ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 558 หลังฉาก (2)
บทที่ 558 หลังฉาก (2)
“เป้าหมายหรือ” เด็กสาวมองเสาผลึกอย่างงุนงง “ข้าเพียงแค่มาเดินเล่นเท่านั้น เสาผลึกแห่งพิภพมาร สถานที่ที่เคยมอบความเจ็บปวดให้แก่ข้า…ข้าเพียงแค่มาระลึกความหลังเท่านั้น”
บุรุษวัยกลางคนขมวดคิ้ว เขาย่อมไม่เชื่อคำพูดผีสางของอีกฝ่าย
“ในฐานะสี่เสา การโจมตีของวิญญาณร้ายในครั้งนี้ ดูจากเบาะแสแล้ว เจ้าคงมีเอี่ยวด้วยกระมัง เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ จักรพรรดิรัตติกาลของวิญญาณร้ายไม่ใช่ตัวตนที่จะยุ่งเกี่ยวได้”
อันซาไม่ได้ตอบ เพียงแค่เดินเข้าใกล้เสาผลึกแล้วยื่นมือน้อยๆ ไปแนบกับผิวเสาเบาๆ เท่านั้น
“ตอบข้ามา ไม่งั้นครั้งนี้ข้าจะไม่ช่วยเจ้า” บุรุษวัยกลางคนกล่าวเสียงเฉียบขาดเล็กน้อย
คิกๆ
อันซาพลันหัวเราะ นางใช้นิ้วไล้ผิวผลึกเบาๆ ก่อนจะหันไปมองบุรุษวัยกลางคน
“เทียบกับจักรพรรดิรัตติกาลแล้ว มารดาแห่งความเจ็บปวดที่ควบคุมทุกสิ่งในสามโลกควรจะระวังมากกว่ากระมัง”
“มารดาแห่งความเจ็บปวดอยู่เหนือกว่าผู้ใด ประทับอยู่ที่โลกเดิม แค่โบสถ์ข้างกายก็มีตัวตนแข็งแกร่งที่รับมือพวกเราได้แล้ว” บุรุษวัยกลางคนกล่าวพลางส่ายหน้า “โลกมนุษย์และพิภพมารในตอนนี้ไม่มีใครที่ต่อกรโลกเดิมได้”
“เรื่องบางอย่างก็ไม่มีใครบอกได้แน่ชัด…ถ้าไม่ลองดู ก็จะไม่เข้าใจตลอดกาลว่าอาจเกิดอะไรขึ้น” อันซาหุบยิ้มและกล่าวเบาๆ “หรือเจ้าคิดจะอยู่ในวัฏจักรแบบนี้ตลอดไป”
“ย่อมไม่” บุรุษวัยกลางคนแค่นเสียง “พวกเรากำลังสร้างประตูดาวเคราะห์อยู่ ขอแค่ออกจากที่นี่ หลุดจากอาณาเขตของโลกเดิมได้สำเร็จ…”
“เจ้าคิดว่านางจะไม่รู้หรือ” อันซาตัดบท
บุรุษวัยกลางคนนิ่งไป
“ดูตอนนี้สิ ใกล้จะถึงช่วงเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่อีกรอบแล้ว แทนที่จะปล่อยให้โลกเดิมเก็บเกี่ยว ข้าพาผู้วางหมากคนใหม่มาลงสนามดีกว่า พวกเรามีแค่ไม่กี่คน ตัวแปรน้อยเกินไป” อันซาพูดเรียบๆ
“รุ่นก่อนอย่างเหวยลาตายอย่างไร เจ้าลืมแล้วหรือ อย่าคิดทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเลย” บุรุษวัยกลางคนส่งเสียงเตือน
“ข้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่” อันซายิ้ม แล้วหมุนตัวมามองบุรุษวัยกลางคน “ความจริงไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น โลกมนุษย์ก็กำลังพยายามอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ ดูเหมือนเจ้าคนของสำนักพันอาทิตย์จะทำสำเร็จแล้ว แต่ความจริงเล่า เจ้ารู้สึกว่าแบบนั้นถือว่าสำเร็จหรือ”
“…”
“ดังนั้น ขอข้าลงไปดูหน่อย” อันซาหันกลับไปมองเสาผลึกขนาดยักษ์ที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดอีกรอบ
บุรุษวัยกลางคนเงียบงันลง เขาไม่รู้ว่าควรเกลี้ยกล่อมอันซาอย่างไรดี
เขาไม่อยากสูญเสียสหายไปอีกแล้ว มีสหายเก่าที่ตายไปมากพอแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่คนสุดท้ายเท่านั้น
แต่เขาก็ไม่มีวิธีเกลี้ยกล่อมอันซา
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ…
“เจ้า…อยากให้ข้าช่วยอย่างไร”
เด็กสาวได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มอย่างอ่อนหวาน
…
สำนักไตรอริยะ ตำหนักอริยะ
ผิวคันฉ่องขนาดยักษ์นับไม่ถ้วนกองรวมกันเป็นตำหนักมหึมารูปร่างประหลาดพิลึกแห่งหนึ่ง
ตำหนักตั้งอยู่ในส่วนลึกของถ้ำใต้ดิน ดูเหมือนกับมนุษย์ใกล้ตายที่นอนตะเกียกตะกายบนพื้นดิน
หลี่ซุ่นซีกับข่งเฉิงเดินตามอุโมงค์มาถึงหน้าประตูตำหนักศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่พูดไม่จากันตลอดทาง ก่อนจะเงยหน้ามองประตูคันฉ่องที่สูงถึงสิบกว่าหมี่
“เจ้าอยากรู้มาโดยตลอดไม่ใช่หรือว่าความหมายในการดำรงอยู่ของสำนักไตรอริยะคืออะไรกันแน่” ข่งเฉิงกล่าวเสียงเย็น
หลี่ซุ่นซีกวาดตามองรอบๆ กลืนน้ำลายเอื๊อกหนึ่ง
“ศิษย์พี่โปรดชี้แนะด้วย”
“เข้าไปในนี้ ข้าจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตามคำสั่งของตาเฒ่า” ข่งเฉิงเอ่ยอย่างเย็นชา “แต่เงื่อนไขก็คือ เจ้าต้องผ่านการทดสอบของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ก่อน”
เขาสาวเท้าไปด้านหน้า พริบตาเดียวก็พุ่งหายเข้าไปในคันฉ่องที่เป็นประตูใหญ่
หลี่ซุ่นซีสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเดินตามเข้าไป
วูบเกิดเสียงทึบหนัก เขาหายเข้าไปในผิวคันฉ่องเช่นกัน เหมือนกับจมหายเข้าไปในผิวน้ำกระจ่างใส
…
“เก้าพิภพชั้นเอก ดาวดวงที่เจ็ดสิบสองแห่งปรภพ…” ด้านในสำนักมารกำเนิด ลู่เซิ่งชมการฝึกกระบี่ของลู่หนิงผู้เป็นลูกชาย แต่ในใจกลับใคร่ครวญถึงข้อมูลจากค่ายกลส่งตัวในต้าซ่งที่ได้จากเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกเมื่อก่อนหน้า
‘ในเมื่อมีค่ายกลส่งตัว แล้วทำไมเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกถึงไม่เลือกส่งตัวเองหนีไปกัน แต่กลับเอาแต่ยึดติดอยู่ที่นี่ หรือว่าวิญญาณร้ายจะมีอยู่ในดาวเคราะห์ดวงอื่นเช่นกัน’
ความเป็นไปได้นี้มีสูงมาก ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“กระจอกเหลืองอยู่หลัง!” ตอนนี้ลู่หนิงกระโดดขึ้นแล้วแทงกระบี่ครั้งหนึ่ง
เจ้าก้อนเนื้อที่ร่างกายมีแต่ไขมันเพิ่งจะอายุไม่กี่ขวบ ก็สามารถฝึกกระบี่พื้นฐานที่ลู่เซิ่งสอนให้เขาได้อยางช่ำชองแล้ว
มิน่าตอนนั้นตระกูลหยวนกวงจึงอยากพาตัวเขากลับตระกูล
“หยุดสภาวะ”
ลู่หนิงทิ้งตัวลงพื้น แล้วเก็บกระบี่สั้นเข้าฝัก
“วิชากระบี่นี้สนุกดีจริงๆ ท่านพ่อ” เขาหันไปมองลู่เซิ่ง “ท่านพ่อสอนอีกเยอะๆ เลยสิ แม้วิชากระบี่พวกนี้จะสนุกดี แต่ก็เรียบง่ายเกินไป ไม่มีความท้าทายเลย”
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งรู้สึกตัว ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน “ครั้งหน้า ครั้งหน้าจะหาวิชากระบี่ที่สนุกแต่ก็ไม่ง่ายให้เจ้าแน่ แต่ว่าทักษะเป็นแค่พื้นผิวเท่านั้น จุดสำคัญที่แท้จริงคือการฝึกฝนสารกาย การฝึกฝนสารกายของเจ้าในตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว”
“เอ่อ…”
ต้าอินฝึกฝนปราณภายในหรือก็คือสารกาย ตอนนั้นลู่เซิ่งก้าวเดินอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ฝึกฝนวิชาอาทิตย์เวโรจน์จนกระทั่งถึงแก่นหยางอย่างมั่นคงและไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อย
เทียบกันแล้ว ลู่หนิงผู้เป็นลูกชายมีความเป็นอัจฉริยะมากกว่า แม้ไม่มีการช่วยเหลือจากดีปบลู แต่ลู่หนิงใช้เวลาเพียงสองเดือนก็ฝึกฝนวิชากระบี่ขับไล่อาทิตย์ได้อย่างช่ำชองแล้ว
ต้องบอกก่อนว่าวิชากระบี่วิชานี้ไม่ใช่วิชากระบี่ธรรมดาในสำนักพันอาทิตย์เช่นกัน แต่เมื่ออยู่ในมือลู่หนิง พยายามแค่สองเดือน ก็บรรลุมาตรฐานที่คนอื่นๆ ต้องใช้เวลาสิบกว่าปีถึงจะมาถึงได้ไปแล้ว
ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น ในด้านการฝึกฝนทักษะ เพียงยกตัวอย่างข้อเดียว ลู่หนิงก็สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เป็นสิบอย่าง ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่ยากสำหรับเขา
แน่นอนว่าถ้าหากมีเท่านี้ ลู่เซิ่งคงจะไม่ต้องกังวล เพียงแต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดของลู่หนิงก็คือ เขาไม่สามารถฝึกฝนวิธีการฝึกฝนสารกายหรือปราณภายในใดๆ ได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นวิชาพื้นฐานของสำนักพันอาทิตย์ หรือว่าของสำนักอื่นๆ เช่นสำนักซ่อนธารตุ หรือแม้กระทั่งตระกูลหยวนกวง เขาก็ฝึกฝนไม่ได้
ไม่ใช่ว่าฝึกฝนไม่ได้โดยสิ้นเชิง หากแต่สุดท้ายได้แต่หยุดอยู่ในระดับพื้นฐานเท่านั้น
หลังจากกลับจากโลกมนุษย์หมาป่า ลู่เซิ่งก็ศึกษาโลกมารจิตไปพลาง เริ่มสรรหาวิธีการแก้ไขที่พอเป็นไปได้หลายวิธีให้แก่ลู่หนิงไปพลาง
ในโลกที่อันตรายใบนั้น การมีแต่ทักษะวรยุทธ์เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ หากไม่มีปราณภายในที่เหี้ยมหาญมากพอคอยสนับสนุน ต่อให้ฝึกฝนทักษะจนสูงส่งขนาดไหน หากเจอเยื่อดำระดับเอกลักษณ์ก็ยังยากเอาชนะ แค่เยื่อดำระดับระดับนั้น หากไม่มีสารกายก็อย่าคิดทะลวงเลย
พวกเขายืนอยู่ที่เดิมปล่อยให้ท่านฟันได้สบายๆ
เพื่อแก้ไขปัญหาข้อนี้ ลู่เซิ่งได้ใช้ดีปบลูเรียนรู้เคล็ดวิชาหลายสิบชนิด แล้วให้ลู่หนิงทดลองฝึกฝนดู แต่ก็ยังคงไร้ผล
จากนั้น เรื่องของลู่หนิงก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป เหมือนกระดาษที่ใช้ห่อไฟไม่ได้
ภายในสำนักมารกำเนิดยังดีอยู่ แต่สามสำนักกับพวกตระกูลขุนนางที่เหลือกลับลือกันไปเอง ทางด้านตระกูลหยวนกวงก็ลือกันว่าโชคดี โชคดีแล้วที่ตอนนั้นไม่ได้รับลู่หนิงเป็นคนในตระกูลจริงๆ
ลู่เซิ่งไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อข่าวลือ ทั้งไม่สะกดไว้ และไม่ยุยงส่งเสริม เพียงคอยมองอย่างสงบเท่านั้น
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ?” เสียงของลู่หนิงดังขึ้นข้างหูเขา กระชากสติของลู่เซิ่งกลับมาใหม่
“ไม่ต้องห่วง ต่อให้เจ้าฝึกพลังภายในไม่ได้ อย่างมากสุดพ่อก็เพียงปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิตเท่านั้น” ลู่เซิ่งยื่นมือไปขยี้ผมของลู่หนิงอย่างอ่อนโยน
“ไม่เอา! ข้าลู่หนิง ในอนาคตจะกลายเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งกว่าท่านพ่อ!” ลู่หนิงเบ้ปากกล่าวอย่างไม่พอใจ “ถึงตอนนั้นถ้าท่านตีก้นข้า…ไม่ช้าก็เร็วข้าจะตีคืน!” เขาบ่น แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจที่ลู่เซิ่งตีเขาเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้
“ฮ่าๆ” ลู่เซิ่งบีบแก้มของเจ้าอ้วนน้อย “เอาล่ะ ไปเล่นกับแม่เจ้าเถอะ”
“อื้อ…” ลู่หนิงรับคำอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกจากตัวลาน เพื่อไปยังเรือนของเฉินอวิ๋นซีผู้เป็นมารดา
หลังวิ่งออกมาได้ระยะหนึ่ง เขาก็พลันหันไปมองทางบิดา ไม่เห็นร่างของลู่เซิ่งอย่างที่คาดไว้
“ไปอีกแล้ว…” ลู่หนิงเตะใส่ก้อนหินด้านหน้าอย่างผิดหวังเล็กน้อย ดวงตากลายเป็นสีเงินแวบหนึ่ง
“ไม่ต้องห่วง บิดาเจ้าไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริงของเจ้าหรอก” เสียงชราเสียงหนึ่งค่อยๆ ลอยเข้าหูเขา
“ข้ารู้” ลู่หนิงตอบในใจ “ข้าแค่อึดอัด อารมณ์ไม่ดีก็เท่านั้น ทุกทีท่านพ่ออยู่เป็นเพื่อนข้าครู่เดียวก็ไปแล้ว เป็นแบบนี้ทุกที!”
“บิดาเจ้ามีเรื่องของตัวเองต้องจัดการ” เสียงชราตอบอย่างเป็นมิตร “ถ้าหากวันหน้าเจ้าอยากจะตีก้นพ่อเจ้า จะต้องแข็งแกร่งกว่าเขาให้ได้”
“ข้าจะแข็งแกร่งกว่าบิดาได้จริงๆ หรือ” ครั้งนี้ลู่หนิงสงสัยอยู่บ้าง “พ่อข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้น คำพูดของเขาประโยคเดียวสามารถกำหนดความเป็นความตายของคนจำนวนนับไม่ถ้วนได้”
“ไม่ต้องห่วง หากเรื่องแค่นี้ข้ายังทำไม่ได้ ข้าจะกล้ามีหน้ามาเป็นอาจารย์ให้เจ้าหรือ” น้ำเสียงของชายชราแฝงความทะนงตน “หากใช้สารกายระดับต่ำของที่นี่เพื่อฝึกวิชา เจ้าคิดไล่ตามพ่อเจ้าให้ทัน เกรงว่ายังอีกนาน วิธีการเดียวคือเร่งความก้าวหน้าของวิชาที่ข้ามอบให้เจ้า”
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ลู่หนิงพยักหน้าอย่างจริงจัง เขาหันไปมองตำแหน่งที่ท่านพ่อนั่งอยู่ในตอนแรกเป็นครั้งสุดท้ายด้วยใบหน้าดวงเล็กที่ฉายแววแน่วแน่
หลังจากที่ได้ช่วยครอบครัวโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อครั้งนั้น ในหัวสมองของลู่หนิงก็มีชายชราที่แข็งแกร่งและปากดีจนน่ากลัวโผล่มาเพราะวิชาลี้ลับชุดนั้น
ชายชราคนนี้แตกต่างตรงที่ ก็คือทราบหลักการฟ้าดินทั้งหมด
ในตอนแรกเริ่ม ลู่หนิงเพียงโคจรวงจรของพลังประหลาดสายนั้นในร่างกายตามวิธีการโคจรที่น่าอัศจรรย์ชุดนั้นเท่านั้น
แต่ว่าต่อมา วันหนึ่งจู่ๆ เขาก็พบว่าหลังจากที่ช่วยเหลือครอบครัวในวันนั้น ตนเองมีพลังความคิดที่พิเศษถึงขีดสุดบางอย่าง ต่อจากนั้นชายชราก็ปรากฏตัวขึ้น
“ข้าเข้ามาในโลกใบนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่นึกไม่ถึงว่าจะเจอหน่ออ่อนชั้นดีที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างเจ้าเข้า ไม่ต้องห่วง อนาคตของเจ้าต้องก้าวข้ามบิดาเจ้า และบรรลุถึงอนาคตอันเจิดจรัสที่ไม่เคยมีมาก่อนได้แน่” ชายชรากล่าวอย่างเชื่องช้า “ถึงเวลานั้น เจ้าจะนำพาครอบครัวของเจ้าไปจากที่นี่ด้วยกัน เพื่อไปยังดาวเคราะห์ที่สงบสุขยิ่งกว่าสมบูรณ์ยิ่งกว่า”
“ดาวเคราะห์คืออะไร” ลู่หนิงงุนงงเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินคำว่าดาวเคราะห์มาก่อน แต่ว่าจากคำพูดของอาจารย์ เขาแยกแยะได้ว่านั่นคงจะเป็นสถานที่ที่ไม่เลวยิ่ง
“สถานที่ที่ดี”
“ก็ได้…ข้าจะพยายามฝึกฝน จากนั้นก็พาครอบครัวออกจากที่นี่เพื่อไปดาวเคราะห์ดวงอื่นหลังจากแข็งแกร่งขึ้น”
ชายชราไม่พูดอะไรต่ออีก ด้วยตำแหน่งและพลังในอดีตของเขา คิดจะสั่งสอนให้ลูกศิษย์ที่คุณสมบัติทะลวงไปถึงระดับดวงดาวไม่ถือว่ายากเกินไป เพียงแต่เป็นปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น
ที่นี่เป็นโลกที่อันตรายและยุ่งยากที่สุดเพราะความพิเศษของสภาพแวดล้อม ซึ่งกดดันให้เขาต้องเร่งความเร็ว ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์ที่สงบสุข เขาสามารถสิงร่างของผู้บำเพ็ญศักยภาพสูงสักคนเพื่อซ่อนตัวเอง แล้วอาศัยเพียงเวลา ใช้เวลาสักสองสามหมื่นปีก็สามารถทะลวงระดับดวงดาวและออกจากโลกอย่างปลอดภัยได้แล้ว
แต่ที่นี่แตกต่างออกไป…ต้องเร่งเท่าที่จะทำได้
ลู่หนิงกลับห้องหนังสือของตัวเอง เพื่อเตรียมการฝึกฝนรอบต่อไปอย่างอารมณ์ดีหลังจากได้รับการรับประกัน
เพียงแต่เขากลับไม่รู้ว่า เวลานี้ชายชราที่สิงอยู่ในร่างตนกำลังเปลืองสมองกับสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายของต้าอิน โดยใคร่ครวญถึงวิธีการเลื่อนระดับและวิธีการออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดอยู่
……………………………………….