ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 55 พรรควาฬแดง (3)
ลู่เซิ่งเคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนมีชื่อเสียงไม่ใช้กำลังภายใน ก็เกือบฆ่ายอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งได้ในหนึ่งฝ่ามือ พึงทราบว่ายอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งแรงทั่วร่างรวมเป็นหนึ่ง บวกกับสำนึกปลอดโปร่งเสริมแรงแก่การระเบิดและการโคจรของเลือดลม ทวีพลังขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น
สำนึกปลอดโปร่งคนหนึ่งแทบเทียบได้กับจุดสูงสุดของพลังปลอดโปร่งสองคน
ปราณภายในได้แต่เพิ่มความเร็วและพลัง ดังนั้นคนมีชื่อเสียงที่ฝึกกำลังภายในและกำลังภายนอกพร้อมกันเหล่านั้น เทียบกับยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งแล้ว ต่อให้แข็งแกร่ง ก็แข็งแกร่งกว่าไม่เท่าไร
เฒ่าหวังถูกช่วยชีวิตไว้อย่างยากเย็น กระอักเลือดคั่งอีกรอบ ฟื้นสติอย่างช้าๆ ภายใต้การมุงดูของพลพรรค พยายามดันตัวขึ้นมามองลู่เซิ่ง
“นี่มันฝ่ามือทำลายใจไม่ใช่หรือ!? นี่เป็นฝ่ามือทำลายใจที่ตัวประหลาดที่ไหนสอนเจ้ากัน!? เจ้าบอกข้ามา ข้ารับรองว่าจะไม่ฆ่ามัน!”
ลู่เซิ่งพลันงุนงง
“ฝ่ามือทำลายใจ… หรือว่าเป็นฝ่ามือทำลายใจของเฒ่าหวังที่ถ่ายทอดในตระกูล” ทุกคนพลันตกตะลึงแล้ว
“ข้าเห็นผีเข้าแล้ว!” เฒ่าหวังตะโกน พลิกตัวสลัดหลุดจากการประคองของคนรอบๆ ลุกขึ้นมาแล้ว
“เจ้าเรียนฝ่ามือทำลายใจมาจากไหน มีแต่ช่องโหว่ ใช้แรงก็ผิด ใช้ผิดยังพอทำเนา ถึงกับเล่นงานข้าบาดเจ็บสาหัสในหนึ่งฝ่ามือ! ไม่มีเหตุผลแท้ๆ!”
เขาทั้งโมโหทั้งคับข้อง แต่ว่าสองตาขณะมองลู่เซิ่งกลับยิ่งมายิ่งเป็นประกาย
ลู่เซิ่งหมดคำพูดอยู่บ้าง นี่กับผูกโยงกันได้ ฝ่ามือทำลายใจเป็นเขาเรียนจากหัวหน้ามือปราบจางสวิน คิดไม่ถึงว่าเป็นความสามารถในตระกูลของผู้เฒ่าหวังคนนี้ มองท่าทีคนรอบๆ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าฝ่ามือทำลายใจนี้จะโด่งดังในมือตาเฒ่าผู้นี้นานแล้ว ไม่เหมือนเรื่องไม่จริง
“เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า! ทั้งยังแกร่งกว่ามากๆ!” ผู้เฒ่าหวังกล่าวขึงขัง ผลักจ้าวเซินที่คิดประคองเขาออกไป
“ข้าสอนเจ้าไม่ได้ แต่พี่ใหญ่ข้าทำได้แน่! พี่ใหญ่เขา… เขาต้องทำได้! พรสวรรค์ของเจ้าบวกกับความสามารถของพี่ใหญ่! อาจหาหนทาง หาความหวังได้!”
ลู่เซิ่งฟังจนประหลาดใจเหลือแสน
คนรอบๆ ก็ไม่เข้าใจว่ามีความหมายอะไร มีเพียงสตรีวัยกลางคนผู้นั้นกลับสองตาเป็นประกาย คล้ายเข้าใจความหมายของเฒ่าหวัง
“น้องชายเจ้าอยากเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพรรควาฬแดงหรือไม่” เฒ่าหวังเข้าใกล้ลู่เซิ่งอย่างจริงจัง จู่ๆ ก็ตบหน้าผากตัวเอง
“อ้อจริงด้วย ข้าลืมไป เจ้าเดิมทีก็จะเข้าร่วมพรรคข้าอยู่แล้ว”
“เฒ่าหวัง… ท่านไปพักผ่อนก่อน ที่นี่ให้ข้าจัดการเถอะ” สาวงามกล่าวเสียงเบา
“ก็ได้ เช่นนั้นหนิงจื่อ น้องชายผู้นี้มอบให้เจ้าแล้ว” เฒ่าหวังรู้สึกว่าปล่อยอาการบาดเจ็บของตนไว้ไม่ได้ ต้องกลับไปผักผ่อนแล้ว
ลู่เซิ่งไม่มีโอกาสพูดมาโดยตลอด เห็นกลุ่มคนห้อมล้อมเฒ่าหวังจากไปอย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสโอวหยางผู้นั้นรั้งอยู่กับคนส่วนหนึ่ง
คนที่รั้งอยู่เหล่านี้ต่างก็ลอบพิจารณาเขาเหมือนจ้าวเซินกับเฒ่าเซี่ยว
“น้องลู่มิสู้พวกเราเข้าไปนั่งคุยกันในห้อง ดีหรือไม่” เฒ่าเซี่ยวเสนอ
“ได้” ลู่เซิ่งค่อยโล่งอก
เขาไม่กลัวล่วงเกินใคร แต่สิ่งที่เขากลัวคือพลาดทำร้ายตาเฒ่าที่ไม่มีความแค้นตาย แบบนี้จะผูกความแค้นกับพรรควาฬแดงมากเกินไป
เฒ่าเซี่ยวเห็นลู่เซิ่งตอบรับก็ไปเชิญสตรีวัยกลางคนผู้นั้น หลังได้รับอนุญาต ก็นำคนทั้งสองเข้าไปในห้องพร้อมกัน มีแค่คนสามคนเข้าไป อย่างจ้าวเซิ่นไม่มีคุณสมบัติอยู่ฟังด้านข้าง
ทั้งสามคนเข้าไปในห้อง ผู้อาวุโสโอวหยางกับลู่เซิ่งแยกกันนั่งลง เฒ่าเซี่ยวยืนฟังอยู่ด้านข้าง
โอวหยางหนิงจื่อมองดูยังสาว อายุประมาณสามสิบปี แต่ความจริงเป็นคนอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว สองขาเรียวยาวที่เต่งตึงของนางไขว้กันวางเอียงน้อยๆ ทรวงอกอวบอิ่ม ขณะนั่งบนเก้าอี้ องค์เอวยืดตรง ร่างบางสูงชะลูด รูปโฉมหมดจด มีลักษณะสง่าผ่าเผย
“พวกเราได้เห็นความสามารถของน้องลู่แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ ตำแหน่งที่เหมาะกับเจ้ามากที่สุดในพรรคสมควรเป็นตำแหน่งผู้จัดการภารกิจภายนอก แต่ว่าตำแหน่งนี้พวกเราไม่มีคุณสมบัติแต่งตั้งถอดถอน ได้แต่รายงานประมุขพรรค รอหลังจากผู้อาวุโสทุกคนปรึกษากันจึงค่อยกำหนด”
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งยิ้มๆ “เป้าหมายที่ข้าเข้าร่วมพรรควาฬแดงก็คือต้องการร่ำเรียนแลกเปลี่ยนวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่า ตำแหน่งอันใดไม่มีความสนใจ”
“วรยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่า ที่แดนเหนือ พรรคของเรางอนิ้วก็นับได้ในด้านนี้ ประมุขพรรคถูกเรียกว่าผู้มีวิชากระบี่อันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ถ้าหากจะหาวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด พรรควาฬแดงของเรายอมรับโดยไม่ลังเล ต่อให้เป็นจวนขุนนางที่ว่าการก็สู้พวกเราไม่ได้” โอวหยางหนิงจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฒ่าเซี่ยวอธิบายเพิ่ม
“ชื่อเสียงของท่านผู้เฒ่าประมุขพรรค นำออกไปในแดนเหนือล้วนงอนิ้วนับได้ แม้แต่ผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บังคับการทหารของเมืองเลียบคีรี ต่อหน้าประมุขพรรคของพวกเราก็ได้แต่เรียกตัวเองว่าผู้เยาว์”
“อ้อ” ลู่เซิ่งกลับประหลาดใจบ้างแล้ว จวนขุนนางที่ว่าการแม้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่อย่างไรก็ก่อตั้งบนโลกนี้มานาน ต้องมีจุดที่เหนือธรรมดา หัวหน้าพรรคคนหนึ่งสามารถนั่งเสมอกับผู้นำจวนขุนนางได้ นี่แสดงให้เห็นกรายๆ ว่า พื้นเพพรรควาฬแดงไม่ได้เรียบง่ายเหมือนในจินตนาการ
“ตอนนี้ภูตผีอาละวาด สถานที่ไม่น้อยคนอยู่ไม่ได้ ผู้อาวุโสจำนวนมากในพรรคเราออกไปด้านนอกช่วยเหลือจวนขุนนางจัดการเรื่องยุ่งยากในแต่ละพื้นที่ บางทีตำแหน่งผู้จัดการภารกิจภายนอกยังต้องรออีกสักพักถึงจะสั่งการลงมาได้ ข้าจะเลื่อนตำแหน่งของน้องลู่ถึงตำแหน่งเก้ามัจฉาก่อน น้องลู่โปรดให้อภัย” โอวหยางหนิงจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร ประโยชน์ที่ควรได้อย่าให้ขาดก็พอแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้ม ถามอีก “ไม่ทราบว่าความร่วมมือแบบไหนถึงจะเข้าสู่ศาลาประกาศยุทธของพรรคได้”
“ศาลาประกาศยุทธมีวรยุทธ์ทั่วไปที่เปิดเผยส่วนหนึ่ง ห้ามัจฉาขึ้นไปเข้าร่วมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนตำแหน่งเก้ามัจฉาสามารถเข้าร่วมวรยุทธ์ระดับสำนึกปลอดโปร่งได้ วรยุทธ์ทั้งหมดที่ฝึกถึงขอบเขตพลังปลอดโปร่ง ไม่ว่าวิชากำลังภายนอก กำลังภายใน ล้วนไม่มีค่าใช้จ่าย” โอวหยางหนิงจื่อตอบอย่างจริงจัง
“ระดับพลังปลอดโปร่งเข้าร่วมได้หมดเลยหรือ” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย
ระดับพลังปลอดโปร่งเป็นระดับวิชาดาบพยัคฆ์ดำที่เขาเรียน ในความจริงเมื่อฝึกฝนดาบพยัคฆ์ดำโดยยึดตามคัมภีร์ลับ อย่างมากสุดถึงแค่พลังปลอดโปร่ง สำนึกปลอดโปร่งของเขาในภายหลังอาศัยความเข้าใจของตัวเอง
ลู่เซิ่งเป็นเช่นนี้ หลังจากจางสวินชี้แนะหลายประโยคก็บรรลุเอง
ซึ่งความจริงแล้วเหนือกว่าพลังปลอดโปร่งยังมีคัมภีร์ลับสำนึกปลอดโปร่ง นั่นเป็นคัมภีร์ลับที่ให้ขั้นตอนอันราบรื่นเป็นขั้นเป็นตอนว่าไปถึงสำนึกปลอดโปร่งได้อย่างไร ล้ำค่ามากกว่า
“ส่วนระดับที่สูงกว่า รวมถึงการเชิญยอดฝีมือในพรรคมาสอน จำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือต่อพรรคแล้ว” โอวหยางหนิงจื่อยิ้มเอ่ย
ภายหลังนางกับเฒ่าเซี่ยวบอกเล่าความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพรรควาฬแดงส่วนหนึ่งแก่ลู่เซิ่ง
อย่างเช่นสัญลักษณ์และอาภรณ์ของสมาชิกพรรค พลพรรคทั่วไปถึงระดับรองหัวหน้าหรือหัวหน้าใหญ่ ล้วนใช้จำนวนปลาบนอาภรณ์แบ่งระดับ จากหนึ่งถึงเก้า สูงสุดคือเก้ามัจฉา
จากนั้นเป็นสัญลักษณ์วาฬขาว นี่เป็นผู้อาวุโสกับผู้จัดการภารกิจภายนอกและภายในใช้ เหนือขึ้นไปอีกคือสัญลักษณ์วาฬขาวคู่ นี่เป็นสัญลักษณ์ที่รองประมุขพรรคถึงจะมีได้
สุดท้ายคือวาฬแดง เป็นตัวแทนประมุขพรรค
หลังจบการสนทนากัน ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว โอวหยางหนิงจื่อจึงบอกลาก่อน
เฒ่าเซี่ยวกับจ้าวเซินเชิญลู่เซิ่งไปเหลาสุราด้านนอก จัดงานเลี้ยงสุรา นับว่าแสดงความยินดีที่เขาเข้าร่วมพรรค
หลังจากดื่มกินอย่างเบิกบาน เฒ่าเซี่ยวนั่งบนที่นั่ง ถอนใจคำหนึ่ง
“กล่าวตามจริง วิถีโลกนี้ลำบาก แต่ละที่อันตราย พรรคพวกเราเองก็มีอัตราบาดเจ็บล้มตายสูงยิ่ง ดังนั้นจึงมีความต้องการยอดฝีมือมาก”
“อัตราบาดเจ็บล้มตายสูงยิ่งหรือ ท่านพี่ผู้เฒ่าเซี่ยวหมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย ถึงเขาจะมีการคาดเดาส่วนหนึ่งในใจ แต่ไม่ได้บอกกล่าวออกไป
เฒ่าเซี่ยวยิ้มเฝื่อน “น้องลู่อาจไม่ทราบ เมืองเลียบคีรีแห่งนี้มองไปสงบหรูหรา แต่เบื้องหลังทุกวันต่างมีวิกฤติการณ์อันตรายที่ถูกกำจัดในความมืด พวกเราพรรควาฬแดงเป็นสมาชิกในการจัดการเรื่องเหล่านี้ หรือบอกว่าเป็นด่านหน้า
“ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าราชสำนัก เหตุใดจึงอนุญาตให้พรรคจำนวนมากอย่างพวกเราดำรงอยู่เล่า”
ลู่เซิ่งหยีตา ประหลาดใจกับความตรงไปตรงมาของอีกฝ่ายอยู่บ้าง
“อันตรายหรือ ไม่ทราบเมืองเลียบคีรีแห่งนี้ จะมีอันตรายอะไรได้”
จ้าวเซินที่อยู่ด้านข้างอดกลั้นไม่ไหว สอดปากว่า “น้องลู่ ข้าขออาจเอื้อมเรียกเจ้าว่าน้องชาย คงไม่ถือสากระมัง”
“เหตุใดจะไม่ได้เล่า” ลู่เซิ่งหัวเราะพร้อมโบกมือ
จ้าวเซิ่นกล่าวต่อด้วยใบหน้าขื่นขม “ท่านไม่ทราบว่าโลกนี้อันตราย คนที่เข้าร่วมพรรคเราผ่านมือข้าทุกวัน มีสิบกว่าคน หนึ่งวันสิบกว่าคน หนึ่งปีสามร้อยกว่าวัน นั่นก็คือสามสี่พันคน! คนจำนวนมากขนาดนี้ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ เหตุใดในพรรคเราจึงมีแค่ไม่กี่หมื่นคน
“คนที่เหลือไปไหนแล้ว ยังมิใช่ที่ตายก็ตายไป ที่พิการก็พิการหรือ”
“สถานการณ์ที่จ้าวเซินเล่า พรรควาฬแดงของเรานับว่าไม่เลวแล้ว อย่างน้อยทำงานไม่ได้ ก็ได้เงินส่วนหนึ่ง พรรคที่เหลือจึงเรียกว่าน่าอนาถกว่า…” เฒ่าเซี่ยวถอนใจกล่าว
แสงตะเกียงในห้องวูบวาบ ทั้งสามคนไม่พูดอะไรชั่วขณะ
ลู่เซิ่งเงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ เอ่ยถาม “ไม่ทราบเรื่องอันตรายที่ว่าหมายถึงอะไร…”
“ไม่ใช่ข้อห้าม” เฒ่าเซี่ยวโบกมือ “เรื่องที่พวกเราจัดการหลักๆ เป็นภัยพิบัติของมนุษย์ จับผู้ร้าย พวกสังหารคนวางเพลิง ฉกชิง ข่มขืน ชิงอาณาเขต ชิงทรัพยากร งัดข้อกับคู่ต่อสู้ เหล่านี้ล้วนนับเป็นภัยพิบัติจากคน
แต่บางครั้งพวกเราก็เจอกับภัยมืด เป็นเรื่องแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์ส่วนหนึ่ง เหมือนกับบุตรีคนรองในบ้านขุนนางหวังหยวนเว่ย อยู่ๆ ก็หายไปกลางดึก รอจนเจอคน ก็ไปนอนอยู่ใต้ต้นหลิวต้นหนึ่งริมแม่น้ำไม้สนแล้ว ขนดำงอกเต็มตัว เรื่องนี้ถ้าข้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ตัวเองพูดยังไม่กล้าเชื่อ”
“เรื่องนี้… เป็นเรื่องจริงหรือ” จ้าวเซินก็ประหลาดใจเช่นกัน
“เป็นเรื่องจริง พันจริงหมื่นแท้ ข้าเห็นเด็กสาวคนนั้นด้วยตาตัวเอง เพิ่งอายุได้สิบเอ็ดสิบสองปี ขนงอกทั่วตัว แม้แต่เสื้อผ้าก็คลุมไม่มิด ภายหลังขุนนางหวังหยวนเว่ย มาเสาะหาพรรคพวกเรา ยังเป็นใต้เท้าหลี่ผู้จัดการภารกิจภายในสังหารเด็กสาวคนนั้นด้วยตัวเอง ว่ากันว่าตอนลงมือในคืนนั้น ลานทั้งลานโกลาหลวุ่นวายไปหมด” เฒ่าเซี่ยวรำพึง
“ภัยมืด… เรื่องแบบนี้มีมากหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา เข้าใจว่านี่เป็นคำเรียกเรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติของพรรควาฬแดง
“ไม่มาก แต่สองสามเดือนครั้งหนึ่ง บางครั้งความถี่ก็ไม่น้อย โดยพื้นฐานถ้าไม่สนใจมัน อีกไม่นานก็จะหายไปเอง บางครั้งต่อให้ไม่หาย ก็ไม่ขยายอาณาเขต เพียงอยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งเดิม ขอแค่หลบเลี่ยงที่นั่นก็ปลอดภัยแล้ว” เฒ่าเซี่ยวอธิบาย
ลู่เซิ่งพยักหน้า เข้าใจแล้วว่าคนธรรมดาจัดการเรื่องลี้ลับเหล่านั้นอย่างไร
“จะว่าไป ช่วงนี้แถวๆ นี้ก็เกิดเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง น้องลู่ไม่ทราบเคยได้ยินหรือไม่” จ้าวเซินเอ่ยแทรก
“เรื่องประหลาดอันใด” ลู่เซิ่งถาม
จ้าวเซินขมวดคิ้ว กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ก่อนหน้านี้ นักศึกษาที่อยู่ละแวกนี้คนหนึ่ง ชื่อหวังจื่อเฉวียนอันใด ว่ากันว่าไปเรือสำราญลำหนึ่งตอนดึกดื่นอย่างผิดวิสัย แล้วไม่ได้กลับมาอีก ก่อนหน้านี้ไม่นานถือว่าดังมาก”
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมา ข้ายังถามเบื้องบนว่าจะจัดการหรือไม่ อย่างไรความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นก็มากเกินไป เบื้องบนตอบว่าเรื่องนี้ไม่ต้องสนใจ ผ่านไปสักระยะก็จะหยุดเอง” เฒ่าเซี่ยวพูดต่อ
ลู่เซิ่งหยีตา ในใจเกิดความเข้าใจคร่าวๆ แล้ว
………………………………………….