกำเนิด แข็งแกร่งกว่าสามสำนักและสามตระกูล ขุมกำลังยิ่งใหญ่ที่ซ่อนเร้นมาโดยตลอด ทั้งยังซ่อนตัวอยู่ในเงามืดกลุ่มนี้ แม้หลายปีมานี้จะค่อยๆ เผยหนวดออกมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ปรากฏตัวท่ามกลางสายตาของทุกๆ คนอย่างเปิดเผยเช่นนี้
มีมือมืดหลังฉากจำนวนไม่น้อยรอเคลื่อนไหว แต่ว่าในวันเวลาสองสามวันสั้นๆ หลังจากหลี่ซุ่นซีไปถึงสำนักมารกำเนิด อาณาเขตใกล้ๆ เขตจันทราสารทก็มีกระแสสั่นสะเทือนส่งมาเป็นระยะ หนวดที่มีเจตนาร้ายทั้งหมดซึ่งถูกส่งไปโดนยอดฝีมือลึกลับสังหารหมดสิ้นในเวลาไม่กี่วัน
ในนี้ยังรวมถึงสายลับที่หกสำนักส่งไปด้วย เหล่ามือมืดต่างตื่นตระหนก และสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความแข็งกร้าวเกรี้ยวกราดของสำนักไตรอริยะ
สำนักไตรอริยะ หากจะพูดให้ถูกต้อง มันไม่ใช่ขุมกำลังของต้าอิน แต่เป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่ที่พาดผ่านทวีปและยืดขยายไม่ทราบเท่าไหร่ เวลาในการดำรงอยู่ของมันเกรงว่าจะยาวนานยิ่งกว่าอาณาจักรต้าอินเสียอีก
หลังจากจัดการภารกิจต่างๆ เสร็จ ลู่เซิ่งก็ส่งพวกหลี่ซุ่นซีที่รีบเร่งไป พอการคุกคามได้รับการแก้ไข ทงเซิงก็ขอตัวเช่นกัน เขตจันทราสารทจึงกลับมาสงบดั่งเช่นในวันวานอีกครั้ง
ลู่เซิ่งได้รวบรวมข้อมูลของสำนักไตรอริยะในเวลาหลายปีมานี้ และสรุปสถานการณ์ที่ได้ทราบจากการแลกเปลี่ยนกับหลี่ซุ่นซีในครั้งนี้ พร้อมกับยืนยันทีละเรื่อง
กลิ่นกำยานลอยขึ้นสูงถึงหนึ่งหมี่ก่อนจะสลายหายไปตามธรรมชาติ
ลู่เซิ่งคุกเข่าอยู่ในห้องหนังสือ ด้านหน้ามีม้วนกระดาษเอกสารขนาดต่างๆ วางกองอยู่
‘จากข้อมูลที่หลี่ซุ่นซีบอก สำนักไตรอริยะหลุดพ้นจากวัตถุทางโลก ปกติจะไม่ติดต่อกับโลกด้านนอกอย่างเป็นทางการ อย่างมากสุดก็แค่โน้มนำและเข้าร่วมอย่างลับๆ เท่านั้น ตอนที่สำนักไตรอริยะออกหน้าอย่างแท้จริง จะเป็นเวลาที่มหาภัยพิบัติมาถึง’
‘เพียงแต่ตอนนี้เจ้าแห่งอาวุธแห่งต้าอินได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งๆ ที่พิภพมารมีจักรพรรดิมารอยู่หลายคน แต่ก็ยังคงสะกดทัพไว้ไม่เคลื่อนพล ปล่อยให้เหวยลาวุ่นวายไปทั่ว สถานการณ์ค่อนข้างแปลกประหลาด’
‘ตอนนี้สำนักไตรอริยะเผยโฉมแล้ว’ สำนักไตรอริยะมีความลึกลับถึงที่สุด สามารถรักษาตำแหน่งสุดยอดในต้าอินได้ จะต้องมีเจ้าแห่งอาวุธอยู่ด้วยแน่นอน แต่หากแยกแยะจากน้ำเสียงของหลี่ซุ่นซีแล้ว เหมือนกับว่าเจ้าแห่งอาวุธแห่งสำนักไตรอริยะไม่มีทางยืนสู้อยู่ข้างเดียวกับโลกมนุษย์หรือพิภพมารเด็ดขาด
‘ดูเหมือนองค์กรนี้จะเกิดขึ้นเพื่อสู้กับโลกแห่งความเจ็บปวดโดยเฉพาะ’ ลู่เซิ่งฉุกใจได้
สถานะครึ่งหนึ่งในปัจจุบันของเขาคือสมาชิกในเขตลัทธิของโลกแห่งความเจ็บปวด หากว่าโลกแห่งความเจ็บปวดจุติจริงๆ อย่างนั้นเขาก็มีสองทางเลือก
ข้อแรกคือหันไปเข้ากับโลกแห่งความเจ็บปวดอย่างสมบูรณ์
ข้อสองคือหันมาเข้ากับโลกมนุษย์โดยสมบูรณ์
แต่ไม่ว่าจะเป็นทางด้านไหน ก็มีความเสี่ยงมากทั้งนั้น เขามีสถานะและตำแหน่งในโลกแห่งความเจ็บปวดต่ำเกินไป ส่วนขุมกำลังโดยรวมในโลกมนุษย์เองก็อ่อนแอเกินไปเช่นกัน คิดจะปกป้องครอบครัวกับสำนักมารกำเนิด ระดับชั้นของเขาในตอนนี้ยังไม่พอ
‘ดูเหมือนต้องรีบเลื่อนสู่ระดับเจ้าแห่งอาวุธ แล้วผลักประตูที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจบานนั้นออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ซะแล้ว’ ถึงแม้การเลื่อนระดับของตนเองจะเร็วพอแล้ว แต่ตอนที่แรงกดดันมาถึงจริงๆ ลู่เซิ่งก็ยังรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอไปหน่อยอยู่ดี
‘ไปหาเจ้าสำนักประกายขั้วโลกก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยรีบอพยพ แล้วดำเนินการจุติครั้งต่อไป’
ลู่เซิ่งตัดสินแผนการในใจ
ถ้าหากยึดตามการแบ่งระดับของสือจื้อซิง อย่างนั้นตอนนี้เขาก็เป็นยอดฝีมือระดับปฐมภพอย่างแท้จริงแล้ว ต่อให้อยู่ในโลกแห่งความเจ็บปวดก็ไม่นับว่าอ่อนแอ แต่เป็นเพราไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ ทิศทางและเส้นทางในภายหลังจึงได้แต่คลำทางเอาเอง เป็นเหตุให้ลำบากอย่างมาก
พอคิดได้ก็ทำทันที ลู่เซิ่งรีบลุกขึ้น
“ส่งคนมา!”
ศิษย์หัวกะทิคนหนึ่งในสำนักมารกำเนิดมาถึงในชั่วอึดใจ
“อยู่”
“แจ้งสาขาหลัก อีกไม่นานข้าจะไปทะเลบูรพาเพื่อพบเจ้าสำนักประกายขั้วโลก”
“ขอรับ!”
ลู่เซิ่งโบกแขนเสื้อม้วนข้อมูลของสำนักไตรอริยะบนโต๊ะเบาๆ พริบตาเดียวพวกมันก็ลอยกระจัดกระจายและเสียบกลับไปบนชั้นหนังสือที่ว่างเปล่าในตอนแรกโดยอัตโนมัติ
เขาเรียกดีปบลูออกมาดูอีกครั้ง พลังอาวรณ์เพิ่มมากขึ้นแปดหมื่นกว่าหน่วยเพราะก่อนหน้านี้กินอาวุธเทพดาวหยกไปสามชิ้น ตอนนี้มีเก้าหมื่นกว่า เกือบหนึ่งแสนหน่วย
……………………………………….