ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 557 หลังฉาก (1)
บทที่ 557 หลังฉาก (1)
“ดูเหมือน…พวกเราจะเป็นคนประเภทเดียวกัน…” จั่วลามองไปยังลู่เซิ่ง กะพริบตาปริบๆ ก่อนโพล่งออกมา
“เจ้าอยากจะพูดอะไร” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ประเภทเดียวกันแบบไหน”
“คนที่ฝ่าบาทต้องการให้ข้าตามหาคือเจ้ากระมัง” จั่วลาพลันฉุกใจนึกอะไรได้ สีหน้าฉายแววนึกย้อน
“บอกข้าได้หรือไม่ว่า วิญญาณร้ายเช่นพวกเจ้ามาที่นี่เพราะมีเป้าหมายอะไร เพียงแค่แย่งชิงทรัพยากรเท่านั้นหรือ” ลู่เซิ่งอุตส่าห์เจอพวกที่คุยด้วยได้ จึงไม่รีบร้อนลงมือ
จั่วลาแบมือ “ตอนแรกพวกเราไม่คิดจะยุ่งกับพวกเจ้าหรอก แต่เพราะอุบัติเหตุครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ ทำให้โลกของพวกเราเกิดความขัดแย้งกันในตอนที่บุกโลกด้านนอกใบหนึ่ง เมื่อมีความขัดแย้ง ย่อมเกิดการปะทะกัน ความจริงหลายๆ ครั้งเหตุผลก็ง่ายๆ แบบนี้เอง”
“เจ้าหมายความว่า ในอดีตพวกเจ้าถึงขั้นเคยร่วมมือกับพวกเราหรือ” ลู่เซิ่งจับประเด็นสำคัญในคำพูดของจั่วลาได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าจะคิดแบบนั้นก็ได้” จั่วลาพยักหน้า “เอาตามตรง ถ้าหากทำได้ ข้าไม่อยากจะลงมือกับเจ้า บนตัวเจ้ามีความรู้สึกที่สร้างความไม่สบายใจให้กับข้า แม้ข้าคิดว่า หากจะฆ่าเจ้าคงไม่เปลืองแรงเท่าไหร่ แต่ข้าเห็นความสำคัญของสันติสุขเสมอมา”
“จริงๆ ข้าก็ไม่อยากจะลงมือเช่นกัน” ลู่เซิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้ฆ่าวิญญาณร้ายไปตั้งมากมาย เป็นเพราะพวกมันลงมือก่อน ข้าก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้น
“พลังนั้นมีไว้ใช้ป้องกันตัว ไม่ควรเอามาใช้ตามใจชอบ”
“เจ้าก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ” จั่วลาตาเป็นประกาย ก่อนจะกล่าวอยางแปลกใจเล็กน้อย “พูดได้ถูกแล้ว เมื่อใดที่แข็งแกร่งขึ้น ก็จะสูญเสียจิตใจเพราะความยั่วยวนจากพลัง” เขาถอนใจ “ได้แต่ต้องข่มตัวเองไว้เท่านั้น ถึงจะแข็งแกร่งได้กว่าเดิมอย่างแท้จริง”
“ดูเหมือนเจ้าจะเกิดการบรรลุอย่างลึกล้ำแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงขรึม
“ใช่แล้ว แต่แม้ว่าเราจะพยายามข่มใจตัวเองมากเท่าไหร่ ก็มักมีคนจงใจทำร้ายเราเพราะเหตุผลมากมายอยู่ดี” จั่วลาแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย
“ข้าเองก็เหมือนกัน” ลู่เซิ่งทอดถอนใจเช่นกัน “หลายๆ ครั้งที่ข้าลงมือ ความจริงก็เพียงเพื่อทำให้ความต้องการในชีวิตทั่วไปสมบูรณ์เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว ข้าไม่เคยจงใจทำร้ายใครมาก่อน”
“ข้านับถือเจ้า” จั่วลายิ้มบาง
“เจ้าเองก็ไม่เลว” ลู่เซิ่งยิ้มแย้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราถือเสียว่าไม่เคยเจอกันมาก่อนดีไหม” จั่วลายืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง
“ย่อมได้ บางทีวันหน้าพวกเราอาจมีโอกาสเจอกันอีก” ลู่เซิ่งเอ่ยเห็นด้วย
ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน แล้วค่อยๆ เดินเฉียดกันเพื่อจากไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายมาอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ว!
ทันใดนั้น จั่วลาวูบไหวร่าง แล้วโผล่ขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างกะทันหัน ขวางเส้นทางของเขาเอาไว้
“ทำไมกัน…ทำไมกัน…แม้แต่เจ้าก็ยังแตะตัวข้า…” จั่วลาไม่ทราบว่าโผล่ขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่งตั้งแต่ตอนไหน แถมยังทำตาเศร้าสร้อยอีก
“เมื่อแตะตัวข้า ก็ต้องทำร้ายข้า คนที่ทำร้ายข้าล้วน…” อยู่ๆ เสียงของจั่วลาก็ขาดหายไป เนื่องจากตัวเขาพบว่าด้านหน้าตนเองว่างเปล่า ไม่เห็นเงาร่างของลู่เซิ่ง
เขารีบเงยหน้าขึ้น กลับเห็นลู่เซิ่งโผล่ขึ้นบนตำแหน่งของเขาเมื่อก่อนหน้านี้อย่างงุนงง หัวหมาป่าหลายสิบข้างเคี้ยวเศษหินและโคลนจนหน้าเปื้อน
“ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ…ข้าแค่…หิวเล็กน้อย…” ลู่เซิ่งคายของในปากออกมาอย่างกระอักกระอ่วนระคนเสียดาย
ดูจากการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ถ้าหากเมื่อครู่จั่วลาไม่หายไปอย่างกะทันหัน เกรงว่าตอนนี้คงถูกปากใหญ่หลายสิบข้างของเขาฉีกเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว
ทั้งสองพลันนิ่งเงียบ
“ดูเหมือนข้าจะเข้าใจเจ้าผิดไปแล้ว” จั่วลาตบโคลนสีเหลืองบนตัว
“ข้าแค่หน้ามืดไปชั่วขณะ ความจริงข้าประทับใจในตัวเจ้ามาก” ลู่เซิ่งคายโคลนออกมาพลางกล่าวอย่างจริงจัง
คนทั้งสองมองกันไปมา ไม่รู้ควรพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
“เจ้า..ชอบกินหรือ” อยู่ๆ จั่วลาก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าไม่ชอบให้คนอื่นแตะโดนตัวเจ้าหรือ” ลู่เซิ่งส่งเสียงถามในเวลาแทบจะพร้อมกัน
เสียงทั้งสองรวมกัน กลับเข้ากันเป็นอย่างดี
นิ่งกันอยู่สักพัก จั่วลาก็ยิ้มขึ้นพร้อมกับตอบก่อน
“ข้าพยายามจะไม่แตะต้องตัวคนอื่น”
ลู่เซิ่งก็ยิ้มแย้มเช่นกัน
“ความจริงข้าแค่กินเยอะไปหน่อยเท่านั้น”
ทั้งสองเงียบงันกันอีกสักพัก ไม่นานก็พบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดล้วนเป็นคำพูดไร้สาระ
“เอาเป็นว่า ไว้เจอกัน” จั่วลากล่าวลองเชิง
“ลาก่อน” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทั้งสองหมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่ตัวเองต้องการจะไปอีกรอบ
ครั้งนี้ไม่ได้ลงมือแล้วจริงๆ แม้จะทำเป็นไม่มีความตั้งใจจะต่อสู้กับอีกฝ่าย แต่ความจริงเป็นเพราะทั้งสองรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายรับมือยาก
จนกระทั่งร่างของลู่เซิ่งหายไปจากเส้นขอบฟ้าโดยสิ้นเชิง จั่วลาจึงค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง
‘นึกไม่ถึงว่าคนที่ฝ่าบาทสั่งให้เราลงมือจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษแบบนี้ เรารู้สึกดีต่อมันจริงๆ…แต่โองการของฝ่าบาทไม่อาจขัดขืน เฮ้อ…ทำไมกัน ทำไมต้องบีบบังคับข้าด้วย’ จั่วลายืนอยู่ที่เดิมด้วยความหดหู่ พร้อมทั้งตกสู่ความสับสน
ดีที่เขาเป็นราชาวิญญาณร้ายกลายเป็นจักรพรรดิรัตติกาลที่มีศักยภาพมากที่สุดในโลกวิญญาณร้าย มีอำนาจและตำแหน่งสูงที่สุด ครั้งนี้ที่จุติมายังโลกใบนี้เร็ว และอยู่ในอาณาเขตที่เล็กกระจ้อยขนาดนี้ เป็นเพราะต้องการสร้างผลงานทางลัด
ดังนั้น ต่อให้ขัดต่อโองการของจักรพรรดิรัตติกาลแห่งวิญญาณร้าย ขอแค่ปิดบังได้ดี ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
‘หวังว่าจะมีวันที่ได้เจอกันอีก’ จั่วลามองทิศทางที่ลู่เซิ่งจากไป ก่อนจะหมุนตัวเดินไปไกลเช่นกัน นอกจากหมาป่ามารตัวนี้แล้ว เขายังมีอีกภารกิจหนึ่งที่ต้องทำให้เสร็จ
…
ลู่เซิ่งค่อยๆ หยุดเดิน
‘ยักษ์รากไม้ตัวเมื่อครู่มีร่างคล้ายๆ อาจารย์เลย…หรือว่าสองคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน มิหนำซ้ำโลกมารจิตยังลากมันเข้าไปไม่ได้ด้วย ดูเหมือนจะมีขีดจำกัดอย่างที่คิดไว้’ เขานั่งลงพักผ่อนบนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง
‘ไอ้ยักษ์ตัวนั้นเคลื่อนไหวเร็วสุดขีด หากลงมือจริงๆ ชนะนั้นไม่มีปัญหา แต่หากมันเอาแต่หนีท่าเดียว อย่างนั้นก็ขวางมันไว้ไม่ได้แล้ว’
ความสามารถของโลกมารจิตระดับเจ้าแห่งอาวุธจำเป็นต้องพัฒนาอีก ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าตนเองยังไม่ได้ค้นพบวิธีการใช้โลกมารจิตที่แท้จริง
จากนั้นเขาก็ใช้ความคิดเพื่อเข้าไปในโลกมารจิตอีกรอบ
ในตึกอันมืดมิด วิญญาณร้ายจำนวนมากที่เข้ามาได้หายไปแล้ว
ลู่เซิ่งสงสัยอยู่บ้าง จึงวูบไหวร่างเพื่อตามหาสักพักหนึ่ง แต่ยังคงไม่เจอ
สุดท้ายเขาก็ยืนอยู่บนระเบียงห้องห้องหนึ่งบนตึก มองดูร่างสองร่างในตู้เสื้อผ้าพลางใคร่ครวญ
‘ไม่ใช่ร่างทั้งหมดที่ถูกเราฆ่าจะโผล่มาหรือ อย่างนั้นการเลือกสรรนี้ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ล่ะ’
จากนั้นลู่เซิ่งก็ออกจากโลกมารจิต แล้วเริ่มบินไปยังทิศทางของสำนักมารกำเนิด วิญญาณร้ายที่อยู่รอบๆ ส่วนใหญ่ถูกกวาดล้างจนสะอาดเอี่ยมแล้ว ยักษ์รากไม้ตัวเมื่อครู่ออกจากชายแดนของแคว้นนวกระจ่างไปแล้ว จึงไม่อยู่ในอาณาเขตการดูแลของสำนักมารกำเนิดอีก
เขาได้ทดลองดูแล้ว ในเมื่อยังกินไม่ได้ เช่นนั้นก็ปล่อยไปก่อน
หลังจากคืนร่างหลัก ลู่เซิ่งก็กลับถึงสำนักโดยไม่หยุดพัก แต่เพิ่งจะเข้าห้องหนังสือก็ได้รับข่าวด่วนที่สำนักพันอาทิตย์ส่งมาทันที
‘จดหมายของเจ้าสำนักประกายขั้วโลก’
จดหมายคือนกเค้าแมวสีดำที่พูดไม่ได้ตัวหนึ่ง หลังจากมันทิ้งจดหมายไว้บนโต๊ะเสร็จ ก็ระเบิดกลายเป็นหมอกดำนับไม่ถ้วนแล้วสลายไปในพริบตา
ลู่เซิ่งหยิบจดหมายขึ้นมา กระดาษจดหมายสีดำขอบเงินดูลี้ลับชวนอัศจรรย์ใจ ตรงขอบเป็นลวดลายที่ประณีตงดงาม
ลู่เซิ่งอ่านเนื้อหาด้านในอย่างรวดเร็ว จดหมายของเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกบอกว่า ช่วงนี้ใกล้ๆ แคว้นนวกระจ่างปรากฏราชาวิญญาณร้ายที่เคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด แถมยังมีพลังแข็งแกร่งถึงขีดสุดตนหนึ่ง
อริยะเจ้าอู๋ซินกับอริยะเจ้าอาภรณ์แดงในหน่วยอาทิตย์โลหิตต่างหายตัวไปอย่างฉับพลัน อาจจะโชคไม่ดี เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกบอกนามของราชาวิญญาณร้ายตนนี้แล้ว
‘จอมเสแสร้งจั่วลา ราชาวิญญาณร้ายระดับอริยะเจ้าขั้นสูงสุดที่ได้รับการจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของโลกวิญญาณร้าย จนกระทั่งถึงตอนนี้ได้ฆ่าอริยะเจ้าไปแล้วมากกว่าห้าคน สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง’
หลังอ่านจดหมายจบ ลู่เซิ่งก็พับจดหมายแล้วเผาทิ้ง
‘ตามการบรรยายในจดหมาย ไอ้ตัวเมื่อครู่น่าจะเป็นจอมเสแสร้งที่จดหมายพูดถึง ไอ้ตัวนั้นดูเหมือนจะลงมือกับเป้าหมายระดับสูงๆ เท่านั้น ไม่ได้มีความสนใจต่อคนธรรมดา แต่ถึงขนาดที่อริยะเจ้าของหน่วยอาทิตย์โลหิตยังตายเพราะมัน…เป็นตัวอันตรายจริงๆ’
หลังจากได้รับการแจ้งเตือนแล้ว ลู่เซิ่งก็เรียกขุมกำลังของแคว้นนวกระจ่างกลับมา จากนั้นก็กำจัดวิญญาณร้ายที่หลงเหลือทั้งหมดทีละตัวๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ จะต้องรับประกันว่าจะไม่ปล่อยให้วิญญาณร้ายที่อยู่ในระดับสูงกว่าปฐพีกำเนิดเหลืออยู่
ส่วนเขตอื่นๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมายตามไปด้วยอย่างเร่งด่วน อริยะเจ้าเชียนตู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอริยะเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักพันอาทิตย์ และเป็นอาจารย์ของลู่เซิ่ง สะกดราชาวิญญาณร้ายในแคว้นใหญ่ๆ จำนวนไม่น้อยได้ตามลำพัง
ระดับพลังของราชาวิญญาณร้ายได้ปรากฏต่อหน้าสามสำนักอย่างชัดเจน วิญญาณร้ายระดับนี้สูงสุดใกล้เคียงกับเจ้าแห่งอาวุธ ต่ำสุดคือระดับเทวปัญญา พูดง่ายๆ ก็คือเทียบเท่ากับอริยะเจ้าระดับเทวปัญญา
ครั้งนี้วิญญาณร้ายปะทุอย่างปัจจุบันทันด่วน หลังจากรับมือเรียบร้อยแล้ว สามสำนักกับตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลก็ตอบสนอง ด้วยการทำลายวิญญาณร้ายอย่างกระตือรือร้น
ต้าอินมีขุมกำลังน่าสะพรึงกลัวสุดเปรียบปาน หลังจากใช้พลังทั้งหมดที่มี ไม่นานก็ทำลายวิญญาณร้ายได้เกือบหมด
เพียงแต่ราชาวิญญาณร้ายที่โผล่มาอย่างกะทันหันทำให้พวกอริยะเจ้ากับผู้ถืออาวุธเสียหายอย่างสาหัส พวกเจ้าแห่งอาวุธต้องออกจากการกักตนเพื่อลงมือด้วยตัวเองด้วยความจนปัญญา จึงค่อยหยุดไว้ได้
เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกต้องกลับมาจากทะเลบูรพาเพื่อสะกดทัพวิญญาณร้ายที่ลุกลามไปทั่วแคว้นใหญ่ๆ
ในเวลาแค่สองเดือนสั้นๆ วิญญาณร้ายก็หายสาบสูญไปเหมือนกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน บางทีอาจกำลังซ่องสุมกำลังอยู่ หรือไม่ก็เป็นแค่การหยั่งเชิงเท่านั้น แต่สุดท้ายปัญหาทั้งหมดก็สงบลงแล้ว
ขุมกำลังทั้งหมดของต้าอินได้พักหายใจหายคอ
สิ่งที่โชคดีก็คือ ว่ากันว่าครั้งนี้พิภพมารได้รับความเสียหายไม่น้อยเช่นกัน ทว่ายังไม่รอให้ขุมกำลังทั้งหมดได้สติ ข่าวที่ชวนหวาดผวายิ่งกว่าก็กระจายมา
จักรพรรดิมารองค์ที่สองซึ่งเป็นหนึ่งในสี่เสาหลักปรากฏตัวขึ้นแล้ว โดยปรากฏตัวบนผืนแผ่นดินของต้าอิน
…
พิภพมาร เสาผลึกเชื่อมฟ้า
ตอนนี้มีเงาคนสีดำหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยยืนอยู่ด้านหน้าเสาผลึกสีดำขนาดมหึมาที่สูงจรดฟ้า
เงาสูงคือบุรุษวัยกลางคนสวมชุดทางการสีดำ ตรงหน้าอกมีลวดลายสีทอง เขาน่าจะอายุห้าสิบปีเป็นอย่างน้อย จอนสองข้างมีเส้นผมที่กลายเป็นหงอกขาวแล้ว หน้าผากกับหางตามีรอยย่นจางๆ
“อันซา เจี๋ยเต๋อม่าน” บุรุษวัยกลางคนละสายตากลับมาจากเสาผลึก แล้วมองไปยังเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่อยู่ด้านข้าง “เจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่”
เด็กผู้หญิงสวมชุดตัวใหญ่สีดำ สวมหมวก ปล่อยผมยาวสีดำให้ตกลงมาจากหมวก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามและซีดขาว
นางดูเหมือนกับเด็กสาวบริสุทธิ์ที่เพิ่งหายจากอาการป่วยมาไม่นาน ราวกับดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่เสียหายเพราะลมฝน และเหมือนกับว่าแค่ลมหอบหนึ่งก็พัดให้นางล้มลงได้แล้ว
……………………………………….