ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 555 ต่อสู้ (1)
บทที่ 555 ต่อสู้ (1)
‘แต่แค่นี้ โลกมารจิตยังไม่ถือว่าเป็นการเพิ่มพลังที่มากมายอะไรนัก เจ้าแห่งอาวุธไม่ได้มีความแตกต่างชนิดตัดสินชี้ขาดกับพวกอริยะเจ้า’
ยิ่งลู่เซิ่งทดลองเท่าไหร่ ก็ยิงรู้สึกได้ว่าโลกมารจิตเหมือนจะเป็นแค่โลกวัตถุที่แข็งแกร่งและลี้ลับซึ่งโผล่ขึ้นมาเท่านั้น ไม่ได้มีการเพิ่มพลังพิเศษใดๆ ต่ออริยะเจ้า
เขาพกพาความสงสัยกลับวังมารก่อน หลังจากถามเวลาที่ชัดเจนจากพวกสวี่เฝ่ยลาแล้ว เขาก็ค้นพบว่า ตนเองเข้าไปในโลกมนุษย์หมาป่าทั้งหมดสามวัน
ในสามวันนี้ วิญญาณร้ายไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงพิเศษอะไร เหมือนกำลังซ่องสุมรอคอยอยู่
เขาเลยฉวยช่องว่างศึกษาโลกมารจิตอย่างละเอียดในขณะฆ่าวิญญาณร้ายไปด้วย
เวลาค่อยๆ ผ่านไป…
วิญญาณร้ายถูกกวาดล้างเป็นจำนวนมาก พริบตาเดียวก็เข้าสู่ฤดูหนาว เกิดหิมะตกหนักสี่วันติดกัน รอบๆ เขตจันทราสารทขาวโพลน ปกปิดทัศนียภาพโหดร้ายตรงหน้าจนหมดสิ้น
ตอนนี้ลู่เซิ่งทราบถึงขนาดของโลกมารจิตอย่างคร่าวๆ แล้ว
โลกมารจิตของเขามีตึกอยู่อาศัยสี่ตึก บวกกับถนนในอาณาเขตเล็กๆ เป็นขอบเขตวงกลม หากมุ่งหน้าออกไปต่อ จะเป็นความมืดสีดำสนิท
เขาเคยทดลองเดินไปในความมืด แต่ขณะที่เดินในความมืดอยู่หลายชั่วโมง ตรงหน้าก็มีแต่ความมืด ไม่มีอะไรเลยอยู่ดี
มิหนำซ้ำ ไม่ว่าจะเดินไปในความมืดนานเท่าไหร่ หากกลับไปยังตึกอยู่อาศัย จะใช้เวลาแค่สิบกว่าอึดใจเท่านั้น
โลกมารจิตใหญ่เท่าสนามลูกหนัง ห้องทุกห้องด้านในมีร่างที่เขาเคยฆ่าทิ้งอยู่ บ้างก็เป็นมนุษย์ บ้างก็เป็นปีศาจ ทั้งยังมีภูตผีอีกจำนวนมาก
พวกเขาไม่ขยับเขยื้อน รักษาอิริยาบทสุดท้ายก่อนตายเอาไว้
ในช่วงเวลานี้ ลู่เซิ่งเริ่มสังหารพวกวิญญาณร้าย และลองลากพวกมันเข้ามาในโลกมารจิต แต่ผลลัพธ์ก็คือ วิญญาณร้ายแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ลากเข้าไปได้สามอึดใจก็สูญเสียพลังชีวิตโดยสมบูรณ์
ลู่เซิ่งเหมือนจะเข้าใจความแข็งแกร่งของเจ้าแห่งอาวุธขึ้นบ้างแล้ว…
…
จอกชาอุ่นเรียบเนียนไร้รอยตำหนิเหมือนกับหยกขาว น้ำชาหอมกรุ่นสีเขียวมรกตกระเพื่อมอยู่ด้านใน ใบชาเส้นยาวหลายใบหันปลายแหลมลงล่าง ลอยอยู่กลางน้ำชาเหมือนกับหนามเล็กๆ ที่ลอยคว่ำอยู่
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูหิมะสีขาวที่มองไปไร้ขอบเขตด้านนอกพร้อมกับถอนใจเบาๆ
‘หลังจากเลื่อนระดับ จนกระทั่งถึงตอนนี้ เราได้ลากสิ่งมีชีวิตเข้าไปมากกว่าร้อยตัวแล้ว วิญญาณร้ายก็ดี เผ่าปีศาจก็ดี หรือแม้แต่เผ่ามาร ฆ่ามาตั้งมากมาย โลกมารจิตก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย…ดูเหมือนต้องลองหาตัวทดลองแล้ว’ เขาคิดคำนวณในใจ
ก๊อกๆๆ
ประตูของห้องหนังสือถูกเคาะ
“ท่านเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสใหญ่มาถึงแล้วขอรับ”
“เชิญเขาเข้ามา” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเรียบเฉย
แกร๊ก
ผู้อาวุโสใหญ่ลิ่วซานจื่อทอดน่องเข้าประตูมา สีหน้าซีดเซียวอยู่บ้าง แสดงให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บในวันนั้นยังไม่หายดี
‘ตอนนี้แต่ละที่กำลังดำเนินการกักกันอยู่ เขตจันทราสารทถูกกวาดล้างจนเกือบสะอาดแล้ว แต่ว่าคนธรรมดาตายมากเกินไป เกือบเก้าส่วนโดนวิญญาณร้ายสังหารจนหมดสิ้น ต่อจากนี้เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร’
“พวกผู้ปกครองเขตขอให้อาจารย์มาถามข้าหรือ” ลู่เซิ่งยิ้ม
“ผู้ปกครองเขตอะไรนั่นเหลือแต่ชื่อแล้ว” ลิ่วซานจื่อส่ายหน้า “คนธรรมดาตายไปเกือบหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ถ้าไม่ใช่ตระกูลขุนนาง ตระกูลใหญ่ๆ ก็เป็นสำนักค่ายพรรคที่มีพลัง โลกใบนี้ ผู้อ่อนแอไม่มีแม้แต่ทางรอด พวกเราเองก็สับสนอยู่บ้าง เกิดว่าต่อจากนี้วิญญาณร้ายจู่โจมครั้งใหญ่ พวกเราจะไปไหนดี เจ้าในฐานะเจ้าสำนัก ควรจะวางแผนได้แล้ว”
“ไปไหนดีหรือ” ลู่เซิ่งไตร่ตรอง “ตอนนี้ใต้หล้าปั่นป่วน ต้าซ่งก็ดี ต้าอินก็ดี แต่ละที่มีแต่ภัยพิบัติมาร วิญญาณร้ายก่อกรรมทำเข็ญ ชาวบ้านชาวช่องเหมือนตกนรกทั้งเป็น ไม่มีใครหลบเลี่ยงไปได้ มีแต่ต้องเผชิญความลำบาก ใช้พลังปกป้องตัวเอง จึงจะมีเส้นทางรอด”
“ดังนั้น?” ลิ่วซานจื่อผุดสีหน้าจริงจัง
“ข้าคิดจะเปิดรับศิษย์” ลู่เซิ่งเอ่ย “มอบโอกาสเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม ขอแค่คุณสมบัติผ่าน ล้วนกราบเข้าสำนักมารกำเนิดของเราได้”
“นี่แตกต่างอะไรกับสามสำนักกัน” ลิ่วซานจื่อไม่เข้าใจ
“แน่นอนว่าแตกต่าง” ลู่เซิ่งยิ้ม “ข้าคิดจะเลือกสถานที่แล้วสร้างที่ที่ปลอดภัยอย่างเด็ดขาดขึ้นมาสักแห่ง ขอแค่เข้าสำนักมารกำเนิดของเราได้ อย่างนั้นคนผู้นี้จะมีสิทธิ์พาคนสามคนเข้าเขตปลอดภัย”
“ระบบเครือข่ายหรือ เป็นแผนการที่ดีเหมือนกัน” ลิ่วซานจื่อพยักหน้า
“แต่ว่า…” ลู่เซิ่งยังพูดไม่ทันจบ ก๊อกๆๆๆ
ประตูถูกเคาะอย่างเร่งร้อน
“ท่านเจ้าสำนัก! รายงานด่วนทางทหารเจ้าค่ะ!” ศิษย์สตรีคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนอยู่ด้านนอกประตู
“ส่งเข้ามา” ลู่เซิ่งควบคุมสีหน้าพร้อมกับกล่าว
ประตูเปิดออก ศิษย์ที่เป็นหญิงสาวผมดำนัยน์ตาดำคนหนึ่งประคองจดหมายสีทองเข้มฉบับหนึ่งด้วยสองมือ พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ แล้ววางจดหมายลงบนโต๊ะด้านในห้องหนังสือ
ลู่เซิ่งยื่นมือไปคว้า ทำให้จดหมายลอยขึ้นกลางอากาศแล้วลอยเข้ามาในมือเขา ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ปราณมารสีดำกระจายออก ผนึกบนผิวนอกของจดหมายพลันหลอมละลาย เผยให้เห็นกระดาษจดหมายข้างใน
‘ปักษาทองจันทราส่องแสง อาทิตย์เจิดจ้าเผาไหม้นภา วิญญาณร้ายรุกจู่โจม ราษฎรใช้ชีวิตอย่างทุกข์เข็ญ ทุกชีวิตสูญสิ้น เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ ประมุขถ้ำอรุณทอง เฉิงลี่ ขอเชิญสหายร่วมเส้นทางทุกท่านร่วมกระทำการใหญ่’ ต่อจากนั้นลงชื่อไว้ว่า นักพรตแผดเผาฟ้าเฉิงลี่
“นักพรตแผดเผาฟ้า ฉายาโอหังจริงๆ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว แล้วส่งจดหมายให้ลิ่วซานจื่อต่อ
ลิ่วซานจื่อกวาดตามอง สีหน้าผกผันเล็กน้อย
“นักพรตแผดเผาฟ้าผู้นี้ ข้าเคยได้ยินมาก่อน ก่อนหน้านี้เพิ่งมีข่าวลือกระจายมาว่า เขาสังหารวิญญาณร้ายอย่างน้อยสิบกว่าหมื่นตนด้วยตัวคนเดียว สุดท้ายราชาวิญญาณร้ายต้องลงมือด้วยตัวเอง ถึงจะเอาชนะเขาได้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่เอาชนะเท่านั้น”
“ราชาวิญญาณร้ายหรือ ระดับอะไร” ลู่เซิ่งเกิดความสนใจ “ต้าอินนี้เหมือนกับเขาลึก ทัพใหญ่วิญญาณร้ายค่อยๆ บีบบุคคลร้ายกาจที่ซ่อนเร้นในเขาลึกมาหลายปีเหล่านี้ออกมาทีละนิดๆ แล้ว”
“หากสันนิษฐานตามปกติ น่าจะเป็นระดับเดียวกับบุรุษในเปลวเพลิงที่เจ้าได้เจอเมื่อก่อนหน้านี้” ลิ่วซานจื่อเอ่ยอย่างจริงจัง “เสี่ยวเซิ่ง อย่าประมาทนะ”
“อื้อ ข้าเข้าใจ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ นักพรตแผดเผาฟ้าคนนี้เกรงว่าจะเป็นเจ้าแห่งอาวุธยุคใหม่กระมัง”
“เจ้าแห่งอาวุธไม่ได้เกิดมาง่ายขนาดนั้น คงจะเป็นผู้ที่เข้มแข็งถึงขีดสุดในหมู่อริยะเจ้ามากกว่า” ลิ่วซานจื่อพูดพลางส่ายหน้า
“ใช่แล้ว…” ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับวางกระดาษจดหมายลงบนโต๊ะ
“เจ้าคิดจะไปไหม” ลิ่วซานจื่อถาม
“แน่นอนว่าไม่ จัดการปัญหานี้ก่อนค่อยว่ากัน เบื้องหลังของวิญญาณร้ายมีชื่อที่ข้าสังหารในเขตจันทราสารทเมื่อครั้งก่อนคือคนที่แข็งแกร่งกว่า” ลู่เซิ่งกล่าวพลางส่ายหน้า
“มีความมั่นใจไหม”
“ความมั่นใจหรือ ผู้ใดจะรู้เล่า” ลู่เซิ่งมองไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเหมือนมองข้ามหิมะผืนนี้ ไปยังขอบเขตที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
…
เปรี้ยง!
หินก้อนเล็กร่วงตกฟาดพื้น จากนั้นก็กลิ้งไปตามเนินหิมะจนถึงขอบหน้าผา แล้วหล่นเบาๆ ลงในมือใหญ่สีเหลืองอ่อนที่หยาบกระด้างข้างหนึ่งบนหน้าผา
ด้านบนหน้าผาที่หิมะปกคลุมไม่ถึง บุรุษร่างกำยำผิวสีเหลืองอ่อนที่ท่อนล่างหลอมรวมกับก้อนหิน เปลือยท่อนบน ชักมือขวากลับมามองดูก้อนหินกลางฝ่ามือ
ร่างกายของเขา แค่ท่อนบนก็สูงเกือบสิบกว่าหมี่แล้ว แขนหยาบกระด้าง แข็งแกร่ง และทนทานเหมือนกับก้อนหินก่อนจะถูกลมกัดเซาะ
บนศีรษะของเขามีเขาโค้งเหมือนแพะภูเขา ม้วนติดอยู่ข้างหูสองข้าง บนร่างกายและใบหน้าของเขาทาโคลนแห้งไว้หนามาก ทุกๆ ครั้งที่เคลื่อนไหวจะมีผงสีเหลืองจำนวนมากโปรยปรายลงมา
“ฉลามยักษ์ตายไปแล้วตัวหนึ่ง”
ท่อนล่างของบุรุษงอกอยู่บนหน้าผาเหมือนกับรูปแกะสลักหัวเรือ เขาช้อนตาขึ้นมองไปยังทิศทางของเขตจันทราสารทที่อยู่ไกลออกไป
“ดูเหมือนที่ฝ่าบาทส่งเรามาก่อน จะไม่ได้ตัดสินใจผิดจริงๆ โลกใบนี้มีศักยภาพดีกว่าโลกใบอื่นไม่น้อย”
เปรี้ยง!
วิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปพากันลอยขึ้นมาจากในหิน แล้วบินเตลิดไปทั่วเหมือนกับนกที่ได้รับความตกใจ
“ใต้เท้าจั่วลา กองทัพที่สามแตกพ่ายแล้ว ท่านจะลงมือเมื่อไหร่ พวกเราต้องการการสนับสนุนจากพลังของระดับสูง” วิญญาณร้ายสีขาวบริสุทธิ์ตัวหนึ่งบินเข้ามาใกล้จากท้องฟ้าไกล พร้อมกับร้องเตือนด้วยเสียงแหลมสูง
“บอกรายละเอียดกับสถานที่มา” บุรุษกล่าวเสียงขรึม
วิญญาณร้ายนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็มีไอสีขาวที่เหมือนกับด้ายบางๆ เส้นหนึ่งลอยออกจากตัว แล้วมุดเข้าไปกลางฝ่ามือบุรุษอย่างรวดเร็ว
“เข้าใจแล้ว อยางนั้น…เริ่มจากใกล้ๆ ก่อนก็แล้วกัน” บุรุษค่อยๆ ยื่นสองมือออกมาจับหน้าผาหินที่อยู่ข้างตัว จากนั้นก็ถอนร่างกายไปด้านนอก
ครืนๆ…
เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาเป็นระยะ ร่างกายท่อนล่างของเขาถูกถอนออกจากผาหิน ท่อนล่างของเขาไม่มีขา ไม่มีเลือดเนื้อ มีแต่รากต้นไม้หยาบใหญ่สีเหลืองอ่อนนับไม่ถ้วนเท่านั้น
รากไม้จำนวนเหลือคณนาขยับขยุกขยิบเหมือนกับหนวดของปลาหมึก
บุรุษปล่อยมือเบาๆ ร่างกายหล่นร่วงลงไป รากไหม้เสียบเข้ากับพื้นหิมะด้านล่างเป็นจำนวนมาก
ซู่ว…
ผืนดินทั้งหมดเริ่มเกิดเสียงดังจู๊ดๆ ราวกับว่าน้ำถูกดูดในพริบตาที่รากไม้แทงเข้าไป
สารกายของพื้นดินถูกรากไม้กินอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายจากส่วนที่อยู่ลึกลงไป
เปรี้ยงๆๆ…
อยู่ๆ พื้นส่วนหนึ่งก็ถล่มลงไป ดินอ่อนแอลงกว่าเดิม ถึงขั้นรับน้ำหนักของหิมะได้ยากลำบากมากขึ้น
บุรุษตั้งหลัก ก่อนจะเงยหน้ามองเขตจันทราสารท ร่างกายเริ่มไต่ไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็วเหมือนกับแมงมุม
“ราชาวิญญาณร้ายจั่วลา!”
อยู่ๆ เงาแสงสีแดงสองสายก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า แล้วขวางทางของบุรุษไว้อย่างแม่นยำ โดยทิ้งตัวลงบนหิมะบนพื้นพอดี
ประกายโลหิตหายไป เป็นอริยะเจ้าหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีในหน่วยอาทิตย์โลหิต
บุรุษโกนหัวล้าน ร่างสูงใหญ่ หว่างคิ้วมีตราประทับสามเหลี่ยมสีแดง สตรีมีรูปร่างยั่วยวน ทรวงอกใหญ่โต สะโพกงามงอน สวมกระโปรงสีดำ แต่ใบหน้าถูกเผาทำลายจนกลายเป็นรอยแผลเป็นน่ากลัว
“อู๋ซิน ตัวนี้หรือ” สตรีถามอย่างสงสัย
“ถูกต้อง ดูจากตำแหน่งของกรมสังข์เขียว ไอ้ตัวนี้เป็นราชาวิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกใกล้เคียง” อริยะเจ้าอู๋ซินกล่าวพลางขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย “เจ้าสำนักประกายขั้วโลกให้พวกเรากลับมาก่อนเพื่อสกัดไอ้ตัวนี้ไว้ มันสามารถกลืนกินสารกายในส่วนลึกของแผ่นดินได้ เกิดปล่อยให้มันชิงสารกายของแผ่นดินไปมากเกินไป ผืนดินแห่งนี้จะไม่มีต้นหญ้างอกเงย และกลายเป็นเขตรกร้างในอีกหลายร้อยปีให้หลัง”
“รีบเผด็จศึกพร้อมกันเถอะ” สตรีพยักหน้ากล่าว นางสังหรณ์ไม่ดีอยู่บ้างขณะมองดูร่างกายมหึมาของจั่วลาที่อยู่ด้านหน้า
“ได้”
จั่วลาก้มลงมองคนตัวเล็กสองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าที่จนปัญญาอยู่บ้าง
“ความจริงข้าเป็นคนรักสงบ คุยกันก่อนดีหรือไม่ พวกเจ้าฆ่าคนที่พวกเจ้าต้องฆ่า ส่วนข้าทำเรื่องที่ข้าต้องทำ พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยวกันดีไหม”
“เจ้าตัวโต นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” อริยะเจ้าอู๋ซินแสดงสีหน้าเย็นชาพร้อมกับยกแขนขวาขึ้นช้าๆ จากนั้นแขนก็ค่อยๆ กลายเป็นบรรทัดยาวสีแดงเข้มเล่มหนึ่ง
……………………………………….