ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 551 เจ้าแห่งอาวุธ (1)
บทที่ 551 เจ้าแห่งอาวุธ (1)
น้ำพุเหมันต์นิรันดร์สีฟ้าปล่อยไอเย็นไร้รูปร่างออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ลู่เซิ่งกลับสัมผัสการดำรงอยู่ของมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เหมือนกับน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ตรงหน้าเขาเป็นแค่ปรากฏการณ์ลวงตา
เขายื่นมือออกไปหมายจะสัมผัส แต่คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะสัมผัสอะไรไม่ได้เลย เหมือนกับยื่นมือเข้าไปในหมอกหนาที่เย็นเยียบ น้ำพุเหมันต์นิรันดร์ไม่มีส่วนที่จับต้องได้
เขาใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะชักมือกลับและหลับตา ค่อยๆ ปล่อยจิตวิญญาณออกมาบนผิวหนังเพื่อสัมผัสกลิ่นอายคลื่นจากโลกภายนอก
ไม่นานนัก ความรู้สึกเย็นเยียบและชื้นแฉะก็ส่งจากผิวหนังเข้ามาในสมอง
‘นี่แหละ’
ลู่เซิ่งคิดเล็กน้อย ในวิชาลับส่วนหนึ่งที่หลอกเอามาจากส้มเมื่อก่อนหน้านี้ มีอันหนึ่งที่สามารถใช้วิชาลับนำพลังงานที่มีวิธีการดำรงอยู่แบบพิเศษส่วนหนึ่งในโลกภายนอกเข้าสู่เทวลักษณ์ได้
เทวลักษณ์สามารถใช้เป็นวิชาอาคมก็ได้ หรือจะใช้เพิ่มพลังก็ได้ แถมยังเชื่อมต่อกับมิติพิเศษส่วนเล็กๆ เพื่อใช้กักเก็บพลังงานได้เช่นกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะส้มให้วิธีการใช้พื้นฐานมากมาย ลู่เซิ่งก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเทวลักษณ์มีวิธีใช้มากมายแบบนี้
และเขายังได้ทราบจากวิชาลับพวกนี้ด้วยว่า เทวลักษณ์เป็นสิ่งที่มีระดับเช่นกัน
ลู่เซิ่งได้สติกลับมา ก่อนจะยกมือขึ้น จิตวิญญาณสร้างลวดลายเทวลักษณ์เกล็ดหิมะขึ้นกลางฝ่ามือขวาของเขาด้วยความเร็วสูง จากนั้นเขาก็ยื่นมือเข้าไปในน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ช้าๆ
ซู่…
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ สิ่งที่สัมผัสได้ในพริบตาที่ยื่นมือขวาเข้าไปไม่ใช่ความเย็น หากเป็นความร้อนลวก
นับตั้งแต่สำเร็จวิถีแปดมารสูงสุด ลู่เซิ่งก็สัมผัสความเจ็บปวดจากความร้อนไม่ได้อีกต่อไป ครั้งนี้กลับทำให้เขาได้สัมผัสถึงความรู้สึกนี้อย่างเต็มที่อีกครั้ง
ความร้อนแผ่ลามจากฝ่ามือไปถึงแขน จากนั้นก็ขยายไปถึงลำตัว แขนขา และศีรษะทั้งเก้าอย่างรวดเร็ว
โฮก!
ร่างกายมหึมาของลู่เซิ่งค่อยๆ ลอยขึ้น ขนาดของเขายังคงเพิ่มขึ้น เค้าโครงกล้ามเนื้อกำลังขยายด้วยความเร็วสูงเช่นกัน
พรวด!
ปีกเนื้อขนาดยักษ์สีขาวคู่หนึ่งงอกออกมาจากด้านนอกแขนทั้งสองข้าง
แผ่นหลังของเขาเริ่มโค้งงอและโก่งขึ้น ถุงเนื้อโผล่ขึ้นอย่างแน่นขนัด ถุงเนื้อส่วนเกินบิดเบี้ยวและขยายใหญ่ขึ้นเหมือนกับสิ่งมีชีวิต จนใหญ่เท่าศีรษะเก้าข้างของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
หมอกสีฟ้าของน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ทะลักเข้าไปในร่างลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว หมอกจำนวนมากค่อยๆ เปล่งแสงสีเงินเป็นจุดๆ จากนั้นก็แผ่ลามเข้าไปในลำตัวและแขนขาของเขา
หลังจากไอหมอกทะลักเข้ามา ขนาดของน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ก็เริ่มหดเล็กลง
พรวด!
ทันใดนั้น ถุงเนื้อถุงหนึ่งบนแผ่นหลังลู่เซิ่งพลันแยกออก มีศีรษะหมาป่าข้างใหม่งอกออกมาจากด้านใน
จากนั้นถุงเนื้อใบที่สองก็แตกออกเหมือนกัน ศีรษะหมาป่างอกออกมา จากนั้นตามด้วยถุงเนื้อที่สาม ที่สี่ และที่ห้า…
ศีรษะหมาป่าแย่งกันงอกออกมาแน่นขนัด ร่างกายของลู่เซิ่งแข็งแกร่งและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ไม่นานก็สูงถึงยี่สิบหมี่
ศีรษะหมาป่าที่แน่นขนัดงอกอยู่ติดกันเหมือนกับองุ่น จำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา พื้นที่บนหลังหมดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เป็นทรวงอก ไหล่ ท้องน้อย และขา…
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามกว่าๆ น้ำพุเหมันต์นิรันรด์ก็เหลือแค่หนึ่งในห้าส่วน ลู่เซิ่งหยุดการดูดซับไอเย็น ร่างกายหยุดการขยายขนาดที่บ้าคลั่งและวิปริต
บนตัวเขานอกจากปลายขาทั้งสองข้างแล้ว ส่วนอื่นๆ ของร่างกายล้วนมีแต่ศีรษะหมาป่า
เหมือนกับสัตว์ประหลาดที่แบกสัมภาระขนาดใหญ่โต ซึ่งสัมภาระเหล่านี้ก็คือศีรษะที่เขางอกออกมาเยอะเกินไปนั่นเอง
‘รูปร่างแบบนี้ร้ายกาจจริงๆ…’ ลู่เซิ่งชักมือออกจากน้ำพุเหมันต์ ก่อนจะสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง
ฟู่ว…
กระแสอากาศที่บ้าคลั่งกลุ่มหนึ่งพัดเข้าหาเขาจากรอบบริเวณ ปากใหญ่อยางน้อยเกือบสามร้อยข้างสูดลมหายใจพร้อมกัน การเคลื่อนไหวของกระแสอากาศที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นพายุ
‘ดีปบลู’ เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา จากนั้นก็มองไปยังกรอบด้านล่างสุด
[แผนผังพลังเกล็ดหิมะ: หมาป่ามารร้อยเศียร (กึ่งเทพ) (คุณสมบัติพิเศษ: ร่างกึ่งเทพ, ประกายเทวะน่าเกรงขาม วิชาเลียนเทพ: ราตรีแห่งเหมันต์, เปล่งน้ำแข็ง, ประกายวิญญาณความเย็นเทพเทวะ, อัญเชิญทัพหมาป่าหิมะ,ลมหายใจโลกาวินาศ)]
‘รู้สึกไม่เหมือนเดิมแล้ว’ ลู่เซิ่งยกมือขึ้น ยังคงเห็นตราประทับของเทวลักษณ์วารีลี้ลับได้บนหลังมือ หลังจากมาถึงระดับนี้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองได้บรรลุถึงขีดจำกัดที่โลกใบนี้จะรองรับได้แล้ว
ในความว่างเปล่ารอบๆ มีพลังกีดกันหลายสายทะลักออกมา เหมือนต้องการลากเขาไปยังมิติอื่น
‘ตราผนึกของน้ำพุเหมันต์นิรันดร์สามารถปลดปล่อยได้ แต่ว่าไม่ได้อยู่ที่นี่’ ลู่เซิ่งมองน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ที่อยู่กลางอากาศอีกครั้ง
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มีวัตถุพิเศษบางอย่างที่อยู่กลางอากาศกำลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณของตนในตอนนี้อย่างรวดเร็ว ระดับการเพิ่มความแข็งแกร่งนี้แทบจะเป็นการทบทวีอย่างบ้าคลั่งหลายเท่า
แค่ไม่กี่อึดใจ จิตวิญญาณของร่างหลักก็ขยายขึ้นเป็นสิบเท่าจากของเดิม
แต่ว่าระดับแบบนี้ทำให้เขารู้สึกพร่องเล็กน้อย เหมือนกับพลังจิตวิญญาณส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้น
‘นี่น่าจะเป็นการเสริมพลังโดยธรรมชาติ เป็นความได้เปรียบที่มีเฉพาะในคุณสมบัติร่างกายชนิดนี้ ไม่ได้อยู่ในจิตวิญญาณของร่างหลักอย่างแท้จริง’ ลู่เซิ่งตระหนักรู้อย่างเลือนราง
‘ต่อจากนี้ มาปกครองเทือกเขาทั้งหมดก่อน’ การระเบิดตัวตายของส้มได้กวาดล้างอาณาเขตเกือบครึ่งของเทือกเขาแห่งนี้ในพริบตา
ลู่เซิ่งกระโดดลงจากยอดเขา หาในบริเวณรอบๆ อยู่สักพัก ไม่นานก็เจอพวกราชาหมียักษ์ในอาณาเขตที่อยู่ห่างออกไปด้านนอกหลายพันลี้ซึ่งไม่ถูกลูกหลงไปด้วย
พวกเขาถูกทัพใหญ่ราชาแห่งขี้เถ้าบีบไปถึงแนวหน้าสุดเพราะมีจำนวนน้อยเกินไป แต่สุดท้ายกลับรอดมาได้เพราะสาเหตุนี้
พวกผู้นำอย่างราชาหมียักษ์ต่างสั่นกลัวเป็นเจ้าเข้าเมื่อเผชิญหน้าร่างใหม่ที่ชวนสยองของลู่เซิ่ง อย่าว่าแต่หัวมากมายบนตัว แค่ร่างกายที่ใหญ่โตเกือบยี่สิบหมี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะกล้าท้าทายแล้ว
ไม่มีผู้ต่อต้านใดๆ กองทัพตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ล้วนตายหมดสิ้น ทัพราชาแห่งขี้เถ้ากับทัพสี่เผ่าอาทิตย์แผดเผาก็ตายเพราะการระเบิดของผลึกสีม่วงที่น่ากลัวเช่นกัน
เหลือแต่กองทัพเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกมาหน่อยเท่านั้น
ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจพวกเขา เขาให้ราชาหมียักษ์หาตัวราชามังกรพิษกับราชาแมงป่องสามหาง จากนั้นก็เริ่มกำราบเผ่าพันธุ์ทั้งหมดในเทือกเขา
เมื่อเผชิญหน้ากับลู่เซิ่งที่เป็นกึ่งเทพ เผ่าพันธุ์ที่อย่างมากสุดอยู่แค่ในระดับยอดผู้นำก็ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนแม้แต่น้อย ใช้เวลาเพียงสองวัน เทือกเขาทุ่งเขียวก็ตกมาอยู่ใต้อาณัติของลู่เซิ่ง
ตำแหน่งของน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ นอกจากสิ่งมีชีวิตในตำนานแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เหลือจะถูกแช่แข็งโดยอัตโนมัติหากเข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งร้อยหมี่ จิตวิญญาณจะค่อยๆ โดนน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ กลืนกิน
อาณาเขตทั้งหมดกลายเป็นเขตต้องห้ามไปโดยปริยาย
ลู่เซิ่งส่งกลุ่มลาดตระเวนออกไปดำเนินการป้องกันบริเวณใกล้ๆ อย่างแน่นหนา ส่วนตัวเขาเริ่มจัดเก็บน้ำพุเหมันต์นิรันดร์รอบๆ
พอไม่มีการขัดขวางของตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ เทือกเขาทุ่งเขียวทั้งหมดก็กลายเป็นใต้หล้าของเขาโดยสมบูรณ์ การปกครองเทือกเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว ไม่มีใครคอยกดดันอีกต่อไป เขาได้กลายเป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุดในเทือกเขาผืนนี้
ผลกรรมทั้งสองสำเร็จลงแล้ว ลู่เซิ่งค่อยๆ สัมผัสได้ถึงการหลอมรวมจากจิตวิญญาณของกระดูกดำ
เขารู้ดีว่า หากหลอมรวมโดยสมบูรณ์เมื่อไหร่ ก็จะเป็นวันที่ควรกลับเสียที
เขาเลยถือโอกาสเริ่มกักตนใกล้ๆ น้ำพุเหมันต์นิรันดร์
…
สิบวันต่อมา
ครืน
เมฆสายฟ้าที่มืดครึ้มปกคลุมท้องฟ้าเหนือเทือกเขาทุ่งเขียว
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ บนพื้นรอบๆ ตัวสลักลวดลายค่ายกลที่ซับซ้อนไว้แน่นขนัด คริสตัลสีขาวอันเย็นเยียบที่เรืองแสงจำนวนเหลือคณานับถูกฝังอยู่กลางค่ายกลบนพื้นเหมือนเป็นวัสดุสิ้นเปลือง
เทวลักษณ์ที่เข้ากันได้สามชนิดทับซ้อนกันอยู่กลางค่ายกล ได้แก่ เทวลักษณ์วารีลี้ลับ เทวลักษณ์เกล็ดหิมะ รวมถึงเทวลักษณ์พิษรุนแรง
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ด้านข้าง คอยเพ่งมองการเคลื่อนไหวของเทวลักษณ์ทั้งสามชนิด
เทวลักษณ์ทั้งสามชนิดเป็นสิ่งที่เขาได้มาจากในแผนผังถ่ายทอดของเผ่าใหญ่ๆ ความจริงแล้วสิ่งที่เขาใช้ได้ อันดับแรกคือเทวลักษณ์วารีลี้ลับ อันดับที่สองคือเทวลักษณ์เกล็ดหิมะ ส่วนเทวลักษณ์พิษรุนแรงเพียงแค่ใช้ทดลองดูเท่านั้น
ค่ายกลนี้เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้ออกมาหลังจากรวมวิชาลับมากมายเข้าด้วยกันแล้วสรุปออกมา ใช้เป็นเครื่องมือที่เอาไว้ช่วยเขาดูดซับพลังของน้ำพุเหมันต์นิรันดร์โดยเฉพาะ ไม่ได้พึ่งพาดีปบลู
ลู่เซิ่งในฐานะเจ้าสำนักมารกำเนิด เป็นปรมาจารย์ด้านการใช้พิษอยู่แล้ว เลยคุ้นเคยต่อเทวลักษณ์พิษรุนแรงเป็นอย่างดี
ดังนั้นเขาเลยคิดจะใช้ค่ายกลดูดซับพลังของน้ำพุเหมันต์นิรันดร์มาเปลี่ยนเป็นพลังแห่งเทวลักษณ์ จากนั้นค่อยหลอมรวมเข้ากับตัวเอง
เป็นเพราะเขาเดินทางข้ามโลก สิ่งที่ติดตามเขาไปด้วยได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือพลังแห่งเทวลักษณ์ ถ้าหากว่าเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังเทวลักษณ์ได้ อย่างนั้นครั้งนี้เขาจะได้กำไรก้อนโตแล้ว
‘พร้อมแล้ว…’ หลังจากตรวจสอบอีกรอบ ลู่เซิ่งก็ยืนยันได้ว่าไม่มีช่องโหว่และความผิดพลาดตรงไหนอีก
เขาตบกรงเล็บไปด้านหน้า
เพียะ
กรงเล็บหมาป่าตบโดนตรงกลางลวดลายค่ายกลอย่างแม่นยำ
หวึ่ง…
ค่ายกลทั้งหมดเรืองแสงสีขาว โซ่อักขระสีฟ้าที่กลมเหมือนกับลายหอยพุ่งขึ้นจากค่ายกล วนเวียนรอบตัวเขาพร้อมทั้งลอยขึ้นด้านบนอย่างต่อเนื่อง หลังจากลอยข้ามหัวลู่เซิ่งแล้ว มันก็ค่อยๆ หายไปกลางอากาศ
ไอเย็นสีฟ้าในน้ำพุเหมันต์นิรันดร์เริ่มถูกดึงเข้าไปในค่ายกลอย่างรวดเร็ว
เทวลักษณ์ทั้งสามชนิดที่อยู่กลางค่ายกลเริ่มสั่นไหวอย่างช้าๆ ท่ามกลางไอเย็นน่าสะพรึงขนาดมหึมา เทวลักษณ์วารีลี้ลับหลอมรวมเข้ากับเทวลักษณ์เกล็ดหิมะอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนจะกลายเป็นเทวลักษณ์ประหลาดแบบใหม่ แต่ว่าเทวลักษณ์พิษรุนแรงกลับไม่อาจหลอมรวมเข้ากับเทวลักษณ์แบบใหม่นี้ได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม
กระแสความเย็นกลายเป็นพลังค่ายกล พร้อมกับควบคุมให้เทวลักษณ์พิษรุนแรงปล่อยแสงสีเขียวเข้มออกมาอย่างต่อเนื่อง
แสงสีเขียวของเทวลักษณ์พิษรุนแรงเจิดจ้าและสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป
แกร๊ก
อยู่ๆ แสงสีเขียวก็ดับลงอย่างกะทันหัน แสงสีขาวอมเขียวกลับสว่างเจิดจ้าขึ้นมาแทน
กระแสความเย็นของน้ำพุเหมันต์นิรันดร์จำนวนมากทะลักเข้าเทวลักษณ์ประหลาดแบบใหม่อย่างบ้าคลั่งและต่อเนื่อง ราวกับว่าในเทวลักษณ์นี้เชื่อมกับมิติที่ไม่รู้จัก ซึ่งสามารถดูดซับพลังแห่งน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ครืน…
พอพลังของน้ำพุเหมันต์นิรันดร์รั่วไหลออกมาด้านนอก ขนาดของมันก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่หดเล็กลง กลางความว่างเปล่ามีเสียงครวญครางดังสนั่นที่บรรยายไม่ได้ดังขึ้น ราวกับกำลังปลาบปลื้มและรอคอย
ลู่เซิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงจ้องมองน้ำพุเหมันต์นิรันดร์เขม็ง
เวลาผ่านไปทีละนิดๆ
ไม่นาน รอจนน้ำพุเหมันต์นิรันดร์เหลือแค่ขนาดเท่ากำปั้น
เขาพลันปล่อยกรงเล็บหมาป่าที่กดอยู่บนเทวลักษณ์ค่ายกลออก
เปรี้ยง!
โซ่อักขระเหนือค่ายกลแตกออกอย่างกะทันหัน ทางเชื่อมที่ใช้ดูดซับกระแสความเย็นระเบิดออก จากนั้นทุกอย่างก็หยุดลงอย่างฉับพลัน
เหลือเพียงเทวลักษณ์ประหลาดที่สลักอยู่บนพื้นเท่านั้น
ลู่เซิ่งยื่นมือไปกดบนเทวลักษณ์ประหลาดอีกครั้ง
เทวลักษณ์นี้เกาะฝ่ามือของเขาเองเหมือนกับภาพพิมพ์ แล้วเคลื่อนไปถึงบนร่างของเขา
“ฝ่าบาทมังกรโบราณที่เคารพ พลังแห่งน้ำพุเหมันต์นิรันดร์แค่นี้ท่านควรจะทะลวงได้อย่างง่ายๆ แล้ว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ข้าน้อยขอตัวลาก่อน”
ตอนนี้ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่า ด้านในน้ำพุเหมันต์นิรันดร์มีพลังงานที่ยิ่งใหญ่จนทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนกำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่
ความแข็งแกร่งของพลังงานสายนี้ เขาเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรกในชีวิต ต่อให้เป็นพวกประกายขั้วโลกก็แข็งแกร่งไม่เท่าพลังงานสายนี้
ตอนนี้เขาสัมผัสได้แล้วว่าจิตวิญญาณของกระดูกดำกำลังหลอมรวมเข้ากับร่างหลักของตนด้วยความเร็วสูง
‘เพียงพอแล้ว’ ลู่เซิ่งลุกขึ้น น้ำพุเหมันต์นิรันดร์ที่เหลืออยู่นิดเดียวไม่อาจหยุดไม่ให้มังกรโบราณหลุดออกจากพันธนาการได้อีกต่อไป เขาทำให้คำไหว้วานของส้มเป็นจริงได้แล้ว
……………………………………….