ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 54 พรรควาฬแดง (2)
“ข้อนี้เข้าใจได้ ใต้หล้านี้ไม่มีอาหารกลางวันกินเปล่า” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาเข้าพรรควาฬแดงตามขั้นตอนถูกต้อง คิดจะสร้างรากฐานไว้ที่เมืองเลียบคีรีให้แก่ครอบครัว ขณะเดียวกันยังหาเงินพร้อมกับสร้างร่มกำบังและเส้นสายได้ แน่นอนว่าเป้าหมายสุดท้ายคือหาวิชากำลังภายในที่มีพลังทำลายล้างแข็งแกร่งกว่าวิชาโลหิตพิฆาตสำหรับต่อสู้จริงๆ
จ้าวเซินแนะนำกฎของพรรควาฬแดงคร่าวๆ
ง่ายดายยิ่ง มีแค่สามข้อ ห้ามทรยศพรรค ไม่แพร่งพรายความลับในพรรค เชื่อฟังกฎ
“แค่ทำตามสามข้อนี้ได้ และไม่ถูกพรรคคัดทิ้ง เช่นนั้นเจ้าจะได้เงินที่แน่นอนในแต่ละเดือน ร้านส่วนใหญ่ในเมืองได้ลดราคาเมื่อซื้อของ รวมถึงตอนประสบปัญหา พรรคจะเป็นผู้สนับสนุนที่ดีที่สุดของเจ้า” จ้าวเซินเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“สองสามวันก่อนหน้าใต้เท้าเฉินผู้จัดการภารกิจภายนอกพรรคเพิ่งคุยกับใต้เท้าเจียงรองผู้บัญชาการทหารของเมืองเกี่ยวกับที่อยู่ของผู้อพยพจากเมืองเก้าประสาน นี่เป็นแค่ใต้เท้าผู้จัดการภารกิจภายนอกคนเดียว ก็มีอำนาจสนทนาระดับสูงในเมืองแล้ว ยังมีผู้อาวุโสไม่น้อยที่ระดับเทียบเท่าเขา รวมถึงยังมีรองประมุขพรรค และประมุขพรรคที่อยู่ด้านบน”
เขาเปิดเผยขุมกำลังของพรรควาฬแดงแก่ลู่เซิ่งส่วนหนึ่งอย่างเป็นมิตร ถึงอย่างไรลู่เซิ่งก็แต่งตัวหรูหรา บวกกับบุคลิกไม่ธรรมดา ทั้งเป็นนักศึกษา เป็นไปได้ว่าจะมีประโยชน์สำคัญ สร้างความสัมพันธ์ไว้ก่อนนับว่าผูกมิตร
ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้งแล้ว ในสมัยนี้คนที่อ่านรู้หนังสือเช่นเขา ในพรรคต่างเป็นพวกปัญญาชน เป็นอัจฉริยะด้านการบริหาร ต่อให้เขาไม่เป็นวิทยายุทธ์ เข้าพรรคแล้วก็มีกินมีใช้ ผ่อนคลายสบายใจ ดังนั้นท่าทีของอีกฝ่ายจึงเข้าใจได้
เข้าไปลงทะเบียนในห้องเล็กด้านข้าง ไม่ถามประวัติอาชญากรรม ไม่ถามฐานะครอบครัว ดูเพียงชื่อแซ่ อายุ ความถนัด อย่างอื่นล้วนไม่ต้องการ ลู่เซิ่งกลายเป็นพลพรรคหางแถวของพรรควาฬแดงแล้ว
หลังจากพลพรรคพรรควาฬแดงเข้าร่วมจำเป็นต้องสร้างประโยชน์ให้แก่พรรค เพื่อรับบันทึกผลงาน เช่นเรื่องประเภทการลาดตระเวน การเก็บค่าคุ้มครอง จับโจร ให้ความร่วมมือจวนขุนนางตรวจสอบพวกพ่อค้าที่ค้ามนุษย์ ต่างนับเข้าไปในใบบันทึกผลงานได้ ยังมีหน่วยงานที่อยู่ภาบใต้ผู้จัดการภารกิจภายในที่คอยประเมินตรวจสอบ และมอบคะแนนให้กับผลงานที่สอดคล้องกันโดยเฉพาะ
หลังเข้าใจระบบของพรรควาฬแดงแล้ว ลู่เซิ่งประหลาดใจอยู่บ้าง พรรคนี้ถึงกับดูแลได้ละเอียดเคร่งครัดถึงขีดสุด นอกจากนี้ดูจากภารกิจเหล่านี้ไม่นับว่าเป็นพรรคลับ กล่าวให้ถูกต้อง สมควรนับเป็นองค์กรสีเทาในหมู่ชาวบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนขุนนางในที่ว่าการที่สุด
ลงทะเบียนเสร็จแล้ว จ้าวเซินคล้ายต้องการกระชับความสัมพันธ์กับลู่เซิ่ง ยิ้มแย้มพร้อมพาเขาออกทางประตูหลังของบ่อนพนัน พาเขาเข้าไปในลานเล็กหลังกำแพงขาวแห่งหนึ่ง
“ที่นี่มีนายท่านผู้เฒ่าเซี่ยวที่คุมบ่อนแห่งนี้ เขาเป็นคนพิจารณาคนที่เข้าพรรค ประเมินระดับพลังโดยเฉพาะ ขอแค่ผ่านด่านนี้ เจ้าก็จะได้งานสำคัญตามการแบ่งระดับพลัง”
ลู่เซิ่งยิ้มพลางพยักหน้า
“ต้องการเห็นความสามารถของยอดฝีมือในพรรคอยู่พอดี”
“พี่ลู่เคยฝึกความสามารถอันใดหรือ” จ้าวเซินทางหนึ่งเดินทางหนึ่งถาม
“เคยฝึกฝนความสามารถที่บ้าน มีอาจารย์วรยุทธ์ถ่ายทอดให้ส่วนหนึ่ง แต่ล้วนไม่แข็งแกร่ง” ลู่เซิ่งส่ายหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“กระบี่วายุอัสนีของนายท่านผู้เฒ่าเซี่ยว สามารถจัดอยู่สามสิบหกอันดับแรกในพรรค พรรวาฬแดงของเรามีคนมากกว่าหมื่น สามารถจัดอยู่ในสามสิบหกอันดับแรก ท่ามกลางยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ได้ ต้องมีความสามารถพิเศษไม่ธรรมดาแล้ว อีกเดี๋ยวพี่ลู่จะได้เห็น!” จ้าวเซินเปิดประตูลาน พยายามคุยโว
เพิ่งผลักประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงคนชราส่งเสียงมาจากด้านใน
“ไม่ใช่เพิ่งทดสอบเสร็จไปกลุ่มหนึ่งแล้วหรือ เหตุใดมาอีกแล้ว”
จ้าวเซินยิ้มพลางอธิบาย “พี่ลู่ในครั้งนี้ไม่เหมือนคนอื่น ข้าพามาด้วยตัวเอง รบกวนผู้เฒ่าเซี่ยวช่วยตรวจสอบ”
“ไม่เหมือนคนอื่นหรือ” เสียงชายชราเต็มไปด้วยความคึกคัก แฝงความสงสัย
ลู่เซิ่งเข้าไปในลาน เห็นชายชราใบหน้าแดงเรื่อคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเทา ผมที่หงอกขาวยาวประบ่า ยืนประคองถ้วยน้ำชาอยู่ใต้ต้นท้อภายในลาน กำลังมองมาที่ตนเอง
“คำนับท่านผู้เฒ่าเซี่ยว ไม่ทราบการทดสอบจะเริ่มอย่างไร” ลู่เซิ่งประสานมือกล่าว
“ง่ายดายยิ่ง น้องชายท่านนี้แสดงความสามารถที่ถนัดออกมาต่อหน้าข้ารอบหนึ่งก็พอ” เฒ่าเซี่ยวมองออกว่าลู่เซิ่งมีบุคลิกไม่ธรรมดา จึงกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ
“สิ่งที่ข้าถนัดคือวิชาฝ่ามือ…” ลู่เซิ่งครุ่นคิด ยื่นสองฝ่ามือออกไป “ข้าเข้าร่วมพรรควาฬแดง เพื่อจะได้เห็นยอดฝีมือในพรรค ร่ำเรียนวิทยายุทธที่แข็งแกร่งกว่า หวังว่าท่านผู้เฒ่าเซี่ยวจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…”
แม้วาจานี้จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่พริบตาเดียวบรรยากาศเป็นมิตรก่อนหน้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ความหนาวเหน็บจางๆ สายหนึ่งเริ่มกระจายในลาน
เฒ่าเซี่ยวใบหน้าเคร่งขรึม รู้สึกไม่ถูกต้องเล็กน้อย คำพูดนี้โอหังไปบ้าง
เขาค่อยมองท่วงท่าในตอนนี้ของลู่เซิ่ง ร่างเก็บแรง กักเก็บสั่งสมพลัง ทั่วร่างมั่นคงเหมือนกับลูกหนังใหญ่ที่หมุนเป็นปกติ
เขาพลันแสดงสีหน้าตกใจ
“ยอดฝีมือพลังปลอดโปร่งหรือ?!”
“พลังปลอดโปร่งหรือ” จ้าวเซินที่อยู่ด้านข้างงงงันแล้ว “คุณชายท่านนี้เพิ่งอายุเท่าใด ถึงกับเป็นยอดฝีมือระดับพลังปลอดโปร่ง”
ต่อให้เป็นพรรคอันดับหนึ่งเช่นพรรควาฬแดง ยอดฝีมือระดับพลังปลอดโปร่งก็มีไม่มาก ในคนมากกว่าหมื่นมีสักร้อยคนก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว
ยอดฝีมือเช่นนี้ปกติเป็นกำลังรบสำคัญในเมืองเล็กๆ ส่วนหนึ่งได้ ในหน่วยหลักอย่างเมืองเลียบคีรีก็สามารถเป็นหัวกะทิในหัวกะทิ
ลู่เซิ่งยิ้มๆ
ผลักฝ่ามือขวาไปด้านหน้าเบาๆ
ฟู่ว…
ทั่วลานถึงกับเกิดกลิ่นสาบสายหนึ่ง เหมือนมีสัตว์ร้ายพุ่งผ่าน อันตรายถึงขีดสุด
จ้าวเซินกับเฒ่าเซี่ยวขนลุกชูชันขึ้นมา ตกตะลึงกว่าเดิม
“นี่เป็นขอบเขตสำนึกปลอดโปร่ง!” ถ้วยชาในมือเฒ่าเซี่ยวตกลงพื้นดังแก๊ง อ้าปากตาค้างขณะมองลู่เซิ่ง
“เจ้า เจ้า เจ้า… เจ้าเพิ่งอายุเท่าใด?! ถึงกับ…”
เขาอึกอัก พูดไม่ออกชั่วขณะ สีหน้าแดงระเรื่อขึ้น ยืนกระทืบเท้าอย่างตื่นเต้น
จ้าวเซินได้สติ เข้าไปตบป่าเฒ่าเซี่ยว ครู่หนึ่งจึงค่อยๆผ่อนคลาย
“ไม่ทราบว่าฝ่ามือนี้ของผู้แซ่ลู่เป็นระดับใดในพรรค” ลู่เซิ่งถามด้วยรอยยิ้ม
พลังในความเป็นจริงของเขาย่อมเหนือกว่าระดับสำนึกปลอดโปร่ง เป็นผนึกจิตที่อยู่บนสำนึกปลอดโปร่ง และเป็นระดับของผู้มีชื่อเสียง เขาย่อมมั่นใจว่าไม่อ่อนแอกว่าผู้ใด
แต่อยู่ที่นี่เขาไม่ต้องการเปิดเผยมากเกินไป ระดับสำนึกปลอดโปร่งมากพอจะทำให้ตัวเองได้รับความสำคัญแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเก่งกาจเกินไปก็ไม่ส่งผลดีต่อการซ่อนไม้ตาย
กระนั้นต่อให้เป็นเช่นนี้ เฒ่าเซี่ยวครู่เดียวเหมือนกับแก่ลงไม่น้อย สีหน้าอิดโรย มีความอิจฉาแปลกประหลาดบางอย่างขณะมองลู่เซิ่ง
“ผู้แซ่เซี่ยว… ลำบากฝึกฝนสามสิบปีจึงเข้าสู่พลังปลอดโปร่ง… ลำบากฝึกฝนสี่สิบปีค่อยถึงจุดสูงสุดของพลังปลอดโปร่ง… คิดไม่ถึง…” เขาพูดจบก็อดถอนใจไม่ได้
“ข้าจะแจ้งหน่วยหลักทันที เกี่ยวกับตำแหน่งของน้องลู่ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ”
เขาเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็เห็นนกพิราบสีดำตัวหนึ่งพุ่งไปยังที่ห่างไกล
จ้าวเซินยามนี้มองไปที่ลู่เซิ่งอีกครั้ง ไม่ใช่มองอย่างเป็นมิตรเช่นก่อนหน้านี้อีก ตรงกันข้าม ยังแฝงความยำเกรงด้วยส่วนหนึ่ง
เขาไปย้ายเก้าอี้ในห้องมาให้ลู่เซิ่งนั่ง จากนั้นก็รินชาให้อีกฝ่าย ตนเองยืนอยู่ด้านข้าง
หลังจากเฒ่าเซี่ยวออกมา ขณะที่มองลู่เซิ่ง ยิ่งมองยิ่งอึดอัด
‘ยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งอายุประมาณยี่สิบปี พรสวรรค์ระดับนี้… เป็น…’ เขารู้สึกว่าหากอยู่กับลู่เซิ่งอีก จะอายุสั้นลงหนึ่งปี
เทียบกับอีกฝ่าย ตาเฒ่าเช่นเขาแม้แต่สำนึกปลอดโปร่งก็ไม่ถึง อยู่อย่างสูญเปล่ามาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว
นั่งอยู่สักพัก ยังดีที่จ้าวเซินสนทนาเป็นเพื่อนกับลู่เซิ่ง ตอบคำถามส่วนหนึ่งของชายหนุ่มตลอดเวลา
ไม่ทันไรนอกประตูลานก็มีคนมา คนจำนวนมากมาถึงพร้อมเสียงดังเอะอะ ต่างสวมชุดรัดรูปสีดำของพรรค มีผู้นำสองคน
เป็นชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่งแบกกระบี่ยาวไว้ด้านหลัง อีกคนเป็นสตรีวัยกลางคนรูปโฉมงดงาม ร่างกายอวบอิ่ม พกดาบโค้งสองเล่มไว้ที่เอว บนอาภรณ์ของทั้งสองล้วนมีสัญลักษณ์ปลาวาฬสีขาวตัวหนึ่ง
พอเข้าประตูมา ชายชราผู้นั้นก็ตะโกนโหวกเหวก
“ผู้ใด! ผู้ใดเป็นยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่ง?! ข้ากำลังสลึมสลือ พออ่านรายงานก็ตาตื่นแล้ว! สำนึกปลอดโปร่งอายุประมาณยี่สิบ! บัดซบ! นี่ล้อเล่นกันเกินไปแล้ว!”
“ผู้เฒ่าหวังผู้จัดการภารกิจภายใน! ผู้อาวุโสโอวหยาง!?” จ้าวเซินเห็นผู้มา พลันแตกตื่นจนตัวสั่น รีบเข้าไปคำนับ เฒ่าเซี่ยวก็รีบเข้าไปคำนับเหมือนกัน
“ไม่ต้องมากพิธี” ผู้อาวุโสโอวหยางสตรีงามนางนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน สายตาอยู่บนตัวลู่เซิ่งที่ยิ้มอยู่คนเดียวในลาน
“เป็นมังกรในหมู่คนจริงๆ คนผู้นี้คือน้องลู่กระมัง”
ลู่เซิ่งประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยลู่เซิ่ง สมควรเป็นยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งที่พวกท่านพูดถึง”
“สำนึกปลอดโปร่งหรือ จริงหรือปลอม!? ข้าขอทดลองหนึ่งหมัด!”
ตูม!
เสียงไม่ทันขาด ชายชราที่อยู่ด้านข้างพลันกระโจนขึ้น ในลานเกิดเสียงร้องแหลมของอินทรี เสียดหูเป็นพิเศษ
“มาได้ประเสริฐ!” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอยอดฝีมือเหนือกว่าระดับสำนึกปลอดโปร่ง ถึงกับใช้สำนึกจริงแท้และแก่นแท้วรยุทธ์ได้เหมือนกัน
ลู่เซิ่งใช้ฝ่ามือทำลายใจอย่างฉับพลัน ไม่ได้กระตุ้นปราณ เพียงเข้าปะทะซึ่งหน้าเช่นนี้
โฮก!
ต่อให้ไม่กระตุ้นปราณ สำนึกจริงแท้วิชาดาบพยัคฆ์ดำที่เขาบรรลุหลังระดับสำนึกปลอดโปร่ง ก็ก่อเกิดเสียงเสือคำราม สั่นสะเทือนต้นท้อในลานจนใบไม้ปลิวว่อนราวเกิดพายุฝน
ลู่เซิ่งฝ่ามือเป็นสีแดง หว่างคิ้วปรากฏลวดลายสีแดงเป็นตัวอักษรชวน (川) ร่างดุจเกาทัณฑ์ เข้าปะทะกับชายชรา
ผัวะ! ผัวะผัวะผัวะผัวะผัวะ!
ฝ่ามือแรกของทั้งสองคนพอปะทะกัน ก็ดีดออก ภายหลังใช้ห้าฝ่ามือติดต่อกันดุจสายฟ้าแลบ จากนั้นจึงแยกกันถอยหลัง
“ฮ่าๆๆ! สะใจนัก!” ลู่เซิ่งจิตใจเบิกบานปลอดโปร่ง นอกจากภูตผี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสู้กับคนอื่นอย่างสนุกสนานเช่นนี้ ในสถานการณ์ที่ไม่ใช้ปราณภายใน ออกฝ่ามือสุดกำลัง ถึงกับมีคนรับได้ นี่ทำให้เขาอดคันไม้คันมือไม่ได้ เกิดความรู้สึกว่าผู้มีความสามารถย่อมนิยมชมชอบกัน
“มาอีก!” ลู่เซิ่งยกฝ่ามือขึ้นด้านหน้า กลางฝ่ามือเป็นสีแดงฉาน จะต่อสู้อีก
พรูด!
กลับเห็นชายชราผู้นั้นเงยหน้ากระอักเลือดกองโต ล้มไปด้านหลัง
“…”
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ตกตะลึง
“ใต้เท้าหวัง! รีบช่วยคนเร็ว!” จ้าวเซินรู้สึกตัวเป็นคนแรก รีบพุ่งเข้าไปประคองชายชราผู้นั้น
สตรีวัยกลางคนพลันมีสีหน้าเคร่งเครียด รีบเดินเข้าไปพลางล้วงหยิบขวดเล็กๆ ใบหนึ่งจากในแขนเสื้อ เปิดจุกเทยาลูกกลอนสีขาวเหมือนกับถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งออกมา ให้ชายชรากินอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็กดนวดจุด ทุยหนาระบายเลือดให้เขา
ผู้คนยุ่งอยู่กับชายชราพักหนึ่ง ลู่เซิ่งยืนดูอยู่ด้านข้าง เฒ่าเซี่ยวคิดจะปลอบเขา แต่ก่อนที่จะช่วยตาเฒ่าหวังได้ พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
เขามองลู่เซิ่งเหมือนมองสัตว์ประหลาด ส่ายหน้าถอนใจ สุดท้ายตบบ่าลู่เซิ่ง ไม่พูดอะไรอีก
ลู่เซิ่งหมดคำพูดเล็กน้อย อารมณ์ที่ตื่นเต้นเพียงครู่เดียวก็สงบลง
เขาพลันเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าพลังของตัวเองในตอนนี้อยู่ที่ระดับไหน
ไม่ใช่คนมีชื่อเสียงดังที่ตนเองทายก่อนหน้า อาจจะแข็งแกร่งกว่านั้น…
………………………………………….