ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 546 วางแผน (2)
บทที่ 546 วางแผน (2)
ความแข็งแกร่งของเผ่าเกล็ดหิมะถึงขั้นทำลายทัพพันธมิตรของมังกรศักดิ์สิทธิ์และมังกรลมที่จับกลุ่มกันมาได้ ข่าวนี้แพร่กระจายไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
ยังไม่รอให้เผ่าอื่นๆ ยืนยันว่าจริงหรือปลอม ลู่เซิ่งก็มุ่งหน้าไปยังบึงมังกรพิษ เพื่อเริ่มแผนการเก็บเกี่ยวของตัวเองทันที
ใช้พลังอาวรณ์ไปตั้งเยอะ หากไม่เอาทุนคืนเลยจะเป็นไปได้อย่างไร
…
ด้านในบึงชื้นแฉะของป่าที่มืดครึ้มอันไพศาล พื้นที่แห่งนี้เป็นเกาะโดดเดี่ยวหลายแห่ง ต้นไม้สูงระฟ้างอกอยู่บนเกาะ สถานที่อื่นๆ เป็นบึงสีเขียวเข้มที่มีฟองพิษผุดขึ้นตลอดเวลา
ร่างมหึมาของลู่เซิ่งเดินเข้าป่า บึงน้ำที่ฝ่าเท้าเขาเหยียบล้วนจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง ทำให้พื้นแข็งขึ้นเพื่อให้เขาเหยียบย่ำ
ตึง
ตึง
เสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังไปทั่วบึงแห่งนี้เป็นระยะ
ในป่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในความมืดมีสายตานับไม่ถ้วนแอบมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญตัวนี้ แต่กลับไม่กล้าปรากฏตัว
ลู่เซิ่งยื่นมือไปจับต้นไม้ยักษ์หนาห้าหกหมี่ต้นหนึ่ง พร้อมกับกวาดตามองบึงสีเขียวเข้มผืนใหญ่ด้านหน้าด้วยสายตาเย็นชา ฟองพิษขนาดต่างๆ ลอยขึ้นจากก้นบึง จากนั้นก็ขยายตัวแล้วระเบิดออก ก่อนจะปล่อยพิษสีเขียวออกมาอย่างต่อเนื่อง
เสียงระเบิดที่ดังสลับกันทำให้ลู่เซิ่งนึกถึงน้ำอัดลมที่เคยดื่ม
“ผู้นำของบึงมังกรพิษ จงออกมาพบข้า” ครั้งนี้เขาเคลื่อนไหวโดยจุดประสงค์แรกก็คือการเอาเผ่ารอบๆ มาเป็นพวก เพื่อรวบรวมแผนผังให้ได้มากกว่าเดิม
ในป่าเงียบสงัด คล้ายกับมีแค่เขาคนเดียวจริงๆ
“ไม่ออกมาหรือ” ลู่เซิ่งยื่นฝ่ามือขวาออกมา ไอเย็นสีขาวกลุ่มใหญ่บนร่างขยายออกไปอยางบ้าคลั่ง
แกร่กๆ…
ชั้นน้ำแข็งสีขาวขยายใหญ่ไปตามพื้นรอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
อากาศแห้งลงอย่างรวดเร็ว น้ำทั้งหมดถูกแช่แข็งไว้
ชั้นน้ำแข็งขยายใหญ่เร็วขึ้นเรื่อยๆ
“โปรดรอก่อน ฝ่าบาทหมาป่าราตรีเหมันต์ผู้สูงส่ง” ในที่สุดก็มีเสียงชราดังมาจากด้านหลังของลู่เซิ่ง
“ยอมออกมาแล้วหรือ” ลู่เซิ่งหันกลับไปเห็นมังกรพิษมีปีกสีเขียวอ่อนที่เหมือนกับค้างคาวหลายตัวโผล่หัวออกมาจากในบึงด้านหลัง
ผู้ที่เอ่ยปากเป็นมังกรพิษตัวแรกที่อยู่ด้านหน้าสุด มังกรพิษตัวนี้ดูแก่ชรามากแล้ว
ผิวและเกล็ดทั่วร่างของเขาต่างก็เต็มไปด้วยรอยย่นเหมือนกับหลังของคางคก ของเหลวเหนียวหนืดสีดำหลายหยดไหลไปตามสองปีกของเขาแล้วหยดลงด้านล่างเป็นระยะ เหมือนกับน้ำมันเหนียวข้นที่สามารถติดไฟได้
มังกรพิษทั้งหมดยี่สิบกว่าตัวทยอยกันปรากฏตัว
มังกรพิษที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดก็คือทูตมังกรพิษที่ไปแสดงบารมีที่หมู่บ้านในตอนนั้น
มังกรพิษสายเลือดบริสุทธ์ของเผ่ามังกรมีจำนวนไม่มากนัก มังกรพิษของที่นี่เป็นพวกที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ทั้งหมดของทั้งเผ่าแล้ว
มังกรเฒ่าลากพวกเขาออกมาทั้งหมดเพียงเพื่อเสริมความกล้าเท่านั้น อย่างไรหมาป่าราตรีเหมันต์สูงสิบหมี่กว่าๆ ก็น่าตกใจเกินไปจริงๆ แถมยังมีศีรษะถึงเก้าข้างด้วย
แม้จะไม่เห็นว่าลู่เซิ่งจัดการทัพมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แต่มังกรเฒ่ากลับเห็นลู่เซิ่งกินร่างของมังกรลมที่ตายไปแล้ว พวกเขาจึงไม่อยากจะตกเป็นอาหารของลู่เซิ่ง
“นี่คือมังกรพิษทั้งหมดแล้วหรือ” ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบหนึ่งก่อนถามเสียงทุ้ม
“ถูกต้อง…” มังกรชราตอบอย่างนอบน้อม
มังกรพิษเหมือนกับไก่ตัวเมียที่ขลาดกลัวเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าลู่เซิ่ง พวกเขามีความสูงยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของลู่เซิ่งด้วยซ้ำ
“อย่างนั้น พวกเจ้าควรรู้เจตนาการมาของข้าแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “ยอมแพ้ หรือไม่ก็ตาย”
“พวกเราเลือกยอมแพ้” ราชามังกรพิษชราหมอบลงกับพื้นอย่างรู้ความ
เหล่ามังกรพิษที่เหลือพากันหมอบลงเช่นกัน
“อย่างนั้น พวกเจ้ามีหมอผีไหม มีแผนผังการสืบทอดหรือไม่” ลู่เซิ่งซักต่อ
“เอ่อ…มีนั้นมี…หมอผีก็คือข้าเอง แผนผังสืบทอดก็มีเช่นกัน เพียงแต่…” มังกรเฒ่าแปลกใจเล็กน้อย
“เพียงแต่อะไร” ลู่เซิ่งเห็นอีกฝ่ายอยากพูดอะไรบางอย่าง เลยรีบถาม
“เพียงแต่ หรือฝ่าบาทจะไม่ทราบว่า ต้องครอบครองสายเลือดโบราณที่ตรงกันเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต่อให้จะจำลองแผนผังได้สมบูรณ์แบบขนาดไหน ก็ไม่มีความหมาย” มังกรเฒ่าอธิบาย
“อ้อ? พวกเจ้าให้ข้าพิจารณาดูก่อน” ลู่เซิ่งไม่นำพาแม้แต่น้อย
จากนั้น มังกรพิษตัวหนึ่งก็ดำลงไปในบึง แล้วนำแผนผังการสืบทอดของเผ่ามังกรพิษทั้งหมดมา
มีแผนผังทั้งหมดห้าแผ่น น้อยกว่ามนุษย์หมาป่าแผ่นหนึ่ง
ลู่เซิ่งรับมาตรวจสอบอย่างละเอียด
แผ่นแรกเป็นภาพโครงสร้างร่างกายของพวกมังกรพิษที่ถูกวาดไว้ สิ่งที่แตกต่างก็คือ ตรงกลางแผนผังคือเทวลักษณ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของความหมายอื่น
ถัดจากนั้นก็เป็นเหมือนกัน แผนผังซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็แทบมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง เห็นแค่จุดสีดำกลุ่มใหญ่กระจายไปทั่วเท่านั้น
คำนวณหยาบๆ มีมากกว่าร้อยจุด
ลู่เซิ่งไม่ได้ดูอย่างละเอียด รับมาใส่ในย่ามหนังงูที่เตรียมไว้ทันที
“ดี พวกเจ้าพักผ่อนต่อเถอะ ข้าจะไปที่อื่นก่อน” เขาตบบ่ามังกรพิษเฒ่า พลังเกล็ดหิมะความเข้มข้นสูงมุดเข้าไปยังขอบหัวใจของอีกฝ่ายเพื่อที่จะให้ทิ่มแทงได้อย่างสะดวกทุกเวลา
“พ่ะย่ะค่ะ…” มังกรพิษเฒ่าไม่กล้าขัดขืน ได้แต่ยอมรับพันธนาการอย่างเชื่อฟัง
เมื่อลู่เซิ่งได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ยังได้สั่งให้มังกรพิษนำสมบัติที่มีอายุมากที่สุดในคลังสมบัติส่งไปยังที่อยู่ใหม่ของเผ่าด้วย จากนั้นก็ตรงดิ่งไปยังอีกทางหนึ่ง
ครั้งนี้เป็นเหยี่ยวเหล็กสี่ปีก แต่รอจนเขาไปถึง รังของเหยี่ยวเหล็กสี่ปีกก็ไม่มีใครอยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่าพอพวกเขาค้นพบความผิดปกติ ก็หลบหนีทันที
ในฐานะสายพันธุ์บินได้ หากเหยี่ยวเหล็กสี่ปีกคิดจะอพยพ จะมีความเร็วเหนือกว่าสายพันธุ์อื่นๆ มาก
หลังจากค้นหาในรังสักพักแล้วไม่ได้อะไร ลู่เซิ่งก็ได้แต่ออกมาเพื่อไปยังเผ่าถัดไป
คล้ายกับปรึกษากับเหยี่ยวเหล็กสี่ปีกดีแล้ว ฝูงแรดมังกรดินหายตัวไปแล้วเช่นกัน ยังมีเผ่ากิ้งก่ายักษ์อีกเผ่าที่หลบหนีไปแต่แรกแล้วเหมือนกัน
เผ่าใหญ่สี่เผ่าที่อยู่รอบๆ เผ่าเกล็ดหิมะในตอนแรก เหลือแค่บึงมังกรพิษเท่านั้นที่ไม่อาจอพยพได้ อย่างไรสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับต่อการดำรงชีวิตของเผ่ามังกรพิษก็หายากมากแล้ว
หลังจากพลังยกระดับถึงขีดจำกัดจนยกระดับต่อไปไม่ได้ชั่วคราว ลู่เซิ่งก็หันเหความสนใจไปยังเผ่าที่อยู่ไกลกว่า
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนวิ่งข้ามภูเขาหลายลูกไปยังทิศทางที่มังกรศักดิ์สิทธิ์บินมาเมื่อก่อนหน้า
ไม้พุ่มที่เตี้ยหน่อยถูกเขาใช้มือหักและโยนทิ้ง ส่วนพุ่มหญ้าที่สูงเกินครึ่งเอวคน ก็ไม่ต่างอะไรจากปุยขนบนพื้นที่ตื้นๆ สำหรับเขาเท่านั้น
หลังจากข้ามผ่านภูเขาขนาดย่อมสี่ลูกและหุบเขาหนึ่งแห่ง ตรงหน้าลู่เซิ่งก็เปิดกว้าง ปรากฏทุ่งหญ้าทอดยาวที่มีกลุ่มภูเขาอันไพศาลล้อมรอบ
ยักษ์ตัวสูงใหญ่หลายตนที่แบกต้นไม้ขนาดยักษ์ และทั่วทั้งตัวประกอบขึ้นจากก้อนหินสีเทาเดินอยู่บนทุ่งหญ้า
ยักษ์เหล่านี้ต่างก็สูงใหญ่เกือบเท่ากับลู่เซิ่ง พวกเขาเดินวนอยู่บนทุ่งหญ้าอย่างผ่อนคลาย
‘ที่นี่คือเผ่าอะไรกัน’ ลู่เซิ่งบังเกิดความสนใจ จึงเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อยเพื่อดูอย่างละเอียด
แต่ว่ายักษ์เหล่านี้สังเกตเห็นเขาที่มีรูปลักษณะประหลาดแล้ว มียักษ์หลายตนวางต้นไม้ใหญ่บนบ่าลง แล้วสาวเท้าเข้ามาหา
“เจ้าเป็นใครกัน!?” ยักษ์หินตนหนึ่งถามเสียงหยาบ
“ข้าคือราชาเผ่าเกล็ดหิมะ กระดูกดำหมาป่าราตรีเหมันต์” ลู่เซิ่งตอบอย่างช้าๆ “ที่นี่คือที่ไหน แล้วพวกเจ้าคือเผ่าอะไร”
“ที่นี่คือเผ่ายักษ์เนินเขา พวกเราคือยักษ์เนินเขา เจ้าหมาป่าเก้าหัวผู้แปลกประหลาด ที่นี่ไม่ยอมรับเจ้า ถ้าหากเจ้าจะบุกรุก หมาป่าราตรีเหมันต์ก็ดี หมาป่าเก้าหัวก็ดี ยักษ์เนินเขาไม่เกรงกลัวสงคราม” ยักษ์เนินเขาที่มีร่างกายกำยำที่สุดตอบอย่างช้าๆ
“พวกเจ้าดูแข็งแรงมาก อยากมาเป็นลูกน้องของข้าหรือไม่ ข้าจะเป็นราชาผู้ปกครองเทือกเขาแห่งนี้ หากพวกเจ้าสวามิภักดิ์เสียตอนนี้จะคุ้มค่ามาก” ลู่เซิ่งเกลี้ยกล่อม
“เหลวไหล!” ยักษ์หลายตนหัวเราะลั่น
“ตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคงหัวเราะ เจ้าหมาป่าผู้โอหัง เจ้ารีบไปเสียดีกว่า เกิดว่าเหล่ามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคำพูดของเจ้า เช่นนั้นเทือกเขาแห่งนี้จะไม่มีที่ให้เจ้าอยู่อีกต่อไป” ยักษ์เนินเขาที่ดูมีอายุตนหนึ่งเกลี้ยกล่อมเขาด้วยเจตนาดี
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะเอ่ยปาก อยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งรบกวนความคิดของเขา
“ยักษ์ทุกท่าน หัวใจแห่งผืนดินในครั้งนี้ได้นำมาส่งแล้ว ขอให้บอกต่อราชาแห่งยักษ์ด้วยว่า พวกเราจะส่งมอบรางวัลที่คู่ควรให้โดยเร็วที่สุด” ด้านในอุโมงค์บนเนินเขาใหญ่แห่งหนึ่งมีนักรบมนุษย์สวมเกราะหนังสีเหลืองอ่อนเดินออกมากลุ่มหนึ่ง
มนุษย์กลุ่มนี้ใส่ชุดเกราะที่เรืองแสงสีขาว สวมหมวกเกราะติดปีกสีเงิน ถือกระบี่หนักสองคมสีทองเข้มไว้หลายเล่ม คงเป็นนักรบกระบี่เกราะหนักในหมู่มนุษย์
พวกเขากำลังพูดกับยักษ์เนินเขาสีเหลืองเข้มตนหนึ่งที่ร่วมทางกันอยู่
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นคนกลุ่มนี้ในทันที
“เป็นมนุษย์…” เขาส่งเสียงอย่างมีเลศนัย
ทันใดนั้นยักษ์ทั้งหมดก็พากันหันมามองเขาอย่างระมัดระวัง
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับทางเดิม
“หยุด! ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!” ยักษ์ตนหนึ่งอดส่งเสียงเรียกเขาไม่ได้
ในหุบเขามีข้อห้ามเด็ดขาดมากมาย ข้อหนึ่งในนี้คือห้ามติดต่อค้าขายกับมนุษย์ ตอนนี้ ยักษ์เนินเขากำลังทำผิดข้อห้ามอยู่
กลับถูกลู่เซิ่งพบเห็นพอดี
ลู่เซิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ข้าบอกให้หยุด!”
ยักษ์ตนหนึ่งยื่นมือตะปบใส่ศีรษะข้างหนึ่งของลู่เซิ่ง
พริบตานั้นมีประกายวิญญาณสีขาวกระจายออกมา มือของยักษ์ถูกเกล็ดน้ำแข็งสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมในพริบตา ก่อนจะขยับเขยื้อนไม่ได้
“อ๊าก…มือของข้า!”
“เป็นตำนาน! ประกายวิญญาณในตำนาน!”
“รีบแจ้งหัวหน้าเผ่าเร็ว!”
ยักษ์มากมายพลันโกลาหล
ลู่เซิ่งมองนักรบกระบี่เกราะหนักทางด้านนั้นเป็นครั้งสุดท้าย เกราะบนตัวคนที่เป็นผู้นำมีสีทองอยู่ด้วย ร่างกายสูงใหญ่ที่สุด มือถือกระบี่ยักษ์สองคม มีเครื่องประดับเป็นปีกสีเงิน มองดูก็รู้ว่าเป็นคนที่มีตำแหน่งและพลังแข็งแกร่งที่สุด
คนผู้นั้นมองลู่เซิ่งอยู่ห่างๆ สายตาใต้หมวกเกราะฉายแววล้ำลึก
“น่าสนใจ” เขาเห็นเจตนานี้จากสายตาของลู่เซิ่ง
หลังจากเงียบงันเล็กน้อย คนคนนี้ก็ค่อยๆ ส่งเสียง
“ไม่ต้องสนใจมัน สัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ใช่ตัวตนที่พวกเราในตอนนี้จะล่วงเกินได้” ดวงตาของบุรุษใต้หมวกเกราะปิดลงเล็กน้อย ดวงตาสาดแสงสีแดงอ่อน
“ขอรับ” เหล่านักรบกระบี่พากันขานรับ
“ครั้งนี้ได้รับคำเชิญจากราชามังกรศักดิ์สิทธิ์มารับมือสี่เผ่าอาทิตย์แผดเผา ไม่ใช่เรื่องของข้าคนเดียว พลังระดับตำนานในเขตศักดิ์สิทธิ์ยิ่งมีเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น” บุรุษกล่าวอย่างราบเรียบ “ไปเถอะ”
เหล่ามนุษย์ค่อยๆ กลับทางเดิม
ลู่เซิ่งยืนอยู่ไกลออกไป มองตามจนบุรุษผู้นี้จากไป บนใบหน้าเก้าใบฉายสีหน้าที่บรรยายไม่ออก
‘ผู้จุติอีกคนหรือ น่าสนใจจริงๆ…’ เขานึกไม่ถึงว่าโลกใบนี้จะมีมารสวรรค์จุติมาอีกคนหนึ่ง
แม้อีกฝ่ายจะดูรันทดอย่างมาก แต่จิตวิญญาณกลับแข็งแกร่งอย่างร้ายกาจ ถึงขั้นแข็งแกร่งกว่าเขาอีก ทว่าร่างกายกลับอ่อนแอเหมือนกับดินน้ำมันอย่างไรอย่างนั้น
ลู่เซิ่งกลัวว่าหากตนเข้าใกล้เกินไปแล้วเป่าลมใส่โดยไม่ทันระวัง ก็น่าจะขยี้อีกฝ่ายให้ตายได้แล้ว แม้คนผู้นั้นจะเป็นระดับภูตเหมือนกัน แต่ว่าเขาเป็นมหาภูต แถมอีกฝ่ายก็เพิ่งจะเลื่อนสู่ระดับภูตเท่านั้น
‘รีบรวบรวมแผนผังก่อนดีกว่า ขอแค่เขาไม่ขวางทางเราก็พอ ไม่อย่างนั้นจะให้เขาได้รู้ว่า อย่างไรระหว่างคนด้วยกันก็มีความแตกต่างอยู่’ สุดท้ายลู่เซิ่งก็ไม่ได้ลงมือเพราะว่าพบผู้จุติคนนั้น
ผู้จุติที่เป็นเจ้าแห่งอาวุธทั่วไปแตกต่างกับเขา หลังจากผู้จุติเหล่านี้มาถึงโลกใหม่ ก็จำเป็นต้องฝึกฝนพลังใหม่ตั้งแต่ต้นเพราะได้รับอุปสรรคทางกาย แม้จิตวิญญาณกับขอบเขตระดับสูงจะลดทางอ้อมให้แก่พวกเขา และเร่งความเร็วถึงขีดสุดก็ตาม
แต่อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายสิบปี กว่าจะสะสมถึงระดับของลู่เซิ่งในวันนี้ได้
และบุรุษตรงหน้าก็ยังไม่ได้สะสมถึงขั้นนี้
……………………………………….