ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 532 เวลา (4)
บทที่ 532 เวลา (4)
แต่หากคิดจะเรียนรู้และยกระดับขอบเขตต่อไปของวิชาไร้ขอบเขต แค่นี้ยังขาดอีกมาก ตอนนั้นเขาลงทุนไปหลายแสนหน่วยเพื่อยกระดับไฟหยินเป็นอัคคีอนธการ ยิ่งอย่าว่าแต่ต้องทำเงื่อนไขคุณสมบัติพิเศษให้สมบูรณ์ด้วย
ความสามารถหลักของดีปบลูเหมือนกับเครื่องมือเร่งความเร็วมากกว่า ส่วนความสามารถด้านการเรียนรู้ถูกพัฒนาขึ้นจากความรู้ของตัวลู่เซิ่งเอง
บวกกับตอนนี้ขอบเขตเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีการผลาญพลังมากขึ้นเรื่อยๆ พลังอาวรณ์จึงยิ่งมายิ่งไม่พอใช้เช่นกัน
พลังอาวรณ์เกือบแสนหน่วยนี้ สำหรับระดับของวิชาไร้ขอบเขตในตอนนี้ หากใส่ลงไปกลับไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก
‘วิธีการยกระดับเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ อย่างที่หนึ่งคือหาพลังอาวรณ์จำนวนมาก อย่างที่สองคือการยกระดับอย่างใหญ่หลวงจากการหลอมรวมจิตวิญญาณผ่านการจุติของมารสวรรค์
‘หวังว่าครั้งนี้จะได้อะไรมาบ้าง’
ลู่เซิ่งหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกในตอนนั้น ในใจรู้สึกซับซ้อนอยู่บ้าง
…
ทะเลบูรพา ประตูมายา
เรือบินสีขาวทรงกระสวยลำหนึ่งพุ่งเข้ามาเหนือเกาะที่มีไอหมอกแผ่ตลบอบอวล
รอบๆ เรือบินมีอักขระสีทองจำนวนมากกะพริบอยู่ มันแล่นอย่างว่องไวอยู่กลางหมอก ไม่นานก็ทะลุไอหมอก แล้วร่อนลงด้านหน้าอารามสีขาวบริสุทธิ์แห่งหนึ่งทางตะวันออกของเกาะเล็ก
ด้านหน้าอารามมีเต่าสีดำขนาดยักษ์สูงมากกว่าร้อยหมี่ ยาวเกือบพันหมี่ตัวหนึ่งหมอบอยู่ เต่ายักษ์เงยหน้ามองเรือบิน ดวงตาสาดอักขระสีทองนับไม่ถ้วน หลังจากยืนยันว่าไม่มีการคุกคาม จึงค่อยๆ ก้มศีรษะลง
หลังจากเรือบินหยุดนิ่ง ก็มีองครักษ์ประจำอารามมาเปิดประตูตรงกราบเรือ
บุรุษหัวล้านร่างสูงใหญ่กำยำ หว่างคิ้วมีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีแดงติดอยู่พาคนมาต้อนรับ
“อริยะเจ้าอู๋ซินอาทิตย์โลหิตมาด้วยตัวเอง ผู้แซ่ลู่รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก” ลู่เซิ่งสวมชุดเข้ารูปสีแดงเข้ม กลางอกปักคำว่ากำเนิดขนาดใหญ่ สาวเท้าเดินลงจากเรือบิน ผู้มาเป็นอริยะเจ้าอู๋ซินที่ครั้งก่อนเคยพบกับลู่เซิ่งพร้อมกับเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลก คนคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ หากเป็นศัสตราเทพคลั่ง ในฐานะหนึ่งในสามอริยะเจ้าแห่งหน่วยอาทิตย์โลหิต พลังและอำนาจล้วนอยู่ในชั้นแนวหน้าของสำนักพันอาทิตย์ เพียงแต่ไม่ทราบว่าเขาก้าวสู่ระดับเทวปัญญาหรือยังเท่านั้น
“สหายลู่ เทียบกับก่อนหน้านี้ไม่นาน ท่านกลับพัฒนาขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ เรียกข้าว่าอู๋ซินก็พอ เจ้าสำนักกำลังรอท่านอยู่ เข้าไปก่อนเถอะ” อริยะเจ้าอู๋ซินเค้นยิ้มพลางกล่าวอย่างนอบน้อม
“ได้” ลู่เซิ่งไม่พิรี้พิไร
เขาติดตามอริยะเจ้าอู๋ซินพร้อมกับพิจารณาเกาะที่ตนเคยคุ้มครองแห่งนี้ เห็นบริเวณรอบๆ ได้อย่างชัดเจนว่า ทุกที่ต่างสลักค่ายกลอักขระสีทอง มีคลื่นพลังที่กระเพื่อมอยู่ในที่ซ่อนบางส่วน ต่อให้เป็นเขาก็ยังรู้สึกตกใจเล็กน้อย
ทั้งสองทยอยกันเดินเข้าอาราม แล้วลัดเลาะไปตามระเบียงอารามที่แคบยาวและเย็นเยียบ
“จะว่าไป ครั้งก่อนหลังจากท่านไป ประตูมายาก็เกิดการระเบิดอีกสองครั้ง แต่ถูกเจ้าสำนักสะกดไว้แล้ว” อริยะเจ้าอู๋ซินบอกเล่าอย่างเรียบง่าย
“ในสำนักมีการบาดเจ็บล้มตายหรือไม่”
“มี หน่วยอาทิตย์โลหิตเสียผู้ถืออาวุธระดับสุดยอดไปสองคน ปรมาจารย์ค่ายกลระดับปฐพีกำเนิดมากกว่าร้อยคน สถานการณ์ไม่ค่อยน่าดูชมนัก” อริยะเจ้าอู๋ซินพ่นลมหายใจ “ได้ยินมาว่าลูกชายท่านหมั้นหมายกับลูกสาวของบุตรอริยะแห่งสำนักไตรอริยะแล้วหรือ”
“เพิ่งหมั้นหมายกันไม่นาน” ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย
“สำนักไตรอริยะเป็นกลางมาโดยตลอด ท่านควรจะไตร่ตรองให้ดี อย่าได้คิดพึ่งพาพวกเขา” อริยะเจ้าอู๋ซินเตือนประโยคหนึ่ง
“ผู้แซ่ลู่ย่อมต้องระวัง” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองคนตัดทะลุลานเรือนสวนดอกไม้ที่มีดอกไม้ขึ้นบานสะพรั่ง จากนั้นก็เห็นเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกกำลังเดินหมากกับคนอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องวางหมากที่อยู่ด้านในสุด
ผมยาวสีน้ำเงินของเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกปล่อยสยาย หนวดเรียวที่ไว้บนริมฝีปากเอียงเล็กน้อยอย่างน่าอัศจรรย์ คล้ายกำลังใคร่ครวญอยู่
คนที่กำลังวางหมากกับเขาเป็นสตรีลึกลับเย็นชาไร้อารมณ์ในอาภรณ์สีขาวซึ่งลู่เซิ่งเคยพบมาก่อนคนนั้น
“ลู่เซิ่งมาแล้วหรือ” พอเห็นคนพามาถึง เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกก็ปัดกระดานหมากทิ้งพร้อมกับลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“มาพอดีทีเดียว น่าเสียดาย ข้าเกือบจะชนะอยู่แล้วเชียว หยุดเล่นก่อนก็แล้วกัน”
สตรีลึกลับไม่แสดงสีหน้า เพียงแต่ดวงตาฉายแววระอาเท่านั้น
“มานั่งสิ อู๋ซิน เสี่ยวชิว พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะคุยกับอริยะเจ้าลู่สักประเดี๋ยว” เขาสั่ง
อริยะเจ้าอู๋ซินพยักหน้า ลุกขึ้นพร้อมกับสตรีอาภรณ์ขาวนางนั้น แล้วออกจากห้องวางหมากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะปิดประตู รอบๆ จึงตกสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
“ดื่มชาไหม” เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกนั่งลง มีกระดานหมากกั้นอยู่ระหว่างเขากับลู่เซิ่ง เขายกขาขึ้นซ้อนกันเหมือนอย่างคนธรรมดา ไม่วางมาดแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องขอรับ” ลู่เซิ่งเพิ่งเคยเห็นเจ้าแห่งอาวุธที่เข้าหาง่ายและไม่วางท่าโดยสิ้นเชิงแบบนี้เป็นครั้งแรก “เจ้าสำนัก ที่ข้าน้อยมาในครั้งนี้ เป้าหมายหลักก็คือ…”
“ข้ารู้จุดประสงค์ของเจ้า เจ้าไม่ใช่สายตรงของสำนักพันอาทิตย์ เลยไม่อาจได้รับการถ่ายทอดขั้นสูงของสำนักพันอาทิตย์ทั้งหมด และไม่มีทางได้เห็นทิศทางการฝึกฝนในอนาคต นี่ย่อมสมเหตุสมผล” เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกยิ้มพลางพยักหน้า
ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็ทราบว่าเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกรู้ความต้องการของเขาแล้ว แม้เขาจะสัมผัสประตูของเจ้าแห่งอาวุธบานนั้นแล้ว และขอแค่ผลักออกก็จะเป็นโลกอีกใบ แต่หลังจากนั้นเล่า พลังอาวรณ์จะเสียไปมากขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำการนำมาใช้เรียนรู้วิชาเพียงอย่างเดียวก็สิ้นเปลืองเกินไป เทียบกับการเรียนรู้แล้ว จะคุ้มมากกว่าหากเขาใช้พลังอาวรณ์ไปกับการเพิ่มพลังอย่างรวดเร็วหลังจากจุติ
แต่หลังจากนั้นเล่า จะจุติต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้หรือ หลังจากจิตวิญญาณไปถึงระดับหนึ่ง จะเจอกับปัญหาอะไร ทิศทางในการพัฒนาในภายหลังมีการแยกย่อยมากเท่าไหร่ จะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไร เขาล้วนไม่รู้เรื่องเหล่านี้
ปัญหามากมายเหล่านี้ ต้องการการชี้แนะจากคนรุ่นก่อน
แม้ลู่เซิ่งจะเรียนรู้ได้เอง แต่เขาก็อยากจะลดความสิ้นเปลืองและลดทางอ้อม เพื่อไม่ให้เดินสู่ทางตันมากกว่า
“ความจริง หลังจากมาถึงระดับของพวกเรา เจ้าควรจะสัมผัสถึงขอบเขตของปฐมพลังและควบคุมปฐมพลังได้แล้ว จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มระดับและคุณภาพของสิ่งที่ใช้ นี่เป็นปัญหาหลักในขั้นนี้” เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกกล่าวอย่างราบเรียบ “สำนักพันอาทิตย์ย่อมมีการสืบทอดในภายหลังที่เจ้าต้องการ เพียงแต่ เจ้าเตรียมจะจ่ายค่าตอบแทนหรือยัง”
เขาสบตาลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งเงียบงัน หากอริยะเจ้าต้องการเข้าเป็นสายหลัก สิ่งที่ต้องจ่ายไม่ใช่แค่ความซื่อสัตย์โดยเปลือกนอกเท่านั้น ความจริงยังมีจุดอ่อนในความเป็นจริงด้วย
การสืบทอดของเจ้าแห่งอาวุธไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จำเป็นต้องมีความภักดีต่อสำนักพันอาทิตย์อยางเด็ดขาด ถึงจะได้รับการถ่ายทอด
พอเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกเห็นท่าทางของลู่เซิ่งก็ทราบว่า ความจริงแล้วอีกฝ่ายไม่อยากจะถูกวิธีการพิเศษของสายตรงควบคุม เขามีนิสัยอ่อนโยน จึงไม่ฝืนใจ
“แต่ว่าตอนนี้เป็นเวลาใช้คน ลู่เซิ่งเจ้ากำลังติดข้อจำกัด ข้าจึงขอมอบตำราเล่มนี้ให้เจ้าก่อน อย่าเอาให้ผู้ใดเล่า” เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกเข้าใจเช่นกันว่า ถ้าหากไม่มีแต้มต่อดึงอริยะเจ้ากลับชาติมาเกิดที่ไม่ได้พึ่งพาสำนักในการเติบโตอย่างลู่เซิ่งเข้ามาเป็นพวก ไม่ช้าก็เร็วอีกฝ่ายจะต้องเกิดความคิดเป็นอื่นแน่ ดังนั้นเขาจึงนำของเล็กๆ ชิ้นหนึ่งออกมา เพื่อเป็นค่าตอบแทนให้แก่ลู่เซิ่งที่อีกฝ่ายมาในครั้งนี้
ลู่เซิ่งรับตำรามา แล้วตอบคำถามของเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกอีกสองสามคำถาม ก่อนจะถอยออกมาเอง
หลังออกจากห้องวางหมาก อริยะเจ้าอู๋ซินก็พาเขาออกจากอารามอีกรอบ
ลู่เซิ่งพลิกตำราเล็กๆ เล่มนั้นไปตลอดทาง สิ่งที่บันทึกเอาไว้เป็นทักษะอย่างหนึ่ง ใช้ทำให้จิตวิญญาณกับอาวุธเทพหลอมรวมกันได้ดีกว่าเดิม เพื่อให้เข้าใจปฐมพลังได้ง่ายกว่าเดิม
สำหรับอริยะเจ้าที่ไม่เข้าใจปฐมพลัง ถือว่าไม่เลวและมีประโยชน์มากจริงๆ แต่กลับไร้ประโยชน์สำหรับเขา
ไม่นานลู่เซิ่งก็เดินออกจากประตูอาราม เรือบินยังคงจอดอยู่ที่เดิม ลู่เซิ่งที่ผิดหวังเล็กน้อยกำลังจะขึ้นเรือ
“สหายลู่”
อยู่ๆ อริยะเจ้าอู๋ซินก็ส่งเสียงเรียก
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันไปมองคนผู้นี้
“อริยะเจ้าอู๋ซินมีคำชี้แนะใดหรือ”
“เมื่อก่อนหน้านี้อริยะเจ้าสามคนของราชวงศ์หายตัวไปจากพื้นที่ของท่านกระมัง” อริยะเจ้าอู๋ซินถามอย่างสงบ
ลู่เซิ่งเงียบงันแล้วยิ้มขึ้น
“ถูกต้อง”
“บุตรอริยะหลี่ซุ่นซีคนนั้นมีความสัมพันธ์กับท่านเป็นอย่างไร” อู๋ซินถามอีก
“พอใช้ได้” ลู่เซิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างจริงจัง
“อย่างนั้นขอมอบสิ่งนี้ให้ท่าน” อู๋ซินพลันพลิกมือโยนหยกที่เหมือนกับก้อนหินสีดำอมม่วงชิ้นหนึ่งให้
ลู่เซิ่งรีบรับไว้
“เจ้าสำนักเป็นประมุขของสำนัก จึงไม่สะดวกมอบให้ท่านเอง นี่เป็นความเข้าใจของตัวเองที่เขามอบให้ท่านอย่างเป็นการส่วนตัว จงอย่าบอกคนอื่น” อู๋ซินกำชับ
ลู่เซิ่งจับหยกเอาไว้ ในใจรู้สึกเหมือนได้เจอฟ้าหลังฝน
“ได้” เมื่อครู่เขากวาดตามองดูคร่าวๆ ก็จดจำจากกลิ่นอายในระดับชั้นเบาบางได้ว่า นี่เป็นวัตถุดิบล้ำค่าสำหรับฝึกฝนต่อจากระดับอริยะเจ้า
แสดงให้เห็นชัดว่า ในสถานการณ์ที่ขัดกฎสำนักไม่ได้ เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกได้ใช้ทางอ้อมในการชี้แนะเขาอย่างเป็นการส่วนตัว จึงไม่ถือว่าขัดต่อกฎสำนัก
“เดินทางปลอดภัย” อู๋ซินกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย
“อือ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวก้าวเข้าเรือบิน
เรือบินลอยขึ้นพร้อมกับพุ่งไปยังที่ไกล พริบตาเดียวก็หายไปในค่ายกลไอหมอก
ลู่เซิ่งเพิ่งจะไป ศิษย์ด้านหน้าอารามก็พากันโค้งตัว เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกเดินออกมามองดูทิศทางที่ลู่เซิ่งจากไป
“น่าเสียดาย…ที่ไม่ได้พบเด็กน้อยผู้นี้ตั้งแต่แรก” เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกกล่าวอย่างเสียดาย
“เหตุใดเจ้าสำนักกล่าวเช่นนี้ แม้อริยะเจ้าลู่จะมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ แต่อย่างไรก็เป็นคนที่กลับชาติมาเกิด ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว” อู๋ซินกล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ช่างเถอะ ไม่พูดถึงแล้ว เตรียมค่ายกลเก้าสิบเก้าทะยานข้ามภพไว้อีกสิบชุด เดือนนี้ข้าจะลองดูว่าสามารถติดต่อกับเจ้าสำนักคนเก่าได้หรือไม่” เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกก้มหน้า ใบหน้าซีดขาวแวบหนึ่ง “มหาภัยพิบัติกำลังจะมาถึง การผลาญชีวิตและเลือดเนื้อเป็นเพียงแผนการระยะสั้น สิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงคือผลแพ้ชนะในระดับปฐมภพ…”
อู๋ซินก้มหน้าไม่กล่าววาจา
“เจ้าใช่โทษข้าว่าเอาแต่ใจเกินไปหรือไม่ ที่เปิดเผยความลับนี้ให้อริยะเจ้าที่ไม่ใช่สายตรงได้รู้” เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกยิ้มเล็กน้อย
“อู๋ซินมิกล้า”
“ภายหลังเจ้าจะเข้าใจเอง…ถือเสียว่าเป็นการผูกมิตรก็แล้วกัน” เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกถอนใจเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
…
ในเรือบิน
ลู่เซิ่งค่อยๆ ใส่จิตวิญญาณเข้าไปในหยก
ไม่นานก็อ้อมผ่านกลิ่นอายระดับชั้นผิว จากนั้นม้วนภาพสีน้ำที่มีพื้นสีขาวและใช้ตัวหนังสือสีดำก็ค่อยๆ คลี่ออกด้านหน้าเขา
‘ภาพแบ่งเขตของค่ายกลส่งตัวในดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ดสิบสองแห่งดวงดาวปรภพในเก้าพิภพชั้นเอก’
‘ค่ายกลส่งตัว!? เก้าพิภพชั้นเอก? ดาวปรภพ!’ คำชุดหนึ่งทำให้ลู่เซิ่งตกใจในพริบตา
‘หรือว่า…’ เขายืดขยายจิตวิญญาณเข้าไปด้านในต่อ
ภาพบนหยกพลันกะพริบแสง แล้วปรากฏฉากถัดไป
ดาวเคราะห์สีเหลืองอ่อนดวงหนึ่งกำลังโคจรในอวกาศสีดำสนิทอย่างช้าๆ รอบๆ มีวงแหวนสีเหลืองอ่อนเหมือนกัน ยังมีดาวบริวารขนาดต่างๆ อีกหลายดวงโคจรรอบๆ ตัวมัน
บนผิวดาวเคราะห์มีการทำจุดแสงสีขาวไว้สี่จุด จุดแสงสีแดงสองจุด
‘สีขาวสามารถใช้ข้ามได้ สีแดงคือถูกทำลายแล้ว’ ด้านล่างสุดเขียนตัวหนังสือของต้าอินเอาไว้แถวหนึ่ง
ลู่เซิ่งเติมจิตวิญญาณเข้าไปเพิ่มพร้อมกับใช้ความคิด อยู่ๆ ดาวเคราะห์ก็ขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง เข้าใกล้จุดสีขาวจุดหนึ่ง
เหมือนข้ามผ่านระยะห่างนับไม่ถ้วนเพียงชั่วขณะสั้นๆ วิสัยทัศน์เปลี่ยนจากดาวเคราะห์เป็นป่าดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่งที่มีต้นไม้สูงระฟ้าโอบล้อมในพริบตาเดียว
ท่ามกลางทัศนวิสัย ค่ายกลหินทรงกลมที่เหมือนกับแท่นบูชาถูกพุ่มหญ้าห้อมล้อมเอาไว้ก็ปรากฏในสายตาของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างรวดเร็ว
‘ตอนที่เจอจวี้เยี่ยนเป็นครั้งแรก เขาเคยบอกว่าตัวเองเคยเห็นความสามารถของมารสวรรค์คนอื่นๆ มาก่อน แถมยังได้วิธีการฝึกฝนของพวกนั้นมา แสดงว่าโลกของมารสวรรค์คงไม่ได้มีแค่ดาวเคราะห์ของต้าอินกับต้าซ่งดวงนี้ ตอนนี้เป็นเพียงการพิสูจน์เรื่องนี้เท่านั้น เพียงแต่เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกมอบของสิ่งนี้ให้เรา เกรงว่าสำนักพันอาทิตย์คงจะ…’
ลู่เซิ่งมีการคาดเดาส่วนหนึ่งในใจแล้ว
เขามองภาพวาดอีกครั้ง เห็นตัวอักษรแถวหนึ่งที่เขียนไว้ด้านล่างภาพวาดระบุว่า ‘ทางใต้ของต้าซ่ง ใกล้กับตำบลนางแอ่นพิรุณ’ สุดท้ายเป็นวันที่ สิ่งที่แสดงให้เห็นคือเวลาที่เปลี่ยนแปลงใหม่ของสถานที่ตั้ง
‘ต้าซ่งอย่างนั้นหรือ…’
……………………………………….