ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 537 เตรียมตัว (1)
บทที่ 537 เตรียมตัว (1)
วิญญาณร้าย…
ลู่เซิ่งพลันนึกถึงความสามารถแตกตัวของวิญญาณร้าย ซึ่งแตกตัวออกมาหลังจากสืบพันธุ์กับตัวเอง เกรงว่าพลังการแตกตัวของความสามารถนี้จะไม่อาจรักษาให้อยู่ในระดับอริยะเจ้าได้ตลอดเวลา
‘เมื่อเป็นแบบนี้ บางทีอาจอธิบายได้ว่าทำไมวิญญาณร้ายพวกนี้ถึงได้มีพลังอ่อนด้อยนัก คาดว่าจำนวนวิญญาณร้ายที่รั่วไหลคงมีน้อยมาก วิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนพวกนี้คงจะแตกตัวออกมาเป็นจำนวนมากจากวิญญาณร้ายระดับอริยะเจ้าจำนวนน้อยนิดนั้น’ ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว
เขานึกถึงบุรุษผมทองลอยอยู่ในเปลวไฟสีทองที่ได้เห็นเมื่อก่อนหน้า อีกฝ่ายจะต้องเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดในหมู่วิญญาณร้ายอย่างแน่นอน เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นระดับทำลายวิชา
ดูจากสีหน้าของคนผู้นั้น ตนกำจัดแนวหน้าของเขาไปแล้ว เกรงว่าเขาจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เช่นนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะหมายหัวตนเข้าแล้ว
‘เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ระดับทำลายวิชาจะเป็นระดับเจ้าแห่งอาวุธ ดูเหมือนเราจะต้องรีบแล้ว…’ ลู่เซิ่งเกิดความร้อนใจขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
เขาไม่ได้เกิดความรู้สึกแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบ ครั้งล่าสุดที่เกิดความคิดเร่งยกระดับพลังเช่นนี้ เป็นตอนที่ยังไม่กลายเป็นอริยะเจ้าด้วยซ้ำ
ปัจจุบันพลังฝึกปรือของตนติดอยู่ตรงธรณีประตูของเจ้าแห่งอาวุธ เนื่องจากยังไม่มีการกำหนดตำแหน่งและความรู้ความเข้าใจต่อพลังที่แท้จริงของเจ้าแห่งอาวุธโดยสมบูรณ์
‘ถึงเวลาไปจุติอีกรอบแล้ว’ ลู่เซิ่งกำหนดแผนการในใจ
หลังจากที่ปรึกษาแผนการอย่างเป็นรูปธรรมในภายหลังกับขุมกำลังทั้งหมดจบ กองกำลังทั้งหมดก็จับมือกันชั่วคราว โดยให้สำนักมารกำเนิดเป็นผู้นำในการดูแลสถานการณ์ทั้งหมดของแคว้นนวกระจ่าง ส่วนกลุ่มแยกย่อยให้สามสำนักคอยประสานกับตวนมู่หว่าน
ลู่เซิ่งตรงดิ่งไปยังตำหนักหลัง เพื่อเยี่ยมคนของคฤหาสน์ลู่ที่ได้รับความตกใจ
ลู่เฉวียนอันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนคนอื่นๆ ยังสบายดี เพียงแต่เสียข้ารับใช้ไปครึ่งหนึ่ง ดีที่ในคฤหาสน์ลู่ติดตั้งที่ซ่อนตัวไว้ไม่น้อย แถมยังมีค่ายกลตัดขาดคลื่นกลิ่นอาย ทำให้รอดพ้นจากการเข่นฆ่าของพวกวิญญาณร้ายได้
ลู่ชิงชิงที่สติปัญญายังไม่ฟื้นกลับมาโดยสมบูรณ์ได้รับบาดเจ็บที่แขนเพราะจิตใจยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเต็มร้อย นอกจากนี้ลู่เซิ่งก็ทราบถึงสถานการณ์หวาดเสียวของเฉินอวิ๋นซีแล้วเช่นกัน
“วิญญาณร้ายแตะโดนตัวเจ้าหรือ” พอลู่เซิ่งได้ยินว่าเฉินอวิ๋นซีถูกวิญญาณร้ายชนใส่ สีหน้าก็พลันตึงเครียด
“ไม่…รู้สึกว่ามันไปผิดทาง หักเลี้ยวออกไป เลยไม่โดนกระแทกใส่” เฉินอวิ๋นซีก็สงสัยเล็กน้อยเหมือนกัน นางจำได้อย่างชัดเจนว่า ตอนที่วิญญาณร้ายตัวนั้นใกล้กระทบตัวนาง ทิศทางไม่ได้เอียงไปทางไหน แต่สุดท้ายอยู่ๆ ก็เฉออกไปเอง
“หนิงหนิงเล่า” ลู่เซิ่งมองลู่หนิงที่อยู่ไม่ไกลออกไป เด็กน้อยผู้นี้กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมอกของมารดาอวี้โดยมีมู่เจวี๋ยชิ่งอยู่เป็นเพื่อน
“ครั้งนี้ชิ่งชิ่งเจ้าสร้างผลงานใหญ่ กลับไปอาจารย์จะมอบรางวัลให้เจ้า!” ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับยื่นมือไปลูบผมของมู่เจวี๋ยชิ่ง
“ข้าไม่ได้ต้องการรางวัลเสียหน่อย ขอแค่ท่านสอนข้าสองสามวันก็ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว” มู่เจวี๋ยชิ่งเบะปาก
ลู่เซิ่งจนปัญญาเช่นกัน เขามีภารกิจติดพันมากเกินไป จึงไม่มีเวลาสอนศิษย์จอมเอาแต่ใจคนนี้
“นอกจากนี้ อีกสักพักข้าจะพาเจ้ากลับไปดูสถานการณ์ที่บ้านเจ้าด้วย”
“อื้อ ขอบคุณเจ้าค่ะอาจารย์” แม้จะไม่รู้สึกว่าทางบ้านตนจะเกิดเรื่องอะไร แต่มู่เจวี๋ยชิ่งก็ยังพยักหน้าอย่างรู้ความ
ลู่เซิ่งตรวจสอบอาการบาดเจ็บของลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดากับคนอื่นๆ หลังใช้แก่นหยางจัดการเล็กน้อยแล้ว สุดท้ายก็มาถึงด้านหน้าลู่หนิง
จากนั้นก็ยื่นมือไปกดบนหน้าผากเขา แล้วยื่นแก่นหยางออกไปโคจรในร่างกายของเด็กน้อยรอบหนึ่ง
“กลิ่นอายนั้นเหมือนกับอ่อนแอลงมาก…” ลู่เซิ่งสังเกตเห็นบางอย่าง
“เป็นอะไรไป หนิงหนิงได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือ” เฉินอวิ๋นซีเห็นเขาไม่ได้ตอบสนองทันที ก็รีบเข้ามาถามไถ่
“ไม่มีอะไร แค่ตกใจเท่านั้น จิตใจเลยเหนื่อยล้าอยู่บ้าง พักผ่อนสักหน่อยก็พอ” ลู่เซิ่งตอบ
“ช่วงนี้พวกเจ้าอยู่ที่วังมารไปก่อน ที่นี่มีค่ายกลเสริมความแข็งแกร่ง ไม่ถูกตีแตกง่ายๆ ชั่วคราว ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัย บวกกับเก็บอาหารหลากหลายประเภทไว้เป็นจำนวนมากโดยใช้ความเย็นถนอมเอาไว้ เลยสามารถรักษาความสดได้ในระดับสูงสุด”
“อื้อ เข้าใจแล้ว” เฉินอวิ๋นซีรีบพยักหน้า “ท่านเล่า ท่านจะออกไปอีกแล้วหรือ” นางเป็นห่วงเล็กน้อย
“ไม่ ข้าไม่ไปไหนหรอก ข้าจะกักตนเพื่อเตรียมรับมือกับการโจมตีของวิญญาณร้ายที่จะมาในภายหลัง ทุกอย่างด้านนอกให้ตวนมู่หว่านกับผู้ถืออาวุธอีกสามคนปรึกษาร่วมกัน นอกจากนั้นให้ลิ่วซานจื่ออาจารย์ของข้าส่งผลการต่อรองไปที่ช่องลับในห้องกักตนของข้า ข้าจะหาเวลาจัดการเอง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างรวบรัด
“ไม่ไปได้หรือไม่” มารดาอวี้ยังคงตัดใจไม่ได้ หนำซ้ำความจริงแล้วคนทั้งหมดของคฤหาสน์ลู่ที่อยู่ที่นี่ล้วนไม่อยากให้ลู่เซิ่งไปไหน ตอนนี้วิญญาณร้ายรุกคืบเข้าใกล้ แคว้นนวกระจ่างที่เดิมทีสงบสุขกลับตกสู่สภาพที่แทบสิ้นหวังในพริบตา
การมีอานุภาพที่แข็งกล้าเด็ดขาดในสภาพการณ์เช่นนี้ เป็นหลักประกันที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทุกอย่างปลอดภัย
“ทำไม่ได้ สภาพการณ์บีบคั้น แต่ข้าจะจัดการการคุกคามจากวิญญาณร้ายรอบๆ และรักษาความปลอดภัยของที่นี่ไว้ชั่วคราวก่อนกักตน พวกท่านไม่ต้องห่วง” ลู่เซิ่งกล่าวเสริม
“อย่าประมาท! ต้องระวังตัวทุกเรื่องนะ!” ลู่เฉวียนอันก้าวเข้ามาตบบ่าลู่เซิ่ง
“ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างแรง สุดท้ายก็มองลู่หนิง ก่อนจะหมุนตัวสาวเท้าจากมา
ลู่เซิ่งแจ้งคนจากสามสำนักกับนครเขตที่เข้าร่วมอย่างรวดเร็ว แล้วสั่งให้กลุ่มข้ารับใช้ในสำนักมารกำเนิดประสานงานกับตัวเอง ส่วนตัวเขาออกจากวังมารมาหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่ จากนั้นก็มีปราณมารสีดำนับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกมาโอบล้อมตัวเขาลอยขึ้นท้องฟ้า ก่อนจะบินไปยังทิศตะวันออก
ลู่เซิ่งตัดผ่านนครเขต ควันหนาผืนใหญ่ลอยออกมาจากเมืองด้านล่าง กลายเป็นเสาควันสีดำหลายสาย น้ำทะเลที่ลู่เซิ่งดึงมาก่อนหน้านี้ยังคงหลงเหลือในซากปรักหักพัง กลายเป็นภาพอันน่าอัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างที่ยังคงลุกไหม้บนผิวน้ำ
บางครั้งก็ยังคงเห็นผู้รอดชีวิตหลายคนฟุบอยู่บนวัตถุลอยน้ำพร้อมกับตะโกนร่ำไห้เสียงดัง
ยังมีคนใช้แผ่นไม้ที่แตกกระจัดกระจายมาทำเป็นแพ แล้วใช้มือพายเพื่อออกจากนครเขต
ลู่เซิ่งตัดผ่านเขตเมือง ข้ามผ่านที่ตั้งของสามสำนัก นอกจากพื้นที่ไม่กี่แห่งแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นห้วงน้ำกับเปลวเพลิง
น้ำที่เขาปล่อยออกมามีไม่มากนัก แต่ปริมาณน้ำที่เขาดึงมาในเวลาเดียวกันกลับมีมากมาย
หลังตัดทะลุเขตจันทราสารทที่เผชิญอุทกกภัย ก็เป็นผืนดินแห้งผาก ในดินสีเหลืองแห้งแล้งไม่มีน้ำ ไม่มีพืชพรรณ มีแค่สีเหลืองเข้มเท่านั้น
พื้นแห้งแล้งและมีแต่รอยแตก มองไม่เห็นกลิ่นอายชีวิตแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งควบคุมควันสีดำให้ค่อยๆ ลดระดับลงจากความสูงหลายพันหมี่ ไปถึงความสูงราวร้อยหมี่ จากนั้นก็ก้มมองดู
สิ่งที่เห็นมีแต่สีเหลืองเข้ม
‘ถึงก่อนหน้านี้อันตูลานั่นจะดูดซับวิญญาณร้ายจำนวนมากจากบริเวณรอบๆ แต่จะต้องมีปลาหลุดรอดร่างแหที่มาไม่ทันแน่’ ลู่เซิ่งทราบดี จึงคอยกวาดตามองรอบๆ ตลอดเวลา
ไม่นานนัก ประกายกระบี่สีขาวดุจสายฟ้าแลบก็เผยร่องรอยตรงที่เดิม
ประกายกระบี่นั้นทุกๆ ครั้งที่ฟาดฟัน จะสร้างสายฟ้าสีขาวสายหนึ่ง เกิดเสียงครืนครันดังมา และทิ้งรอยแตกที่เหมือนกับใยแมงมุมสีขาวไว้กลางอากาศ
ครู่ต่อมารอยแตกถึงค่อยๆ สลายหายไป
รอบๆ ประกายกระบี่มีวิญญาณร้ายเกือบหลายสิบตนกำลังรุมจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง แม้รอยกระบี่ใยแมงมุมนั้นจะกดดันพวกมันได้ แต่ก็ไม่อาจสังหารได้โดยสมบูรณ์ ได้แต่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงเท่านั้น
เนื่องจากว่ามีสารกายจากผืนดินมอบให้ วิญญาณร้ายเหล่านี้จึงไม่สนใจโดยสิ้นเชิงว่าจะถูกเล่นงานจนบาดเจ็บหรือไม่ ขอแค่ไม่ใช่การทำลายในพริบตา ก็จะกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของลู่เซิ่งฉายแววเด็ดเดี่ยว เขาพลันเร่งความเร็ว ปราณมารในมือรวมตัวกลายเป็นดาบสีดำเล่มหนึ่ง ก่อนจะฟันลงด้านล่างอย่างฉับพลัน
ฟ้าว!
ดาบดำกลายเป็นประกายสีดำแล้วดีดไปมาระหว่างวิญญาณร้ายหลายสิบตัวในพริบตาเหมือนกับลำแสงความร้อนสูง เพียงแค่ชั่วขณะเดียว วิญญาณร้ายทั้งหมดพลันตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็ระเบิดโปรยปรายกลายเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน
ชิ้นส่วนกึ่งโปร่งแสงทั้งหมดล่องลอยอยู่กลางอากาส ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็พากันลุกไหม้ขึ้นมา
ไฟหยินสีเขียวอ่อนทำให้ท้องฟ้าเหมือนบันดาลฝนเพลิงให้ตกลงมา
ประกายกระบี่สีขาวนั้นค่อยได้พักหายใจ หยุดนิ่งลง เผยรูปลักษณ์ออกมา ด้านในเป็นชายชราผมขาวถือหอกยาวคนหนึ่ง
“แถวนี้ตรงไหนมีวิญญาณร้ายมากที่สุด” ลู่เซิ่งถามตรงๆ ไม่พร่ำวาจาไร้สาระแม้แต่น้อย
“ตรงนั้น…ขอบคุณเจ้าสำนัก…ลู่มาก…” ชายชราคนนี้จำลู่เซิ่งได้ ยังพูดไม่ทันจบ เงาคนตรงหน้าก็หายไปแล้ว
…
หลังจากเข่นฆ่าเป็นเวลาสามวัน วิญญาณร้ายรอบๆ เขตจันทราสารทและสำนักมารกำเนิดก็ถูกลู่เซิ่งสังหารจนหมดสิ้น
เขตปลอดภัยที่เขากวาดล้างทำให้คนที่ได้รับการช่วยเหลือจำนวนมากได้พักหายใจและรวมกลุ่มกัน หลังทราบว่าลู่เซิ่งเป็นคนช่วยเหลือ พวกเขาก็ปรึกษากัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปขออาศัยที่สำนักมารกำเนิด
คนที่รอดชีวิตมาได้ในตอนที่วิญญาณร้ายบุกจู่โจมเหล่านี้ต่างเป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดทั้งนั้น อย่างต่ำสุดอยู่ในระดับปัญจลักษณ์ขึ้นไป
ถึงจำนวนคนจะไม่มาก แต่ก็เป็นหัวกะทิทุกคน
สามวันต่อมา ตอนที่ลู่เซิ่งกลับวังมาร จำนวนยอดฝีมือที่มาขออาศัยสำนักมารกำเนิดก็มีเกินหนึ่งร้อยคนแล้ว
ในนี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น มีอีกหลายคนที่เป็นเผ่าปีศาจ พวกที่อยู่ในระดับสูงสุดยังมียอดฝีมือระดับผู้ถืออาวุธอีกสองสามคน ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ผ่านทางมาแถวนี้ชั่วคราว และถูกวิญญาณร้ายลอบจู่โจม สิ่งนี้ทำให้สำนักมารกำเนิดรับมือการลอบจู่โจมของวิญญาณร้ายกลุ่มย่อยได้ดีกว่าเดิม
และหลังจากจัดการภารกิจของสำนักมารกำเนิดเสร็จสิ้น ลู่เซิ่งก็กลับตำหนักวิจัยทันที ก่อนจะเตรียมการจุติรอบต่อไป
…
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กลางลวดลายค่ายกลบนพื้นตำหนักวิจัย พร้อมกับดันผลึกแก้วสีดำชิ้นหนึ่งใส่ในช่องลายกระเบื้องที่ยื่นออกมาจากพื้น
แกร๊ก
ผลึกแก้วตั้งตรง
ซู่ว…
แสงสีแดงเหมือนเลือดหลายสายแผ่ขยายตามลวดลายค่ายกลออกไปรอบทิศ พวกมันหลั่งไหลไปรอบๆ เหมือนกับเลือด ไม่นานก็กระจายไปทั่วตำหนักทั้งตำหนัก
‘หลังจากปรับปรุงค่ายกลใหญ่แล้ว ครั้งนี้น่าจะควบคุมเวลาได้ราวสิบเท่า ต้าอินหนึ่งวัน เท่ากับโลกด้านนอกอย่างน้อยสิบวัน ถ้าโชคดี อาจจะเพิ่มได้สูงสุดถึงห้าสิบวัน เมื่อเป็นแบบนี้จะมีเวลาให้พอใช้แล้ว’ ลู่เซิ่งตั้งสมาธิกลั้นลมหายใจขณะมองดูพื้นกลางค่ายกล
ตรงนั้นเจาะหลุมทรงรีไว้หลุมหนึ่ง ตอนนี้มีของเหลวสีแดงเข้มถูกเติมเข้าไปในหลุมอย่างช้าๆ
กลางของเหลวสีแดงค่อยๆ มีร่องแยกรูปดวงตาสีเทาเปิดขึ้นพร้อมกับการเปิดใช้ค่ายกล
‘พลังงานค่ายกลใกล้ถูกใช้จนถึงขีดจำกัดแล้ว จำเป็นต้องเร่งมือ ไม่อย่างนั้นจะทำให้เสียพลังงานย้อนกลับตอนกลับมาก่อนเวลา’ ลู่เซิ่งใช้หางตากวาดมองผลึกแก้วลายกระเบื้องส่วนหนึ่งที่อยู่ตามขอบค่ายกล ผลึกแก้วเหล่านี้กำลังแตกเป็นผุยผง
ผลึกแก้วทั้งหมดมีเก้าชิ้น เวลานี้มีสามชิ้นที่กำลังแตกออก
รอยแตกสีเทาขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ผลึกแก้วชิ้นที่สี่กำลังจะเริ่มแตกแล้ว
‘เพียงพอแล้ว!’ ลู่เซิ่งกระโดดไปด้านหน้า จากนั้นร่างกายก็กลายเป็นแสงสีดำด้วยความเร็วสูง แล้วพุ่งเข้าไปในร่องแยกสีเทาที่มีขนาดเท่าแขนท่อนปลายร่องนั้น
ฟ้าว!
เขาเพิ่งจะมุดเข้าไปด้านใน ร่องแยกก็ปิดลงในพริบตา ค่ายกลยังคงส่องแสงสีแดงเข้ม เพียงแต่มืดลงกว่าก่อนหน้ามาก
ลวดลายลี้ลับจำนวนมากปรากฏบนผนังรอบๆ ตำหนักทั้งตำหนัก คลื่นอันน่ากลัวที่สามารถต้านทานการโจมตีของอริยะเจ้าได้ค่อยๆ ถูกปล่อยออกมาจากผนังรอบๆ
ลู่เซิ่งได้กักเก็บปฐมพลังส่วนหนึ่งของตัวเองไว้ในอาวุธเทพชุดหนึ่ง แล้วฝังไว้ตามผนัง เพื่อสร้างภาพลวงว่าเขากำลังกักตนอยู่
……………………………………….