ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 560 ตรวจสอบ (2)
บทที่ 560 ตรวจสอบ (2)
“ข้าบอกแล้ว! ข้าบอกแล้ว!” ซิ่วเอ๋อร์หน้าซีด ทราบว่าเจอคนจริงเข้าแล้ว จึงยอมแพ้จริงๆ
ครู่ต่อมา ลู่เซิ่งก็เดินออกจากตรอกโดยมีซิ่วเอ๋อร์ตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสองเดินตรงไปยังโรงเตี๊ยมชั้นสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด
เขาได้ทราบจากปากของซิ่วเอ๋อร์ว่า วิชาลักขโมยที่นางใช้ เป็นความสามารถพิเศษที่มีชื่อว่าขโมยฟ้า ความสามารถนี้มาจากสำนักพิเศษที่มีชื่อว่าสำนักขโมยฟ้า
ทักษะการโจรกรรมนี้ แทนที่จะบอกว่าเป็นวิชาลักขโมย ควรบอกว่าเป็นความสามารถประหลาดที่มีความพิเศษถึงขีดสุดมากกว่า
ลู่เซิ่งให้ซิ่วเอ๋อร์แสดงให้ตนดูสองเที่ยว จากนั้นเขาก็ค้นพบด้วยความตกใจว่า ต่อให้อีกฝ่ายจะใช้วิชาขโมยฟ้าต่อหน้าตัวเอง เขาก็ยังไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ซิ่วเอ๋อร์บอกว่า ความจริงวิชาลักขโมยนี้ไม่จำเป็นต้องทำการเคลื่อนไหวใดๆ เพียงท่องคาถาที่กำหนดไว้ ก็สามารถจบกระบวนการได้แล้ว หนึ่งวันใช้ขโมยฟ้าได้สามครั้ง และของที่ขโมยจะต้องไม่มีค่าเกินขีดจำกัดสัดส่วนในกฎของสำนักของตนเองในสำนักขโมยฟ้า
ส่วนค่าตอบแทนก็คือ ทุกๆ เดือนจะต้องเซ่นสรวงเลือดและเส้นผมของตัวเองให้แก่รูปปั้นขโมยฟ้า
กล่าวง่ายๆ ก็คือ วิชาโจรกรรมขโมยฟ้าที่ว่านี้ไม่ได้เป็นของที่หายาก หากเป็นทักษะพิเศษชนิดหนึ่งที่ถ่ายทอดกันในสำนักขโมยฟ้า
หลังจากศึกษาวิชาโจรกรรมขโมยฟ้าอยู่สักพัก ลู่เซิ่งก็พอจะจับต้นชนปลายได้แล้ว
เพียงแต่ก่อนหน้านี้คนของสำนักมารกำเนิดที่อยู่ในราชาธานีอินตูไม่เคยส่งข้อมูลพวกนี้กลับมา แสดงให้เห็นว่าพวกเสือสิงกระทิงแรดของอินตูเริ่มเผยร่องรอยแล้ว
ลู่เซิ่งค้นพบจากการสังเกตว่า วิชาโจรกรรมขโมยฟ้านี้อาศัยสารกายเป็นหลัก โดยใช้การไหลเวียนของสารกายเพื่อสร้างวังวนสารกาย จากนั้นก็แอบเกี่ยวเอาถุงเงินออกมา
เป็นเพราะว่าอินตูมีคนมากเกินไป สารกายจึงสับสนไม่เป็นระเบียบ เป็นเหตุให้ลู่เซิ่งไม่อาจเพ่งจิตกับทุกคนที่เดินผ่านได้ เลยเกิดโอกาสที่สามารถใช้วิชาโจรกรรมขโมยฟ้าขึ้นมา
ทุกๆ คนต่างก็มีสารกาย ขโมยฟ้าเพียงแค่เหนี่ยวนำให้สารกายของมนุษย์กลายเป็นพายุตามธรรมชาติ จากนั้นก็ใช้พลังงานนี้นำสิ่งที่ตนต้องการมาโดยผีไม่ทราบเทพไม่รู้เท่านั้น
แน่นอนว่าขีดจำกัดก็คือ ได้แต่ขโมยสิ่งของที่ไม่ค่อยมีพลังเหนือธรรมชาติเท่าไหร่
หลังจากได้ทราบถึงความลี้ลับของของสิ่งนี้ ลู่เซิ่งก็ยังได้ทราบจากปากของซิ่วเอ๋อร์อีกว่า สำนักขโมยฟ้ายังมีวิชาลักขโมยที่แข็งแกร่งกว่านี้อีก จึงบังเกิดความสนใจ
เขากำลังหาวิธีเอาข้อมูลของเจ้าแห่งอาวุธมาจากสามสำนักพอดี ตอนนี้ได้เจอกับสำนักขโมยฟ้า ไม่แน่ว่าเทียบกับการบุกตะลุยเพื่อแย่งชิงมาโดยตรงซึ่งเป็นแผนเดิมแล้ว จะมีวิธีการที่ดีกว่าในการจัดการปัญหาข้อนี้
ถึงอย่างไรอินตูก็มีเจ้าแห่งอาวุธอย่างน้อยสองคนกักตนอยู่ใกล้ๆ เขาไม่อยากจะสร้างความตกใจให้แก่ผู้อาวุโสเจ้าแห่งอาวุธสองคนนั้น เขาในตอนนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าแห่งอาวุธแข็งแกร่งที่ตรงไหน หากต้องปะทะกันจริงๆ จะต้องไม่ใช่คู่มืออย่างแน่นอน
“พอแล้ว เจ้าไปได้” ด้านในห้องรับแขก ลู่เซิ่งมองดูซิ่วเอ่อร์ที่จ้องมองตนอย่างตกใจ พลางกล่าวอย่างเย็นชา
“ผู้อาวุโสจะใจดีปล่อยข้าไปจริงๆ หรือ” ซิ่วเอ๋อร์กล่าวอย่างลังเล
“ข้าอยากพบกับระดับสูงของสำนักขโมยฟ้า เจ้าจัดการให้ได้หรือไม่” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“หรือว่าผู้อาวุโสมีของที่อยากขโมย” ซิ่วเอ๋อร์ตางามเป็นประกาย อยู่ๆ ก็เดาออก
“เจ้ามีวิธีหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวพลางเลิกคิ้ว เด็กสาวตรงหน้าผิวเนียนเนื้อนุ่ม เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นความจุดเด่นแต่กำเนิด ไม่แปลกหากจะมีความสัมพันธ์กับระดับสูงในสำนักขโมยฟ้า
“ขอแค่มีเงินมากพอ” เด็กสาวยิ้มยิงฟันขาวอย่างเจิดจ้า
ครึ่งชั่วยามต่อมา ซิ่วเอ๋อร์นำพาคุณชายหล่อเหลาที่ใบหน้าเป็นสีเขียวเดินเข้ามาในห้องของลู่เซิ่ง
“หญิงแต่งเป็นชายหรือ เป็นสตรีอีกแล้ว” ลู่เซิ่งนึกเฉลียวใจ “หรือว่าสำนักขโมยฟ้าของเจ้าจะมีแต่สตรี”
“ผู้อาวุโสกล่าวอันใด สตรีแล้วอย่างไร อาศัยความสามารถหากิน บุรุษสตรีเกี่ยวข้องอันใด” สตรีคนใหม่ที่เดินเข้ามาหิ้วห่อสัมภาระสีเหลืองไว้ใบหนึ่ง แล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะหลังจากเข้ามา
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการสิ่งใด กฎของสำนักขโมยฟ้าก็คือ เงินจะต้องสัมพันธ์กับคุณค่าของสิ่งของที่ต้องการ ทั่วทั้งใต้หล้า ไม่มีสิ่งใดที่พวกเราไม่กล้าขโมย” สตรีนางนี้มีเค้าหน้างดงาม แม้สีผิวจะไม่ได้ขาวเท่าซิ่วเอ่อร์ แต่ว่าองคาพยพของทั้งสองมีส่วนคล้ายคลึงกัน น่าจะมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด
วาจานี้เขื่องโขถึงขีดสุด พลันทำให้ลู่เซิ่งนึกถึงผู้อาวุโสที่มีนิสัยประหลาดสักคนขึ้นมา…
“เจ้าสำนักของพวกเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับสำนักไตรอริยะ” จู่ๆ เขาก็โพล่งถาม
พริบตานั้นบรรยากาศในห้องพลันอึมครึมเคร่งเครียด
หว่างคิ้วขอสตรีที่ซิ่วเอ๋อร์พามาเรืองแสงสีขาว ปล่อยแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่และมีความพิเศษออกมา
“ดูเหมือนผู้อาวุโสจะทราบเรื่องภายในของสำนักไตรอริยะ…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย
“พอแล้วๆ” ด้านนอกประตูพลันมีเสียงพูดดังมา
สตรีผมสั้นสวมกระโปรงสีม่วงค่อยๆ ผลักประตูเข้ามา แล้วมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนหน้านี้ได้ทราบข่าวว่ามีคนไม่รู้เรื่อง ไปติดต่อกับเจ้าสำนักลู่เข้า ยังดีที่มาทันเวลา” รอยยิ้มบนใบหน้าสตรีอ่อนหวานอบอุ่น ทำให้คนที่เห็นคลายความระวังได้โดยง่าย
นางไม่ได้มีใบหน้างามนัก แต่กลับมีความน่าสนิทสนมแทน
“เจ้าสำนัก!?”
พวกซิ่วเอ๋อร์พลันอุทาน ใบหน้าฉายแววยำเกรง ด้วยนึกไม่ถึงว่าเจ้าสำนักจะมาด้วยตัวเอง
“เจ้าคือผู้ใด” ลู่เซิ่งหยีตามองคนผู้นี้
“ข้าน้อยบริวารของราชาอริยะองค์แรกแห่งสำนักไตรอริยะ เจ้าสำนักขโมยฟ้าหลิงเซียง” นางตอบด้วยรอยยิ้ม
ราชาอริยะองค์แรก…” ลู่เซิ่งนึกออกแล้ว ราชาอริยะทั้งสามแห่งสำนักไตรอริยะไม่ใช่องค์กร หากเป็นขุมกำลังลับสามกลุ่มที่ยิ่งใหญ่ไพศาล หลี่ซุ่นซีเป็นบุตรอริยะแห่งราชาอริยะองค์ที่สาม แต่ไม่ได้มีการติดต่อกับขุมกำลังอีกสองขุมกำลังที่เหลืออะไรนัก
ตามทฤษฎีแล้ว ราชาอริยะองค์แรกเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของในสำนักไตรอริยะ และเป็นคนที่ลึกลับมากที่สุดเช่นกัน
เขานึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาถึงอินตูก็ได้เจอผู้ยิ่งใหญ่แบบนี้เข้าแล้ว หรือควรบอกว่าช่วงนี้สำนักไตรอริยะเริ่มกระจายกำลังในอินตูอย่างแท้จริงแล้ว
“เจ้ารู้หรือว่าข้าต้องการสิ่งใด” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม พลังของอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งนัก อย่างมากสุดก็เป็นเจ้าแห่งอาวุธ แต่กลิ่นอายล่องลอยเลือนรางบนร่างกลับทำให้เขาสัมผัสไม่ได้ ช่างประหลาดดีแท้
เขารู้สึกว่าตนเองกำจัดคนผู้นี้ได้โดยไม่มีปัญหา เพียงแต่ต้องเปลืองมือเปลืองเท้าเสียหน่อย เหมือนว่าร่างจริงของสตรีนางนี้จะไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ทางเรามีข้อมูลที่ท่านต้องการ ไม่จำเป็นต้องแอบไปขโมยจากสามสำนักสามตระกูลหรอก” หลิงเซียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทำรูปปากเป็นคำสองคำโดยไม่ส่งเสียง แบ่งเป็นเจ้าแห่งอาวุธและข้อมูล
“ค่าตอบแทนคืออะไร” ลู่เซิ่งไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะช่วยตนเองโดยไม่มีเหตุผล ในฐานะราชาอริยะองค์แรก อำนาจและขุมกำลังต่างก็อยู่เหนือตน เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใจดีช่วยเหลือโดยไม่อยากได้อะไร
“ช่วงนี้องค์ราชากำลังตรวจสอบเรื่องยุ่งยากเรื่องหนึ่งในละแวกนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับลู่หนิงบุตรชายของท่านด้วย พวกเราหวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือกับเราอย่างเป็นการลับ เพื่อดำเนินการตรวจสอบลู่หนิงอย่างละเอียด” หลิงเซียงอธิบาย
“หนิงเอ๋อร์หรือ” ลู่เซิ่งงุนงง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่า เป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายจะเป็นบุตรชายของตัวเอง
ในสายตาของคนนอก เขาคือผู้เข้มแข็งในหมู่อริยะเจ้าอย่างสมศักดิ์ศรี ในต้าอินที่ขาดแคลนอริยะเจ้า ขุมพลังและอิทธิพลของอริยะเจ้าคนหนึ่งแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
แม้จะตายไปหลายคนเพราะวิญญาณร้าย แต่อริยะเจ้าที่เหลือได้ช่วยประชาชน ตระกูลใหญ่ ค่ายพรรค และสำนักไว้เป็นจำนวนมาก
เนื่องจากไม่มีอริยะเจ้าถือกำเนิดใหม่ อริยะเจ้าเลยกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันแทน
ทว่าตอนนี้ ในสายตาของราชาอริยะคนหนึ่ง เขากลับไม่สำคัญเท่าบุตรชายของตัวเองหรือ
เรื่องนี้ทำให้ลู่เซิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
“เข้ามาพูดใกล้ๆ กันหน่อยได้หรือไม่” หลิงเซียงทำหน้าจริงจัง
ลู่เซิ่งนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะโบกมือทำท่าโบก ปราณมารกลุ่มใหญ่พลันตัดขาดห้องไว้ทั้งหมด
ซิ่วเอ่อร์ไม่เคยเห็นอานุภาพขนาดนี้มาก่อน จึงตกใจจนหน้าถอดสี แต่เพราะสตรีผมม่วงบีบมือนางไว้ จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวมั่วซั่ว ทั้งสองทราบว่าครั้งนี้เกือบก่อหายนะเข้าแล้ว เหงื่อจึงแตกพลั่ก
“ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องจัดการพวกนางสองคนหรือ” ลู่เซิ่งมองไปทางพวกซิ่วเอ๋อร์
หลิงเซียงส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร”
พลุ่บๆ!
นางลงมือดุจสายฟ้าแลบ บีบท้ายทอยของซิ่วเอ๋อร์กับสตรีผมม่วงไว้เบาๆ ด้วยความแม่นยำ
ทั้งสองส่งเสียงดังอึกอักก่อนจะล้มลงกับพื้น
“หากผู้อาวุโสสนใจในตัวซิ่วเอ่อร์ ข้ามอบพวกนางสองคนพี่น้องให้ท่านเล่นได้ พวกเรายังมีบริวารแบบนี้อีกมากมายในสำนัก ล้วนได้รับการสั่งสอนผ่านจิตใต้สำนึกมาก่อน จึงรู้วิธีปรนนิบัติโดยกำเนิด”
“ไม่สนใจ” ลู่เซิ่งหงุดหงิดบ้างแล้ว เขาจะหาสตรีเมื่อไหร่ก็ได้ แค่โบกมือก็มีคนมาขอนอนข้างหมอนยอมปรนนิบัติเขานับไม่ถ้วนแล้ว
คนที่เขาเป็นห่วงจริงๆ คือลู่หนิงบุตรชายของเขา
“ตกลง…” หลิงเซียงยิ้มพลางพยักหน้า “ข้าส่งข้อมูลให้ท่านได้ ส่วนสาเหตุที่พวกเราต้องการให้ท่านร่วมมือกันตรวจสอบลู่หนิง เป็นเพราะองค์ราชาสัมผัสคลื่นจิตวิญญาณที่ไม่เสถียรได้จากตัวบุตรชายของท่าน”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งหรี่ตา “หมายความว่าอย่างไรกัน”
หลิงเซียงเว้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยช้าๆ “พูดให้ชัดๆ ก็คือ มีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่บนตัวลู่หนิงบุตรชายของท่าน ความลับนี้องค์ราชายังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เบาะแสกับเรื่องราวส่วนหนึ่งเมื่อก่อนหน้าทำให้เราสังเกตเห็นสหายน้อยลู่หนิงโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“เบาะแสและเรื่องราวใด บอกข้าได้หรือไม่” ลู่เซิ่งมีสีหน้าจริงจังกว่าเดิม ตอนแรกเขามาอินตูเพื่อรวบรวมข้อมูลเท่านั้น กลับนึกไม่ถึงว่าจะได้ทราบความลับใหญ่แบบนี้เข้า ถึงขั้นความลับนี้ยังเกาะเกี่ยวกับบุตรชายของตนเองด้วย
“พวกเราแค่ต้องการให้ท่านร่วมมือเท่านั้น รายละเอียดอยู่ตรงนี้แล้ว” หลิงเซียงหยิบกระดาษหนังแกะที่มีความอุ่นออกมา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะด้านหน้าลู่เซิ่ง แล้วค่อยๆ ถอยกลับตำแหน่งเดิม
“โปรดอ่าน”
ลู่เซิ่งมองนาง แล้วหยิบกระดาษหนังขึ้นมากวาดตาอ่าน
‘ตำรับยาน้ำเทพคลั่งฉบับปรับปรุง ฤทธิ์ยาเพิ่มขึ้นสามส่วน วัตถุดิบลดลงห้าส่วน สถานที่ขายตำรายา เขตเขาไพร ผู้ปรับรุง: สั่วฟาง’
‘ค่ายกลแสงรุ้งสะกดวิญญาณฉบับปรับปรุง อานุภาพค่ายกลเพิ่มขึ้นหกส่วนครึ่ง วัตถุดิบลดลงหนึ่งส่วน ลวดลายค่ายกลลดลงสามส่วน ประเมินรวมๆ ว่ายกระดับเป็นค่ายกลสีม่วง ผู้ปรับปรุง: สั่วฟาง’
‘ปรับปรุงวิชาอันเชิญเขาขั้นพื้นฐาน วิชาหัตถ์ดีขึ้นถึงเจ็ดส่วน ประสิทธิภาพสูงขึ้นเก้าส่วน เกือบจะสร้างวิธีปรุงโอสถแบบใหม่ได้แล้ว ผู้ปรับปรุง: จงหรูหั่ว’
ด้านล่างยังมีการปรับปรุงที่ร้ายกาจในขอบเขตของค่ายกล อักขระ และเทียบยาอีกมากมาย ต่อให้ลู่เซิ่งอยู่ในระดับมาตรฐานทั่วไป ก็มองความยากอันน่าสะพรึงนี้ออก
สิ่งเหล่านี้แทบจะเป็นการปรับปรุงที่ยอดเยี่ยมชนิดเปลี่ยนยุคสมัยได้ และด้านหลังสุดของกระดาษหนังแกะได้ระบุประโยคหนึ่งไว้อย่างชัดเจนว่า ‘วิเคราะห์เปรียบเทียบจากคลื่นจิตวิญญาณ สั่วฟาง จงหรูหั่ว ลู่หนิง จิตวิญญาณของทั้งสามมีความคล้ายกันมากถึงแปดส่วน น่าสงสัยว่าจะเป็นคนเดียวกัน’
“ความหมายของพวกเจ้าก็คือ ลู่หนิงลูกชายข้าได้วิธีการปรับปรุงมากมายขนาดนี้ในระยะเวลาสั้นๆ หรือแทบทุกการปรับปรุงล้วนเป็นการปรับเปลี่ยนที่เปลี่ยนยุคสมัยได้ด้วย” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“ต้องแก้ไขอยู่จุดหนึ่ง การปรับปรุงเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นในแคว้นต่างๆ ในเวลาที่สั้นถึงขีดสุด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พวกเราไม่เข้าใจ แต่ว่าจากหลักฐานต่างๆ ในภายหลัง ได้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจงหรูหั่วหรือสั่วฟาง ล้วนเป็นไปได้ถึงที่สุดว่าจะเป็นการปลอมแปลงของลู่หนิง
ความสูง ขนาดร่างกาย และรูปโฉมล้วนปลอมแปลงได้ มีแต่จิตวิญญาณเท่านั้นที่ปลอมไม่ได้ แม้จิตวิญญาณของอีกฝ่ายมีการเปลี่ยนแปลงมาก่อน แต่ก็ปิดบังสายตาอันกว้างไกลขององค์ราชาไม่ได้อยู่ดี” หลิงเซียงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“พวกเจ้าอยากให้ข้าร่วมมืออย่างไร”
……………………………………….