ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 552 เจ้าแห่งอาวุธ (2)
บทที่ 552 เจ้าแห่งอาวุธ (2)
ส่วนที่ว่าส้มได้รับพลังจิตวิญญาณจากผลกรรมได้อย่างไร ลู่เซิ่งเดาว่า เขาคงจะทิ้งส่วนหนึ่งของร่างหลักเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง โดยเปลือกนอก ร่างหลักส่วนใหญ่ของเขาได้ออกจากโลกใบนี้ไปแล้ว แต่ยังเหลือร่างกายอีกนิดหน่อยที่รับพลังจิตวิญญาณหลังจากผลกรรมจบลงแทนเขาได้
ลู่เซิ่งมีการคาดเดาในเรื่องนี้หลังจากได้เห็นร่างหลักของส้ม
‘ควรจะไปได้แล้ว’
ลู่เซิ่งเก็บเทวลักษณ์ที่ยังกะพริบอยู่กลางฝ่ามือ ก่อนจะก้มมองเทือกเขาทุ่งเขียวที่รกร้างรอบๆ
บทสรุปสุดท้ายของการมายังโลกใบนี้น่าอัศจรรย์อยู่บ้าง มันไม่ได้ดำเนินการตามแผนเดิมของเขาโดยสิ้นเชิง แต่อย่างไรผลลัพธ์ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว แถมยังได้ผูกมิตรกับส้ม ราชามารสวรรค์ลำดับที่ห้าของโลกสรรพวิญญาณด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ติดต่อกับมารสวรรค์จากโลกใบอื่น มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นคนน่ากลัวที่เหี้ยมหาญถึงขั้นสร้างความโกลาหลไปทั่วด้วย
ถ้าหากราบรื่น เขาอาจจะแลกเปลี่ยนวิชาลับทุกชนิดกับอีกฝ่ายได้ และบรรลุเป้าหมายที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์
ลู่เซิ่งลุกขึ้นก่อนจะกระโดดเบาๆ ลงจากยอดเขา มาถึงวังเทพทุ่งเขียวที่กำลังก่อสร้างอยู่
นี่คือวังสำหรับพักผ่อนที่เผ่าพันธุ์ทั้งหมดสร้างให้เขาโดยเฉพาะ ธุลีขาวกำลังสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทำนู่นทำนี่อยู่
ทั้งขนย้ายหิน ฉาบกำแพงขาว ปูพื้นอิฐ สลักรูปสลักหิน ยุ่งวุ่นวายไปหมด
“ธุลีขาว”
ลู่เซิ่งส่งเสียงเรียกเขา
“ข้าน้อยอยู่ ฝ่าบาทที่เคารพ” ธุลีขาวสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบหันกลับมาคุกเข่าและขานรับ
“ข้าจะจากไปสักพัก หลังจากข้าไป เจ้าจงนำของสิ่งนี้และพาเผ่ากลับบ้านเกิดในอีกสักสองสามปี เทือกเขาแห่งนี้ให้มังกรพิษกับหมียักษ์ดูแล” ลู่เซิ่งงอนิ้วดีดแสงสีขาวจุดหนึ่งให้มันลอยหายเข้าไปในอกของธุลีขาว
“นี่คือ…!?” ธุลีขาวไม่เข้าใจ เพียงรู้สึกว่าแสงสีขาวนี้หายไปในร่างตนในพริบตา จากนั้นร่างกายก็อบอุ่นจนสุขสบายยิ่ง
“นี่คือตราประทับพลังของข้า เจ้าใช้ได้สามครั้ง จากนั้นพลังจะอ่อนลง จงจำไว้ หลังข้าไปแล้ว หากเกิดความวุ่นวาย เจ้าจงออกหน้าสะกดทันที” ลู่เซิ่งส่งกระแสเสียง กึ่งเทพสามารถถ่ายทอดตราประทับพลังที่เหมือนกับวิชาจิตได้ แต่ใช้ได้แค่สามครั้ง และสามครั้งนี้เขามอบให้ธุลีขาวทั้งหมด
ธุลีขาวพลันตกใจ เขาได้ยินความนัยจากน้ำเสียงของลู่เซิ่ง คล้ายกับเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าหัวหน้าเผ่าจะไม่กลับมาอีกแล้วหลังจากจากไป
“ไม่ต้องห่วง ข้าได้เพาะเมล็ดพันธุ์ของพลังเกล็ดหิมะไว้ในร่างคนในเผ่าทุกคนแล้ว ขอแค่พยายามฝึกฝน พยายามทำความเข้าใจความเย็นไปเรื่อยๆ จะต้องมีผลลัพธ์แน่” หลังจากสะสางผลกรรมเสร็จ ลู่เซิ่งก็ไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป
ทางต้าอินอาจเกิดปัญหาได้ตลอดเวลา เขาต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด
“ข้าเข้าใจแล้ว หัวหน้าเผ่า…” ธุลีขาวเข้าใจแล้วว่าตนเองไม่อาจเปลี่ยนใจหัวหน้าเผ่าได้อีก สีหน้าพลันเข้มแข็งขึ้นมา
“ข้าจะสืบทอดปณิธานแห่งเกล็ดหิมะต่อไป”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้” ลู่เซิ่งงอนิ้วแตะตรงหว่างคิ้วของเขา
จิตวิญญาณส่งวิธีการฝึกฝนตั้งแต่ช่วงพื้นฐานจนถึงระดับภูตตำนาน ยังมีประสบการณ์การฝึกฝนจำนวนมากด้วย แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เขาใช้ดีปบลูเรียนรู้ แม้จำเป็นต้องใช้เวลาในการฝึกฝนยาวนาน แต่ก็มีเส้นทางให้เดินได้อย่างแท้จริง
อย่างน้อยอีกหลายพันปีให้หลัง ถ้าเผ่าเกล็ดหิมะโชคดี ก็จะมีโอกาสที่ตำนานภูตสักตนจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ธุลีขาวตัวสั่นสะท้าน ความตกตะลึงและความซาบซึ้งในดวงตาของเขาฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ ตามข้อมูลที่ส่งมา
“หัวหน้าเผ่า…ฝ่าบาท…”
“จงอย่าได้ลืม ในอนาคตอีกไม่นาน เทือกเขาแห่งนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ต้องวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ” ลู่เซิ่งคาดว่าน้ำพุเหมันต์นิรันดร์คงจะทนได้อีกสักสามถึงห้าปี มากพอให้ธุลีขาวสำเร็จการฝึกฝน กอปรกับตราประทับพลังที่เขามอบให้ ธุลีขาวจึงสร้างภาพลวงตาว่าเขายังอยู่ได้
พลังเหล่านี้ทำให้เผ่าเกล็ดหิมะอพยพไปอยู่ที่อื่นได้อย่างปลอดภัย
ส่วนพวกราชาหมียักษ์กับราชามังกรพิษมีการควบคุมจากพลังเกล็ดหิมะขั้นสูงในตัว ขอแค่ธุลีขาวใช้พลังตราประทับ จะสามารถควบคุมความสามารถของพลังเกล็ดหิมะให้เพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างใหญ่หลวง สามารถจัดการหัวหน้าเผ่าทั้งหลายได้อย่างง่ายดายเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
ครั้นจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายลู่เซิ่งก็มาถึงส่วนลึกของวังเทพที่ยังสร้างไม่เสร็จ
กลางค่ายกลที่กะพริบแสงสีฟ้าด้านในตำหนักใหญ่ที่อยู่ด้านในสุด หอกยาวสีแดงเข้มเล่มหนึ่งปักอยู่บนพื้น
สองด้านของหอกยาวเล่มนี้ปรากฏลวดลายอักขระสีแดงที่เหมือนกับม่านโปร่ง ตัวหอกหนาหนึ่งหมี่กว่าๆ ยาวเกือบสิบกว่าหมี่ ถือว่าพอดีสำหรับลู่เซิ่ง แต่สำหรับคนทั่วไปกลับไม่อาจใช้หอกมังกรตราโลหิตเล่มนี้ได้ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
แค่น้ำหนึกที่หนักถึงสามสิบกว่าตันก็ทำให้สิ่งมีชีวิตทั่วไปได้แต่มองดูแต่ไม่อาจสัมผัสได้แล้ว
‘จบที่นี่ก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งก้าวเท้าเข้าค่ายกลช้าๆ
หมอกสีแดงอมดำปรากฏบนร่างเขา หมอกจำนวนมากเพิ่งหลุดออกจากร่างของเขา ก็ค่อยๆ ลุกไหม้กลางอากาศทันที
ฟ้าว!
ชั่วขณะนั้นตรงทรวงอกของลู่เซิ่งมีเงาสายหนึ่งพุ่งออกมาแล้วลอยเข้าหาหอกมังกร
ร่างกายอันมหึมาของหมาป่ามารร้อยเศียรหดเล็กลงอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะกลายเป็นแสงสีขาวจุดหนึ่งพุ่งเข้าไปในเงา
คล้ายกับสัมผัสได้ถึงการคุกคาม หอกมังกรตราโลหิตเลยสั่นไหวอย่างรุนแรงและส่งเสียงคำราม
โฮก!
นั่นคือเสียงคำรามที่เหมือนกับมังกรยักษ์อย่างแท้จริง ปลายหอกยาวถอนออกจากพื้นด้วยความเร็วสูง แต่ถูกค่ายกลรอบๆ ฉุดรั้งถ่วงดึงเอาไว้พริบตาหนึ่ง
และในพริบตานี้ เงาสีดำก็ฉวยจังหวะพุ่งเข้าใส่
ตูม!
เงาสีดำระเบิด ตำหนักใหญ่ถูกกลบท่วมอยู่ใต้เปลวไฟสีดำในพริบตา
หลังจากนั้นหลายวินาที ไฟสีดำก็หายไป ในตำหนักใหญ่ว่างเปล่า หอกมังกรพร้อมกับลวดลายค่ายกลบนพื้นอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
ต้าอิน
โฮก!
ท่ามกลางเสียงร้องของมังกรที่ทุ้มต่ำ ลู่เซิ่งโซเซพุ่งออกจากร่องแยกสีขาวที่เปิดออก แล้วกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง
พื้นระเบิดเป็นช่องแตกขนาดใหญ่
แม้เขาจะพยายามลดแรงกระแทกอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังสร้างความเสียหายให้แก่ค่ายกลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
แค่กๆๆ
เขาไออย่างรุนแรง ก่อนจะตะกายร่างออกมาจากกองหิน
ลู่เซิ่งในตอนนี้ท่อนบนเปลือยเปล่า ด้านหลังมีรอยสักรูปหมาป่ายักษ์สีขาวขนาดใหญ่เพิ่มมา แตกต่างจากขาไป
สิ่งที่แตกต่างจากหมาป่ายักษ์ตัวอื่นก็คือ ท่อนบนของหมาป่ายักษ์ตัวนี้เต็มไปด้วยศีรษะ ศีรษะหมาป่าแน่นขนัดเบียดอัดกันบนร่างที่แคบเล็กเหมือนกับเห็ด แค่มองดูก็ทำให้คนหนังศีรษะชาเล็กน้อยแล้ว
ลู่เซิ่งส่ายหน้า พร้อมกับยกมือขวาขึ้นดูกลางฝ่ามือ
เทวลักษณ์ประสานที่แปลกประหลาดกลางฝ่ามือยังคงอยู่ เขาจึงโล่งใจ
‘ทำได้จริงๆ ด้วย! พลังของน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ถูกเราเปลี่ยนเป็นพลังเทวลักษณ์และนำกลับมาแล้ว! เสียหายไม่มากเท่าไหร่!’
ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้วกวาดตามองในตำหนักใหญ่ จากนั้นก็โบกมือ เศษหินทั้งหมดกระจายออกจากรอบๆ ตัวเขาโดยอัตโนมัติ พื้นกลับมาสะอาดเอี่ยมเหมือนเดิม เศษหินจำนวนมากซ้อนกันเป็นกองเดียวเพื่อรอการจัดเก็บ
‘เราอยู่ในเผ่าทางนั้นหนึ่งเดือน ทางนี้น่าจะเป็นเวลาแค่สองสามวัน ดูสถานการณ์ก่อนดีกว่า’
ลู่เซิ่งปลดปล่อยจิตวิญญาณออกไป จากนั้นจิตวิญญาณก็กระจัดกระจายไปรอบๆ โดยมีตำหนักใหญ่เป็นศูนย์กลาง
พอใช้จิตวิญญาณ เขาก็ค้นพบความผิดปกติทันที จิตวิญญาณไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าสะพรึงเหมือนตอนเป็นหมาป่ามาร แต่กลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเหลือประมาณ
พลังจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นเกือบหกเท่าเมื่อเทียบกับก่อนจุติ
หลังจิตวิญญาณกระจายออกไป ลู่เซิ่งก็เห็นสถานการณ์ทุกอย่างในวังมารทันที
ศิษย์และบริวารหลายกลุ่มกำลังลาดตระเวน เหล่าผู้ถืออาวุธและผู้อาวุโสกำลังประชุมถกมาตรการกันในตำหนักประชุม ศิษย์จำนวนไม่น้อยกำลังดำเนินการเสริมกำลังที่ตำหนักธุรการ ทางตำหนักคุณูปการมีศิษย์กำลังบันทึกความสำเร็จจากการล่าวิญญาณร้าย
จากนั้นก็เป็นด้านนอกวังมาร มีวิญญาณร้ายสีเทาเร่ร่อนหลายตัวพุ่งผ่านอย่างรวดเร็วเป็นบางครั้ง แต่ว่าระดับความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นเอกลักษณ์ธรรมดาๆ เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเป็นตัวลูกที่ร่างวิญญาณร้ายซึ่งเหลืออยู่ก่อนหน้านี้ให้กำเนิดออกมาใหม่ หลังจากเกิดมาจึงหล่นจากระดับปฐพีกำเนิดจนถึงขั้นนี้
ลู่เซิ่งหักเลี้ยวจิตวิญญาณ แล้วเห็นคนของคฤหาสน์ลู่ในเขตอยู่อาศัยด้านหลังวังมารทันที
ลู่หนิงตื่นขึ้นมาแล้ว กำลังคุยกับเฉินอวิ๋นซีอยู่ ลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดากำลังรำพึงรำพันกับลุงใหญ่ เหมือนกำลังตัดพ้อถึงความลำบากของสถานการณ์ในปัจจุบัน
ส่วนลุงใหญ่ก็ทอดถอนใจว่าทุกที่มีแต่ความยากลำบาก แต่ละปีเกิดภัยพิบัติฟ้า ตั้งแต่ต้าซ่งถึงต้าอินเหมือนกับนรก จำนวนของคนธรรมดาเริ่มลดลงอย่างรุนแรง
ขยับจิตวิญญาณอีกครั้ง ด้านในวังทางตะวันออก ลู่ชิงชิงผู้เป็นลูกผู้น้องกับลู่อีอีกำลัง…เอ่อ…เหมือนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ หญิงสาวทั้งสองตางามพร่ามัว ใช้ร่างหนีบแท่งหรรษาสองหัวไว้ เสียงครวญครางดังกระเส่าเป็นระยะ
ลู่เซิ่งใช้ความคิด เก็บจิตวิญญาณกลับมา
ลู่ชิงชิงยังพอว่า แม้หัวสมองจะรักษาจนหายดีแล้ว แต่ก็ยังจำเรื่องราวมากมายไม่ได้ ทว่าอีอีเป็นคนเรียบร้อยมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ
‘อีกประเดี๋ยวค่อยถามดู ขออย่ามีปัญหาอะไรก็พอ’
ลู่เซิ่งสงบจิตใจ ‘ดูจากเวลา เราน่าจะออกไปไม่กี่วัน พอดีเลย ในเมื่อจิตวิญญาณยังยกระดับขึ้นอีก ก็น่าจะทะลวงประตูของเจ้าแห่งอาวุธได้แล้ว’
เจ้าแห่งอาวุธ เขาใฝ่ฝันถึงระดับนี้มานานนมแล้ว
เจ้าแห่งอาวุธครอบครองพลังแบบไหนกันแน่ เหตุใดจึงอยู่เหนือสรรพสัตว์ อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างได้ สาเหตุคืออะไรกัน
เขาทั้งคาดหวังทั้งกระวนกระวาย แต่ส่วนใหญ่เป็นความอยากรู้อยากเห็นมากกว่า
‘จัดระเบียบสิ่งที่ได้มาในครั้งนี้ก่อนดีกว่า’
‘หอกมังกรตราโลหิตถูกเรากินไปแล้ว มาดูกันว่าได้พลังอาวรณ์เท่าไหร่’
ลู่เซิ่งเรียกดีบลูออกมา เพียงแต่กวาดตามองข้อมูลบนกรอบอย่างคร่าวๆ เท่านั้น หลังจากเขาควบคุมและมีอิทธิพลต่อดีปบลูมากกว่าเดิม พลังอาวรณ์ก็แสดงจำนวนได้อย่างแม่นยำแล้ว
[วิชาไร้ขอบเขต: ขอบเขตที่ห้า, รวบรวมยอดศัสตราระดับหก—ศัสตราโลหิต (คุณสมบัติพิเศษ: วิถีแปดมารสูงสุด, หยุดเวลา, หลอกธรรมชาติ, จิตวิญญาณแข็งแกร่ง…)]
[ปฐมพลัง—ไฟหยิน]
[เทวลักษณ์—วารีลี้ลับ, เกล็ดหิมะ]
[พลังอาวรณ์: 198,872 หน่วย]
‘…ร้ายกาจ!’ ลู่เซิ่งรู้สึกยินดี แค่หอกมังกรตราโลหิตเล่มเดียวกลับมอบพลังอาวรณ์ให้เขาเกือบเก้าหมื่นกว่าหน่วย นี่เยอะกว่าอาวุธเทพระดับดาวหยกขั้นสุดยอดจำนวนมากในต้าอินเสียอีก
‘นอกจากนี้ร่างของหมาป่ามารร้อยเศียรยังได้หลอมรวมเข้ากับร่างหลักของเราแล้วด้วย’ ลู่เซิ่งตรวจสอบร่างกายตัวเอง พลังจำนวนมากที่ไม่เหมาะจะใช้ที่นี้ซึ่งได้จากการหลอมรวมกับหมาป่ามารร้อยเศียร ได้กลายเป็นสารเจือปนและถูกย่อยสลายทิ้งไปแล้ว
พลังเหลืออยู่ไม่มากนัก เป็นแค่หนึ่งในสามส่วนของหมาป่ามารร้อยเศียรเท่านั้น หนำซ้ำยังเป็นพลังเกล็ดหิมะที่ร่างหลักควบคุมไม่ได้ด้วย
พลังเกล็ดหิมะสายนี้ยังไหลอยู่ในร่างกายอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ถูกจิตวิญญาณห่อหุ้มเอาไว้เพื่อไม่ให้สร้างความวุ่นวายชั่วคราวเท่านั้น
‘ส่วนที่เหลืออยู่…’ ลู่เซิ่งค่อยๆ สัมผัสจิตวิญญาณกับพลังสายนี้ ไม่นานก็เข้าใจว่าส่วนนี้หมายถึงสิ่งใด
‘คุณสมบัติร่างกึ่งเทพหายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือ…ลมหายโลกาวินาศ?!’
ลมหายใจโลกาวินาศ คือเหมันต์คำรามฉบับยกระดับ อานุภาพแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม แต่ลู่เซิ่งเข้าใจว่า ที่มันแข็งแกร่งในโลกที่จุติถึงขนาดนั้น เป็นเพราะว่าตัวหมาป่ามารที่ควบคุมพลังเกล็ดน้ำแข็งที่นั่นมีตำแหน่งความสามารถที่ส่งผลต่อกฎธรรมชาติฟ้าดินได้ ดังนั้นพลังที่ใช้ออกมาย่อมขยายจนมีพลังถึงสิบกว่าสายโดยอัตโนมัติ
แต่ว่าที่นี่ เป็นเพราะกฎธรรมชาติแตกต่างถึงขั้นขัดแย้งกัน การที่สามารถปลดปล่อยพลังงานออกมาได้แบบเดิมโดยที่ไม่มีอะไรลดลงก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ต่อให้เป็นแบบนี้ เขาก็พอใจมากแล้ว
อานุภาพของลมหายใจโลกาวินาศที่ใช้ออกมาด้วยพลังหนึ่งในสามของหมาป่ามารร้อยเศียรที่เป็นกึ่งเทพ จะต้องมีระดับความแข็งแกร่งเท่ากับตอนที่ร่างหลักของเขาลงมือสุดกำลังอย่างแน่นอน
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นี่เป็นพลังงานพิเศษ ไม่เปลืองพลังของร่างหลัก
เขาสามารถใช้ออกมาอย่างฉับพลัน ในขณะที่ร่างหลักของเขาลงมืออย่างสุดกำลังขณะที่ทำการต่อสู้ได้โดยสมบูรณ์ นี่เทียบเท่ากับมีพลังทำลายล้างเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่าตัว!
……………………………………….