ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 56 พรรควาฬแดง (4)
คุยกันอีกสักพัก สามคนท่านหนึ่งจอกข้าหนึ่งจอก ดื่มจนเมาอยู่บ้าง ค่อยแยกย้ายกันกลับ
ลู่เซิ่งกลับบ้านพักผ่อนหนึ่งคืน รอการจัดการหน้าที่ของพรรควาฬแดงโดยไร้เรื่องราว ความจริงคาดเดาเขาออกว่า เวลาที่ใช้ปรึกษากันของประมุขพรรคและผู้อาวุโส หลักๆ คือเพื่อสืบประวัติเขา ดูว่าเป็นไส้ศึกที่พรรคคู่ต่อสู้ส่งมาหรือไม่
หลังจากตรวจสอบสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องแล้ว เขาจึงค่อยนับว่าเข้าร่วมพรรควาฬแดงอย่างแท้จริง
ดังนั้นเขาจึงไม่รีบ
เวลาแต่ละวันผ่านไป พริบตาเดียวก็เป็นสามวันให้หลัง
ครั้งนี้เป็นเฒ่าหวัง ผู้อาวุโสโอวหยางแห่งพรรควาฬแดง มาเยี่ยมเยือนถึงที่ด้วยตัวเองภายใต้การนำของรองประมุขพรรคคนหนึ่ง
รองประมุขพรรคเฉินอิง เป็นศิษย์พี่ของเฒ่าหวัง และเป็นยอดฝีมืออันดับสองแห่งพรรควาฬแดง คนในยุทธภพเรียกว่าราชากรงเล็บอินทรี
คนผู้นี้หน้าตาเป็นมิตร ผมเผ้าหนวดเคราล้วนขาว รูปร่างแข็งแรงเหมือนอยู่ในวัยฉกรรจ์ ข้อกระดูกมือสองข้างปูดขึ้นเป็นสีดำ เหมือนกับใส่ถุงมือโลหะคู่หนึ่ง น่ากลัวอยู่บ้าง
พอเขาเข้าประตูมา ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ลู่เซิ่ง
“รบกวนแล้ว! น้องลู่ ผู้แซ่เฉินมาก็เพื่อส่งมอบการจัดการเกี่ยวกับหน้าที่แก่เจ้า”
ลู่เซิ่งให้เสี่ยวเฉี่ยวไปชงชา ตัวเองนั่งอยู่กับทุกคน
“ไม่ทราบว่าท่านรองประมุขพรรคนำหน้าที่การจัดการใดมาให้ผู้แซ่ลู่” เขาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยที่อีกฝ่ายมาหาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ อย่างไรผู้จัดการภารกิจภายในอย่างเฒ่าหวังแม้ว่าวิทยายุทธไม่อาจเทียบกับผู้จัดการภารกิจภายนอกได้ แต่ก็เป็นยอดฝีมือระดับสำนึกปลอดโปร่ง กลับถูกสองสามกระบวนท่าของเขาคว่ำลงอย่างง่ายดายเพียงยกมือเช่นนี้
เจอยอดฝีมือระดับนี้ ไม่ว่าเป็นพรรคใดต่างก็ต้องการแต่ไม่อาจได้มา ยิ่งไปกว่านั้นยอดฝีมือผู้นี้อายุยังน้อยจนน่ากลัว
“ด้วยความสามารถของน้องลู่ พวกเราจัดการให้เจ้ารับตำแหน่งผู้จัดการภารกิจภายนอก ถ้าทำได้ ขอเชิญน้องลู่ไปเจอผู้อาวุโส ผู้จัดการภารกิจภายใน รวมถึงประมุขพรรคที่ตำหนักใหญ่ด้วยกัน เพื่อรับตำแหน่ง” เฉินอิงกล่าวอย่างเกรงใจยิ่ง
ก่อนเขามาได้ตรวจสอบข้อมูลของลู่เซิ่ง พออ่านรายงานแล้วทำให้เขาหยุดความคิดที่จะรับศิษย์
ในประวัติก่อนหน้าของลู่เซิ่งมีข้อหนึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่า เสียงผีร่ำไห้ในกลางดึกที่ตระกูลลลู่ประสบถูกเขากับนักพรตพเนจรคนหนึ่งแก้ไขได้
ถึงแม้ในนี้ไม่ได้สืบข้อมูลข่าวสารมากนัก แต่ว่าสามารถรอดจากภัยมืดได้ ซ้ำยังเป็นภัยมืดที่มีคุณสมบัติเป็นอันตรายสูงสุดเช่นนี้ พลังยังแข็งแกร่งขนาดนี้… นั่นสุดยอดจริงๆ
“ไปตำหนักใหญ่หรือ ไปตอนนี้ได้เลยหรือไม่” ลู่เซิ่งคร้านกล่าววาจา เขาเข้าร่วมพรรควาฬแดง หลักๆ ก็เพื่อเรียนวิชาที่ดีกว่า และการเรียนวิชาต้องเข้าศาลาประกาศยุทธ การเข้าศาลาประกาศยุทธจำเป็นต้องสร้างประโยชน์ให้พรรค และเงื่อนไขในการบรรลุของพรรคก็คือรับตำแหน่งก่อน จากนั้นค่อยกระทำเรื่องที่มีประโยชน์
“ย่อมได้อยู่แล้ว”
เฉินอิงย่อมอนุญาต ทุกคนลุกขึ้นออกจากบ้านลู่เซิ่ง มุ่งหน้าไปยังตำหนักใหญ่ของพรรควาฬแดงที่อยู่นอกเมือง
ขึ้นรถม้า ลู่เซิ่งกับเฉินอิงนั่งรถคันเดียวกัน
เฉินอิงหันข้างมองนอกรถ ไม่พูดอะไรตลอดทาง ลู่เซิ่งก็ไม่ใช่คนชอบคุย เงียบเสียงพลางเริ่มฝึกปราณภายใน
เขามองออกว่าเฉินอิงเป็นคนฝึกกำลังภายนอกและกำลังภายในพร้อมกัน สองตากระจ่าง มองดูก็ทราบว่าปราณภายในมีส่วนสำเร็จ เพียงแต่ไม่ทราบว่าการสู้จริงจะเป็นอย่างไร ลู่เซิ่งคิดหาโอกาสประมือกับเขาดู
“ไม่ทราบว่าน้องชายมีความเห็นอย่างไรต่อต้าซ่งในปัจจุบัน” สักพักหนึ่ง เฉินอิงพลันเอ่ยถาม
“ต้าซ่งหรือ ความเห็นใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “ไม่มีความเห็นใด ข้าไม่รู้จักราชสำนักในตอนนี้มากนัก กล่าวตามจริง ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่เมืองเก้าประสาน เคยเจอภัยมืดครั้งหนึ่ง หลังจากครั้งนั้นข้าก็เห็นกระจ่างว่าที่ว่าการจวนขุนนางไม่มีประโยชน์อันใด”
เฉินอิงมองลู่เซิ่ง พยักหน้าน้อยๆ
“ข้อนี้ ตามข้อเท็จจริงน้องชายผิดแล้ว”
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ผิดตรงไหนหรือ”
เฉินอิงกระแอมสองสามครั้ง ก่อนสงบลง กล่าวอย่างเชื่องช้า “ไม่ทราบว่าน้องชายเคยได้ยินคำว่า ตัวประหลาด มาก่อนหรือไม่”
“ตัวประหลาดหรือ” สีหน้าลู่เซิ่งพิลึกอยู่บ้าง “ข้าเคยเห็นภูตผี ที่แข็งแกร่งมาก ลี้ลับมาก นี่เป็นตัวประหลาดที่รองประมุขพรรคพูดถึงหรือไม่”
“ไม่… เล่าตามจริงก็แล้วกัน เรื่องผิดปกติเหนือธรรมชาติทั่วไป พรรควาฬแดงของพวกเราจัดการมาไม่น้อย แต่ว่าพวกมันต่างได้แต่เรียกเป็นภูตผีหรือภัยมืด” เฉินอิงหรี่ตา คล้ายเริ่มเข้าสู่ห้วงความจำ
“จำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่ง ตอนข้าไปเข้าร่วมชุมนุมพันธมิตรนักบู๊ที่จงหยวน ขากลับเจอนักพรตผู้หนึ่ง นักพรตคนนั้นคุยถูกคอกับประมุขพรรค พูดถึงเรื่องนี้กับพวกเรา”
เขาเว้นเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ
“คนผู้นั้นบอกว่าภูตผีปีศาจเป็นเพียงผี ของสกปรกเหล่านี้คนทั่วไปฝึกถึงระดับสูงสุดก็จัดการได้
“แต่เหนือกว่าภูตผี มีสิ่งหนึ่งเรียกว่าตัวประหลาด นี่เป็นขั้นที่คนทั่วไปไม่อาจเอื้อม เขาเตือนประมุขพรรคว่า ภูตผีเป็นสิ่งเดียวกับปีศาจน้อย อ่อนแอไร้สติปัญญา ถึงขั้นสับสนงุนงงไม่รู้อะไรเลย แต่หลังผีเป็นตัวประหลาด หลังปีศาจเป็นมาร ตัวประหลาดกับมาร เป็นตัวตนแข็งกล้าที่ไม่ว่าคนธรรมดาจะฝึกฝนอย่างไรก็มิอาจต้านทานได้ ถ้าหากเจอ ต้องหาวิธีหนีทันที!”
“ตัวประหลาด… กับมาร…” ลู่เซิ่งใจสั่นสะท้าน รู้สึกว่าสองสิ่งนี้อาจเป็นมารปีศาจที่ตวนมู่หว่านเคยพูดถึง มารปีศาจเดิมทีเป็นศัพท์โดยสังเขป แต่เขาจำได้ว่าในคำกล่าวของตวนมู่หว่านเพียงพูดถึงมารปีศาจ ไม่มีตัวประหลาด ไม่ทราบว่าเป็นนางกล่าวข้าม หรือเป็นสาเหตุอื่นๆ อันใด
“ถูกต้อง… พรรควาฬแดงของพวกเราดูแข็งแกร่งกระมัง แต่ก็จัดการสิ่งที่คล้ายภูตผีกับปีศาจน้อยได้ ตัวประหลาดกับมารจนถึงตอนนี้เพียงเจอมาครั้งเดียว” เฉินอิงใบหน้ากระตุก คล้ายกับตอนนี้ยังหวาดกลัวอยู่
ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม “ผลลัพธ์เล่า” เขาสังหรณ์ว่าผลลัพธ์ย่อมไม่ดีมากแน่
ใบหน้าเฉินอิงปรากฏความเจ็บปวดแวบหนึ่ง มองลู่เซิ่ง กล่าวอย่างซึมเซา “พรรควาฬแดงเดิมมีรองประมุขพรรคสี่คน”
ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งขรึม พรรควาฬแดงที่เขารู้ในตอนนี้มีรองประมุขพรรคแค่สองคน
“ประมุขพรรคท่านผู้เฒ่าเองก็… บาดเจ็บสาหัส ร่วงตกจากช่วงสูงสุด ตอนนี้ร้อยโรคพัวพัน… ที่น่าขำคือ พวกทายาทยังแย่งอำนาจกันอยู่ หมายจะควบคุมขุมกำลังของพรรควาฬแดงอย่างแท้จริง พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าต่อให้ครองขุมกำลังทั้งหมดของพรรคแล้วอย่างไร ตัวประหลาดที่ก่อให้เกิดทุกอย่างนี้ แม้แต่เป็นอะไร ตายไปตั้งหลายคนพวกเรายังไม่กระจ่าง” เฉินอิงกล่าวอย่างอับจน
ลู่เซิ่งเงียบเสียง เขาซึ่งเพิ่งเข้าพรรคไม่อาจสอดปากในเรื่องแบบนี้ได้
สองคนต่างไร้วาจา ครู่ต่อมา สารถีด้านนอกค่อยส่งเสียง
“ท่านประมุขเฉิน ถึงตำหนักใหญ่แล้ว!”
เฉินอิงแย้มยิ้ม ปรับอารมณ์ ดึงประตูรถเปิดลงไปก่อน
“มาดูเถอะ ตำหนักใหญ่พรรควาฬแดงไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ภาพลักษณ์นั้นพอมี เพียงแต่ประหลาดไปบ้าง”
ลู่เซิ่งลงรถตาม ตรงหน้าถึงกับเป็นริมแม่น้ำไม้สน
ใจกลางแม่น้ำ เรือใหญ่สีแดงดำขนาดมหึมาลำหนึ่ง เหมือนกับปลาวาฬยักษ์หมอบนิ่งอยู่บนแม่น้ำ
น้ำใสฟ้าคราม แสงอาทิตย์สาดส่องใส่เรือยักษ์ ส่องธงสีขาวที่ยอดสูงสุดของเรือ
บนธงนั้นเขียนอักษรตัวใหญ่สีแดงไว้เป็นคำว่า วาฬแดง!
เรือเป็นทรงรี บนดาดฟ้าเป็นหอขนาดยักษ์แปดชั้น รอบๆ เรือเป็นโซ่เหล็กสีดำหยาบเท่าขา ตรึงเรือเอาไว้หลายสิบเส้น โซ่เหล่านี้เทียบกับเรือใหญ่แล้ว เหมือนกับเส้นผมเล็กๆ ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย
“นี่เป็นเรือวาฬแดง สมชื่อกระมัง” เฉินอิงแนะนำอยู่ด้านข้าง
“ภาพลักษณ์นั้นพอดี แต่ไม่อาจนับเป็นเรือได้แล้ว ของเล่นชิ้นนี้ขยับไม่ได้” เฒ่าหวังวิ่งออกมา เถิบเข้าใกล้พูดพึมพำ
“แม่น้ำใหญ่กว้างสิบลี้ ตัวเรือก็กินพื้นที่หนึ่งในสิบส่วนแล้ว แม่แต่เลี้ยวยังน่ากลัวว่าจะเจอหินโสโครกในบริเวณน้ำตื้น จะขยับเช่นไร”
ลู่เซิ่งเพิ่งเห็นเรือที่ใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก นี่เกรงว่าจะใหญ่กว่าเรือบรรทุกเครื่องบิน ตอนเขาไร้เรื่องราวเคยคาดเดาว่า หนึ่งลี้ที่คนที่นี้ใช้กันคือราวๆ หกร้อยหมี่ แต่ว่าเฒ่าหวังว่ากว้างหนึ่งลี้ เรือลำนี้แค่ความกว้างก็หกร้อยหมี่แล้ว นั่นใหญ่มากจริงๆ
“นี่ความจริงไม่ใช่นำมาเป็นเรือ หากเป็นป้อมปราการลอยน้ำที่เชื่อมต่อกัน” เฉินอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไปเถอะ คนด้านในออกมาต้อนรับแล้ว”
บนถนนที่เชื่อมระหว่างเรือใหญ่กับท่าเรือ ตลอดทางมีพลพรรคเฝ้า แยกเป็นสองแถว ทุกๆ ช่วงหนึ่งจะมีคนถือดาบเตรียมระวัง
ตอนนี้ตรงบันไดขึ้นเรือมีชายหญิงสิบกว่าคนมาดูทางนี้แล้ว
เฉินอิงหัวเราะ พาทุกคนเดินไปตรงหน้า
“คำนับท่านรองประมุขเฉิน” ทุกคนพากันคารวะ “ประมุขพรรคท่านผู้เฒ่ารอนานแล้ว”
เฉินอิงก็ไม่เสียเวลา นำพวกลู่เซิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว ภายใต้เส้นทางเล็กๆ ที่มีพลพรรคเฝ้าตลอดทาง ขึ้นถึงดาดฟ้าเรือก็เดินเข้าโถงใหญ่ในท้องเรือ
โถงใหญ่ก็คือตำหนักใหญ่ บนสุดนั่งด้วยชายชราสีหน้าอมโรค ผมสีขาวคนหนึ่ง
ชายชราผู้นี้สวมชุดรัดรูปสีดำแดง มือขวาสวมถุงมือสีทองเข้ม ถึงจะเหมือนไม่สบาย แต่ว่าสภาวะยังคงแข็งแกร่ง ตารูปเสือทั้งสองข้างกระจ่างใส เพียงมองก็รู้ว่าเป็นคนที่มีปราณภายในแข็งกล้า
ลู่เซิ่งพอเข้ามา ก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาห้าคู่อยู่บนร่างตัวเอง
ความจริงในตำหนักใหญ่ยังมีคนไม่น้อยที่มองเขา แต่ว่าพลัง ปราณ และจิตของคนเหล่านั้นต่างสู้ห้าคนนี้ไม่ได้
สายตาทั้งห้าคู่นี้แหลมคมผิดธรรมดา ทำให้คนรู้สึกคันที่ผิว เกิดความรู้สึกเหมือนถูกเข็มแทง เห็นได้ว่าต่างเป็นยอดฝีมือที่บรรลุระดับสูงสุด
ลู่เซิ่งไม่อำพรางสายตาอีก มองกลับไป
เขาตื่นเต้นอยู่บ้าง ครั้งนี้ได้เห็นยอดฝีมือระดับเดียวกันมากมายขนาดนี้ ตามทฤษฎี เขาเป็นระดับผนึกจิต ห้าคนนี้ก็เป็นระดับผนึกจิต ถ้าสู้กันจะแข็งแกร่ง หรืออ่อนแอต้องดูที่วิชา พลัง ประสบการณ์ รวมถึงความสามารถด้านกลยุทธ์
คล้ายกับสัมผัสเจตนาต่อสู้กับความตื่นเต้นในดวงตาของลู่เซิ่งได้ สายตาทั้งห้าคู่เหลือเพียงสามคู่ในอึดใจ มีอีกสามคนรีบก้มหน้าไม่มองเขาอีก สิ่งที่พรรคไม่ชอบที่สุดก็คือพวกบ้าการต่อสู้
ก่อนหน้านี้รองประมุขพรรคคนหนึ่งก็มีนิสัยแบบนี้ วันทั้งวันเอาแต่หายอดฝีมือเพื่อประมือด้วยไปทั่ว จนคนในพรรคทรมานเกินบรรยาย
คิดไม่ถึงตอนนี้ มีคนที่มีวี่แววว่าจะบ้าการต่อสู้เพิ่มมาอีกคน
ในยอดฝีมือทั้งห้าคน มีสองคนแบ่งเป็นประมุขพรรคหงหมิงจือ รองประมุขพรรคซุนจางหลาน อีกสามคนล้วนเป็นผู้จัดการภารกิจภายนอก และเป็นสามคนที่รีบหลบเลี่ยงสายตาของลู่เซิ่ง
หลังลู่เซิ่งมองไป พริบตาเดียวสายตาก็หายไปสามคู่ นี่ทำให้เขาไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่นำพา ยังมีสองคนที่จะเข้าหาได้
เขามองหงหมิงจือประมุขพรรคที่อยู่บนสุดโดยตรง
“ท่วงท่าวีรบุรุษเต็มเปี่ยม เป็นมังกรในหมู่คนจริงๆ!” หงหมิงจือเสียงอ่อนแออยู่บ้าง แต่ยังคงคึกคักฮึกเหิม กล่าวด้วยรอยยิ้มปลอบประโลมว่า
“พรรควาฬแดงของข้าเป็นเพราะอัจฉริยะอย่างน้องลู่เข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นใหญ่ในแดนเหนือ ตั้งตระหง่านไม่ล้มลงมาโดยตลอด”
“ทุกท่านเห็นคนแล้ว โปรดออกความเห็นด้วย” รองประมุขพรรคเฉินอิงเดินเข้าไปทรุดนั่งบนตำแหน่งตัวเอง
มีคนนำลู่เซิ่งไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างโดยเฉพาะ
………………………………………….