ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 553 เจ้าแห่งอาวุธ (3)
บทที่ 553 เจ้าแห่งอาวุธ (3)
‘สุดท้าย ควรเปิดประตูได้แล้ว’
ลู่เซิ่งจัดระเบียบสิ่งที่ได้มาเสร็จ จากนั้นไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะเพ่งสมาธิกลั้นลมหายใจ
จิตค่อยๆ หายเข้าไปในอาณาเขตที่เหมือนมีเหมือนไม่มี
ไม่นานนัก เขาก็เห็นประตูเขตแดนบานนั้นอีกครั้ง
ประตูใหญ่สีดำ บนกรอบประตูมีสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่เหมือนกับค้างคาวสองตัวเกาะอยู่
ประตูบานนั้นอยู่ในส่วนลึกสุดของจิต บนประตูสลักแก่นสารทั้งหมดของสิ่งที่เขาเรียนรู้มาไว้นับไม่ถ้วน
แก่นสารทั้งหมดของวิชาไร้ขอบเขตกลายเป็นสัญลักษณ์เรียบง่ายมากมาย แล้วสลักอยู่บนกรอบประตู
ท่อนล่างของสัตว์ประหลาดสองตัวที่เหมือนกับค้างคาวหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับประตูใหญ่ ดวงตาของพวกมันไม่มีนัยน์ตา หากแต่เป็นไฟหยินสีเขียวที่กำลังลุกไหม้สองกลุ่ม
พวกมันหมอบอยู่ด้านบนสุดของประตู ท่อนล่างรวมเป็นหนึ่งกับประตู คล้ายเป็นผู้อารักขาที่นี่
ลู่เซิ่งค่อยๆ เข้าไปใกล้ แล้วยกมือขึ้นเพื่อยื่นมือไปสัมผัสกับบานประตู
กี๊ซ!
สัตว์ประหลาดสีดำสองตัวที่เหมือนกับค้างคาวพลันร้องคำรามใส่เขา พร้อมทั้งเผยเขี้ยวแหลมคม
‘ต้องทำให้เงื่อนไขสมบูรณ์ก่อนหรือ’ ลู่เซิ่งสงสัย
ไม่มีใครชี้แนะเส้นทางให้แก่เขา ดังนั้นเมื่อมาถึงเวลานี้ เขาจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
“พวกเราคืออุปสรรคในใจเจ้า” ในตอนนี้เอง ค้างคาวตัวซ้ายค่อยๆ ส่งเสียงกล่าว
“พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า สะกดไปก็ไร้ความหายอยู่ดี เจ้าต้องใช้ใจของเจ้าทำให้พวกเรายอมรับ” ค้างคาวตัวขวากล่าวต่อ
“ทำให้พวกเจ้ายอมรับหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง การยกระดับของเจ้าแห่งอาวุธยังมีธรณีประตูแบบนี้อยู่อีก ใช้พลังข้ามผ่านไปดื้อๆ เลยไม่ได้เหรอ
“แล้วจะทำให้พวกเจ้ายอมรับเพื่อปล่อยข้าไปอย่างไร” ลู่เซิ่งถามกลับ
“ข้าคือด้านอสูรของเจ้า” ค้างคาวตัวซ้ายกล่าวเสียงแหลม
“ข้าคือด้านมารของเจ้า” ค้างคาวตัวขวาเอ่ยเสียงสูงเช่นกัน
“พวกเรารวมกันเป็นตัวเจ้า!” ค้างคาวสองตัวพูดขึ้นเป็นเสียงเดียว
ลู่เซิ่ง “…”
“แล้วด้านมนุษย์ของข้าเล่า…” เขาพลันนึกสนุก “เมื่อทุกส่วนของข้ารวมกันมีแค่อสูรกับมารหรือ”
“เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่อีกหรือ ยอมแพ้เถอะ เจ้าเป็นสัตว์มารตัวหนึ่งมานานแล้ว” ค้างคาวด้านมารกล่าวเยาะเย้ย
“เป็นไปไม่ได้” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้ารู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของมันในส่วนลึกของจิตใจ ข้ายังคงเป็นมนุษย์ ไม่ว่าข้าจะมีร่างมากมายขนาดไหน อย่างไรข้าก็เป็นสมาชิกของมนุษยชาติคนหนึ่ง”
“อย่างนั้นนิยามของมนุษย์ในใจเจ้าคืออะไร เป็นร่างมนุษย์ หรือใจของมนุษย์” ค้างคาวตัวแทนอสูรเอ่ยเสียงแหลม “ถ้าหากดูแค่จิตใจ อย่างนั้นมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาชนิดอื่นๆ แตกต่างกันตรงไหน เจ้ากินมารไปมากมาย กินพวกกลายพันธุ์ไปมากมาย ซึ่งในอีกความหมายหนึ่ง มีส่วนแตกต่างอะไรกับมนุษย์เล่า เจ้าแน่ใจหรือว่าสิ่งที่เจ้ากินไม่ใช่มนุษย์”
เมื่อเผชิญคำถามนี้ ลู่เซิ่งเงียบไป ความจริงเขารู้สึกว่า ค้างคาวสองตัวนี้ไม่ได้พูดผิด ความจริงแล้วพวกมันก็คือเขา เปลี่ยนมาจากส่วนหนึ่งของเขา แทนที่จะบอกว่าเขาถูกขวางไว้ตรงนี้ ควรบอกว่าเขาขวางตัวเองไว้ดีกว่า ไม่ได้ทำให้ตัวเองยอมรับโดยสมบูรณ์ หรือเผชิญหน้ากับความคิดของตัวเอง
“ถ้าหากเจ้าเพียงแค่มองจากรูปลักษณ์ภายนอก อยางนั้นร่างหลักของเจ้าในตอนนี้ก็ไม่ใช่มนุษย์มานานแล้ว เจ้านับว่าเป็นมนุษย์จริงๆ หรือ” ค้างคาวตัวแทนมารกล่าวเสริม
“แก่นสารของชีวิตไม่ใช่กิเลสหรอกหรือ จงไปปลดปล่อยเถอะ ทั่วทั้งแคว้นนวกระจ่าง มนุษย์และปีศาจนับไม่ถ้วนที่เจ้าให้การคุ้มครองอยู่ ขอแค่เจ้าต้องตาล้วนนำมาเล่นได้ตามใจ
เจ้าสามารถเล่นลู่ชิงชิงกับลู่อีอีเหล่าพวกลูกผู้น้องของคฤหาสน์ลู่ ศิษย์ของเจ้า และเพศตรงข้ามทั้งหมดในเขตจันทราสารทได้ตามใจ หลังเล่นจนเบื่อ ยังสามารถกินเพื่อนำมาบำรุงร่างกายได้อีก ไม่มีความสิ้นเปลืองแม้แต่น้อย”
“เจ้าเป็นนายของที่นี่ อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ไม่มีคนหยุดเจ้าได้ ปลดปล่อยพันธนาการในใจเจ้าเถอะ จงทำตามความปรารถนาแรกสุดของร่างกายเถอะ”
เสียงของค้างคาวสองตัวทุ้มต่ำและเย้ายวนขึ้นเรื่อยๆ
“หากเจอความปรารถนาในใจ แล้วระบายมัน ทำให้มันพอใจ…เจ้าจะพบว่า ที่แท้โลกนี้เป็นอาหารที่อยู่ตรงหน้าของเจ้า หากทิ้งภารกิจ สติปัญญา จริยะธรรมเมื่อใด ทุกสิ่งทุกอยางก็จะงดงาม…”
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดวงตาค่อยๆ พร่ามัว
“ใช่แล้ว…พลังของเจ้าแข็งแกร่งเหลือประมาณ เพียงแค่ทำให้ตัวเองพอใจเล็กน้อยยังมีอะไรต้องกลัวอีกเล่า คนอ่อนแอควรยอมสยบต่อคนที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว…ข้าคือผู้ปกครองทุกสิ่ง…”
“ใช่แล้ว…จงไปเถอะ…เจ้าข่มตัวเองต่อไปก็ไร้ความหมาย ไปหาทุกสิ่งที่เจ้าต้องการที่สุดเถอะ…” ค้างคาวสองตัวกล่าวเบาๆ ชวนคล้อยตาม “ไปเสพสุข…ไปทำลายล้าง…”
ร่างของลู่เซิ่งค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงตามเสียงที่สะท้อนไปมา
เขาแหลมสีแดงเข้มที่มีรอยเกลียวหกข้างงอกบนศีรษะ ลวดลายเปลวไฟน่ากลัวและแปลกประหลาดมากมายเรืองแสงขึ้นบนร่างท่อนบนของเขา
ซู้ม!
ปีกสีดำคู่หนึ่งดันออกมาจากด้านนอกแขนของเขา จากนั้นหางสีดำหยาบใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยหนามก็งอกออกมาจากด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆๆ!” เหล่าค้างคาวหัวเราะเสียงแหลม
“เห็นหรือยัง นี่คือเจ้าที่แท้จริง! เจ้าตัวจริง…อ๊าก!
เปรี้ยง!
ค้างคาวสองตัวถูกมือใหญ่สองข้างอุดปากเอาไว้
แคว่ก
ทั้งคู่ถูกกระชากลงมาจากบานประตูพร้อมกับเลือด แล้วโดนยัดเข้าปากใหญ่ของลู่เซิ่งที่อ้าอยู่ ก่อนจะถูกเขากินในทีเดียว
“หนวกหู”
ลู่เซิ่งดูดนิ้ว จากนั้นก็มองประตูใหญ่ด้านหน้าอีกครั้ง
‘รู้สึกเหมือนกินอะไรบางอย่างที่สุดยอดลงไปเลย…’ เขารู้สึกว่าส่วนลึกของจิตใจเกิดความเจ็บปวดเล็กน้อยเหมือนมีบางอย่างถูกฉีกออก
‘ช่างเถอะ คิดมากไปทำไม ไม่ใช่อยากให้เราทำตามความปรารถนาในส่วนลึกหรอกหรือไง ตอนนี้สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือการยกระดับ พวกเจ้ากล้ามาขวางข้า นั่นคือการรนหาที่ตาย’
จากนั้นเขาก็เดินไปถึงหน้าประตู แล้วยื่นมือไปผลัก แต่ประตูใหญ่ไม่ขยับแม้แต่น้อยนิด
ไม่นานเขาก็เห็นอักษรภาษาภัยพิบัติแถวหนึ่งปรากฏบนประตู
‘ใช้ใจของเจ้า สามารถเปิดทุกสิ่งได้’
‘ใจของเรา…’ ลู่เซิ่งเหมือนบรรลุอะไรบางอย่างแล้ว
เขายกสองมือขึ้นมามองสิบนิ้วที่แหลมคมเหมือนกับใบมีดของตัวเอง ยังมีเกล็ดสีดำสนิทที่แข็งแกร่งซึ่งกำลังสะท้อนทุกอย่างรอบๆ เหมือนกับกระจกนั้นอีก
‘ใจของเรา…’
เขาค่อยๆ หลับตาลง
นับตั้งแต่ทะลุมิติมายังโลกใบนี้ อดีตทั้งหมด ทุกสิ่งที่พบเจอ และทุกๆ การดิ้นรนที่เกิดขึ้น
ความลังเล ความไม่แน่ใจ ความสงสัย ความเจ็บปวด
การดิ้นรน ความบิดเบี้ยว ความบ้าคลั่ง ความโกรธ และ…การทำลายล้าง
ตั้งแต่เมืองเก้าเชื่อมถึงเขตจันทราสารทในตอนนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางเล่นย้อนกลับในหัวสมองของเขาเหมือนกับภาพยนต์
‘ที่แท้เราก็…ไม่เคยลืมเลย…’ เขาน้ำตาอาบแก้มโดยที่ไม่รู้ตัว
พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประตูใหญ่ตรงหน้าก็ถูกเขากินจนเหลือแค่ชิ้นส่วนสองชิ้นในมือเท่านั้น
‘เรา…’ ลู่เซิ่งกำชิ้นส่วนสีดำสองชิ้นสุดท้าย น้ำตาบดบังสายตา ‘เรา…แม่งกินไปตอนไหนวะเนี่ย!?’
ครั้งนี้จบเห่แล้ว ยังไม่ทันเลื่อนระดับเลย! ประตูเขตแดนก็ถูกเขาเผลอกินหมดไปแล้ว!
แถมรสชาติก็ไม่เลวด้วย!?
เปรี้ยง!
ชิ้นส่วนสองชิ้นสุดท้ายที่เหมือนกับขนมเปี๊ยะระเบิดหายไปโดยสมบูรณ์
‘ประตูรสสาหร่าย…เฮ้ยไม่ใช่แล้ว! เราทำตามความปรารถนาลึกสุดแล้วไง คราวนี้ประตูไม่เหลือแล้วจะทำยังไงดี!’ ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี การเลื่อนระดับสู่เจ้าแห่งอาวุธที่รอคอยมานานกลับถูกตัวเองทำลายทิ้งโดยไม่ได้ตั้งใจ
อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ารอบๆ เหมือนจะผิดปกติเล็กน้อย
‘เราควรจะถอยออกจากส่วนลึกของจิตวิญญาณสิ ประตูเขตแดนหายไปแล้วชัดๆ’ พอได้สติกลับมา ลู่เซิงก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามองรอบๆ
รอบๆ ยังคงมืดมิดแต่ว่าในความมืดเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังล่องลอยกระจัดกระจายอยู่
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก สงบสติอารมณ์ แล้วเริ่มสำรวจช่องว่างในใจของตัวเอง
ในความมืดเหมือนมีอะไรบางอย่างยันเท้าของเขาเอาไว้
ตุบ…ตุบ…ตุบ…
เสียงฝีเท้าที่กระจ่างชัดสะท้อนไปมาในที่ว่างแห่งนี้
ไม่ทราบเดินอยู่นานเท่าไหร่
ตรงหน้าลู่เซิ่งพลันสว่างไสว
เขาเหมือนกับเดินออกมาจากในตรอกเล็กดำมืดแห่งหนึ่ง ด้านหน้าคือถนนอันเงียบสงัดที่ที่มีไฟริมทางสาดส่อง
ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้า จากนั้นก็หันไปมองด้านหลัง ส่วนลึกสีดำสนิทของตรอกแห่งนั้นคือสถานที่ที่เขามา
สิ่งที่อยู่ด้านหน้าเขาคือไฟส่องทางต้นหนึ่งที่สูงสามหมี่กว่าๆ ไฟสีเหลืองอ่อนสาดส่องถนนสายหนึ่งที่เงียบสงบ และมีหญ้าขึ้นสองฟากข้าง
ถนนเป็นสีขาวอมเทา ด้านข้างมีเศษหินและเศษหญ้าส่วนหนึ่งกระจัดกระจายกันอยู่
‘ที่นี่คือ…’ ลู่เซิ่งผุดสีหน้างุนงง ก่อนที่ม่านตาจะหดตัว
‘ถนนแถวๆ…บ้านเรานี่นา…’ ลู่เซิ่งยืนอยู่ในความมืด เขาช้อนตาขึ้นมองข้ามไฟริมถนน แล้วมองไปยังที่ที่อยู่ไกลออกไป
ตรงนั้นปรากฏตึกอยู่อาศัยแบบทันสมัยที่มีหลังคาสีแดงและกำแพงสีขาวแถวหนึ่ง ตึกที่สูงแปดชั้นเก่าเล็กน้อย ผิวผนังด้านข้างมีบางจุดที่กะเทาะหลุดร่อน เผยให้เห็นปูนสีเทาข้างใต้
เขานิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็เดินออกจากความมืด ตัดผ่านไฟริมถนน พร้อมกับเดินไปยังตึกที่ซึ่งตนเคยอยู่
‘ตึกที่สิบเจ็ด…หมายเลขห้าศูนย์สาม…’ ความทรงจำที่ผ่านมานานแวบขึ้นในจิตใจ
ลู่เซิ่งเดินเข้าเขตเล็กๆ ตามความคุ้นเคยที่อยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ โดยเลาะไปตามเส้นทางที่ไร้ผู้คน ก่อนจะค่อยๆ มาถึงตึกที่ตนเคยอยู่
ในเขตเล็กๆ นอกจากไฟข้างถนนแล้ว บ้านเรือนหลังอื่นล้วนมืดสนิท ไม่มีไฟและเสียงใดๆ นอกจากเสียงฝีเท้าที่ว่างเปล่าของเขาแล้ว ที่เหลือล้วนไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ลู่เซิ่งหดขนาดร่างจนเหลือขนาดเท่ามนุษย์ทั่วไปด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินบนตึกที่มืดสนิท ไม่นานก็ไปถึงชั้นที่ห้า
ทางเดินในตึกที่มืดสนิทว่างเปล่าเงียบงัน ด้านบนด้านล่างเหมือนเป็นบันไดที่เดินได้ไม่จบตลอดกาล
ลู่เซิ่งหยุดยืนอยู่ด้านหน้าประตูรักษาความปลอดภัย แล้วยื่นมือไปวางบนประตูที่เย็นเฉียบเบาๆ
ทุกอย่างสมจริงเกินไป เหมือนเขากลับมาถึงโลกใบเก่า กลับมาก่อนที่ตนจะทะลุมิติอย่างแท้จริง ถ้าไม่ใช่เพราะความผิดปกติของสภาพแวดล้อมรอบๆ เกรงว่าลู่เซิ่งจะนึกว่าตนกลับไปยังโลกใบเก่าจริงๆ
แกร๊ก
ประตูเปิดออก สำหรับลู่เซิ่งในตอนนี้ แค่ใช้ปราณมารแตะเบาๆ ก็เปิดสลักได้แล้ว
แต่ว่าเบื้องหลังประตูกลับไม่ใช่บ้านที่ว่างเปล่าเหมือนที่เขาจินตนาการ บุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ มีใบหน้าเหลี่ยม และมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้ากำลังยืนมองเขาอยู่ที่หน้าประตู ขณะเดียวกันก็ขวางประตูใหญ่ที่ใช้เข้าออกไว้ด้วย
ลู่เซิ่งจ้องมองคนผู้นี้อย่างเงียบๆ อยู่ในความมืด ใบหน้าที่คุ้นเคยของอีกฝ่ายเคยเป็นใบหน้าที่เขาเห็นมาตลอดสามสิบกว่าปีทั้งกลางวันและกลางคืน
นอกจากจะซีดขาวไปนิดหน่อยแล้ว ก็เป็นเสื้อผ้าชุดสุดท้ายที่เหมือนกับหลังจากเลิกงานในวันก่อนที่จะทะลุมิติตามความทรงจำอย่างแท้จริง
‘หมายความว่าอะไรกันแน่’ ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปเพื่อจะสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่าย
ไม่นานนัก ปลายนิ้วของเขาก็แตะกับผิวของชายหนุ่ม แต่สิ่งที่ตอบสนองกลับมากลับเป็นสัมผัสที่เย็นและแข็ง
เขารีบอังจมูกอีกฝ่าย
……………………………………….