ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 562 โกรธเกรี้ยว (2)
บทที่ 562 โกรธเกรี้ยว (2)
“ผิดปกติอยู่บ้าง ระวังตัวด้วยหนิงหนิง!” เสียงชายชราดังขึ้นในสมองเขา “เหมือนจะเป็นฝีมือของคนที่จับตาดูเราเมื่อก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะลงมือใกล้ๆ คฤหาสน์ลู่ได้!”
แม้ลู่หนิงจะเพิ่งอายุไม่กี่ขวบ แต่ก็มีพรสวรรค์แข็งแกร่งที่สุด ทั้งยังมีความเป็นผู้ใหญ่ กอปรกับการเดินทางในหลายเดือนมานี้ นิสัยจึงโตขึ้นมา เทียบได้กับเด็กอายุสิบกว่าขวบแล้ว
พอได้ยินดังนั้น เขาก็ปรับท่วงท่าและปล่อยใจให้ว่างอย่างรวดเร็ว เพื่อให้อาจารย์ออกหน้าควบคุมร่างกาย
“สามารถลงมือใกล้ๆ คฤหาสน์ลู่ได้ ระดับของคนพวกนี้…ร้ายกาจมาก!” ชายชราน้ำเสียงย่ำแย่เล็กน้อย
“ร้ายกาจกว่าท่านพ่ออีกหรือ” ลู่หนิงอดถามไม่ได้
“แน่นอน เบื้องหลังพวกเขามีขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ไพศาล แข็งแกร่งกว่าสำนักมารกำเนิดและตระกูลลู่ของเจ้ามาก” ชายชรารีบตอบ
ลู่หนิงกัดริมฝีปาก “ท่านอาจารย์มีวิธีสลัดหลุดจากพวกเขาไหม ข้าไม่อยากให้ตระกูลโดนลูกหลงไปด้วย”
“ดูตรงนี้ ดูตรงนี้เร็วลู่หนิงน้อยผู้น่ารัก” ด้านในลานเรือนที่ชำรุดชุดโทรม อยู่ๆ ก็มีคนเรียกชื่อเขาจากด้านหลังอย่างสนิทสนม
ร่างกายของลู่หนิงถูกอาจารย์ควบคุมอยู่ เขาค่อยๆ หมุนตัวไป เห็นบุรุษที่สวมอาภรณ์สีขาวกำลังยิ้มแฉ่งมองตน ด้วยสายตาฉายแววละโมบ
“ท่านเป็นใครกัน” ตอนนี้ลู่หนิงอยู่ในร่างธรรมดา ไม่ได้ปลอมแปลง เป็นเด็กอ้วนคนหนึ่ง
“ข้าหรือ ข้ามาช่วยเจ้า” บุรุษตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะเรียกข้าว่าจือเหิงจื่อก็ได้ ข้ามาแก้ไขสภาพผิดปกติในร่างของเจ้า”
ตุบ
ลู่หนิงได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง เขาหันไปมอง ด้านหน้ามีสตรีอาภรณ์ขาวคนหนึ่งค่อยๆ ทิ้งตัวลงจากฟากฟ้า และขวางเส้นทางของเขาเอาไว้
“พวกท่าน…” ใบหน้าอ้วนจ้ำม่ำของลู่หนิงฉายแววเคร่งเครียด “พวกท่านอย่าเข้ามานะ ไม่งั้นข้าร้องแน่!”
จือเหิงจื่อเดินเข้าใกล้ลู่หนิงทีละก้าวๆ โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ฟุ่บ
มีดสั้นสีแดงฉานเล่มหนึ่งที่กำลังหมุนดีดออกมาจากในมือของเขา รอบๆ มีดสั้นมีลวดลายงูตัวเล็กสีดำสองตัวรัดพันกันอยู่
“นึกไม่ถึงว่าบนตัวเจ้าจะมีสมบัติระดับนั้น เจ้าจะมอบออกมาเอง หรือให้พวกเราเอามาด้วยตัวเอง” จือเหิงจื่อย่างสามขุมเข้าหาอย่างสงบนิ่ง
“พวกท่านพูดอะไรไม่รู้เรื่อง”
ลู่หนิงหมุนตัวไปอีกทิศทางหนึ่งเพื่อจะออกไปนอกประตู
ฟ้าว!
“มีดมังกรทะยาน!”
ประกายมีดสีแดงเลือดที่เหมือนกับเส้นด้ายฟาดฟันใส่เขาในทันที
ลู่หนิงหลบหลีกเหมือนตอบสนองตามสัญชาตญาณ แล้วใช้มือดีดใส่ประกายมีดอย่างแม่นยำ
เคร้ง!
ตัวมีดของจือเหิงจื่อเปลี่ยนทิศทาง เปลี่ยนมุมไปสามครั้งในพริบตาเดียว แต่ล้วนถูกลู่หนิงดีดกระเด็นออกไปอย่างแม่นยำ
“ไป!” เสียงของชายชราดังขึ้นในหูของลู่หนิง
“แต่ว่าท่านอาจารย์!” ลู่หนิงตอบสนองไม่ทัน รู้สึกได้ว่าสองเข่าพลันย่อลง หลบพ้นการโจมตีจากดาบคู่ของสตรีที่อยู่ด้านหลังได้อย่างพอดิบพอดี
ชายชราควบคุมร่างกายของลู่หนิงพุ่งออกจากระหว่างคนทั้งสอง แล้วลอยตัวไปยังที่ไกลเหมือนกับนกกระจอก
“คิดหนีหรือ” จือเหิงจื่อใช้มือขวาประสานมุทราดุจสายฟ้าแลบ ตรงทรวงอกด้านซ้ายของลู่หนิงพลันเรืองแสงสีม่วงอ่อนๆ
“อยู่บนตัวเจ้าจริงๆ ด้วย ตาม!”
พวกจือเหิงจื่อกระโจนเข้าใส่ลู่หนิง ประกายมีดส่องแสงระยิบระยับ พวกเขาฟันใส่จุดอ่อนของลู่หนิงโดยไม่สนใจเลยว่าอาจจะสังหารเด็กน้อยได้
เปรี้ยง!
ในตอนที่ลู่หนิงกำลังจะหลบ พละกำลังอันมหาศาลไร้รูปร่างก็กระแทกใส่ตัวเขาอย่างรุนแรง ทำให้เขากระเด็นออกไปชนใส่กำแพงที่อยู่ไม่ไกล ร่างฝังลึกเข้าไป
“ระดับดวงดาว…” เสียงของชายชราดังสะท้อนอยู่ในหูของลู่หนิงอย่างเคร่งเครียดถึงขีดสุด
“ท่านพ่อ…” น้ำตาของลู่หนิงทะลักออกมาอย่างผิดหวัง
“ลู่หนิง เจ้าฟังให้ดี ศัตรูที่เจ้าเผชิญในตอนนี้แข็งแกร่งจนยากจินตนาการ อีกประเดี๋ยวอาจารย์จะสร้างทางรอดให้เจ้า เจ้าคว้าโอกาสหนีไปทางที่พวกเราเคยคุยกันมาก่อน ห้ามลังเล ใช้วิชากระจอกธารา จงอย่าลังเล จงอย่าหันหน้ากลับมา”
ชายชราพูดทีละคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าอยากเจอท่านพ่อ…! ท่านแม่!” ลู่หนิงร้องไห้
“พอได้แล้ว! คิดทำร้ายครอบครัวเจ้าจนตายหรืออย่างไร!? เตรียมตัวซะ” ชายชราตำหนิเสียงเฉียบขาด
ตุบ…ตุบ…ตุบ…
เสียงฝีเท้าใสกระจ่างค่อยๆ ดังมาจากด้านนอกประตู
บุรุษร่างสูงใหญ่สวมหน้ากากและพันผ้าพันศีรษะสีขาวค่อยๆ ทิ้งตัวลงจากท้องฟ้า เขาเหน็บดาบใหญ่สีขาวอมเทาที่สร้างอย่างหยาบกระด้างไว้ตรงเอว
ลู่หนิงถูกตำหนิจนต้องหยุดน้ำตา ก่อนจะฝืนยันตัวขึ้นจากในกำแพง
“ท่าน…ท่านเป็นใคร!?” เขาถามอย่างขลาดกลัว
ดวงตาสีน้ำเงินคู่หนึ่งที่อยู่ใต้ผ้าพันศีรษะของบุรุษมองดูเขาอย่างสงบนิ่ง
“วิญญาณดวงดาวรึ เป็นวัตถุดิบที่ไม่เลวนี่ ดึงออกมาซะ” เขายื่นมือออกมาคว้าใส่ลู่หนิง
“ใต้เท้า…บิดาของอีกฝ่ายคือ…” จือเหิงจื่อที่อยู่ใกล้ๆ รีบรายงานด้วยเสียงนอบน้อม
“ไม่เป็นไร ถ้าหากถูกพบ ก็ให้กวาดล้างสำนักมารกำเนิดไปด้วยเลย” บุรุษดวงตาสีน้ำเงินเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“ทว่า…องค์ราชา…” จือเหิงจื่อส่ายหน้า
“ข้านำโองการล่าสุดขององค์ราชามาแล้ว” บุรุษดวงตาสีน้ำเงินสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “รีบจัดการวิญญาณดวงดาวให้เร็วที่สุด เพื่อเตรียมเปิดศึกเต็มพิกัด ถ้าหากสำนักมารกำเนิดขัดขวาง ให้ฆ่าทิ้งไม่มีละเว้น”
“นี่!?” จือเหิงจื่อกับหงเหมยจื่อสีหน้าผกผัน ตอนแรกทั้งสองหาเด็กตัวตายตัวแทนมาปลอมตัวเป็นลู่หนิงชั่วคราวเพื่อปิดบังสายตาพวกลู่เซิ่ง และจะส่งเด็กกลับไปหลังดึงวิญญาณแล้ว
แต่ตอนนี้…
บรรยากาศหนักอึ้งเล็กน้อย
“ไป!”
อยู่ๆ ลู่หนิงก็ทำลายกำแพงด้านขวาแล้วบินไปยังที่ไกลเหมือนสายฟ้า
พริบตานี้ความเร็วที่เขาระเบิดออกมาเหนือกว่าจินตนาการของคนทุกคน บุรุษดวงตาสีน้ำเงินสีหน้าแปรผันเล็กน้อย ก่อนจะระเบิดร่างกลายเป็นแถบผ้าสีขาวนับไม่ถ้วน แล้วหายไปจากที่เดิม
…
ในป่ารกร้าง
ลู่หนิงวิ่งหนีสุดชีวิต รอบๆ ล้วนเป็นป่าสีเทา แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับเขตจันทราสารทที่เขาเคยเห็นในยามปกติ
“ที่นี่ไม่ใช่เขตจันทราสารท พวกเราถูกเคลื่อนย้ายมาไกลโดยไม่รู้ตัว! เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกเคลื่อนย้ายมาที่ไหน” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เสียงของชายชราทั้งเร่งร้อนและอ่อนแรง
พวกเขาเร็วเกินไป จนทำให้เกิดกระแสลมสีขาวลากเป็นทางยาวขึ้นด้านหลัง หนำซ้ำยังทำลายกำแพงเสียง ส่งเสียงดังลั่นจนแก้วหูแทบฉีกขาดด้วย
“เจ้าคิดไปไหน!”
ทันใดนั้นมีแถบผ้านับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาจากด้านหน้า แล้วกระแทกใส่ใบหน้าของลู่หนิงพอดี
เปรี้ยง!
แสงเจ็ดสีกลุ่มหนึ่งระเบิดออกจากร่างของลู่หนิงขวางกั้นแถบผ้าไว้ ชายชราแค่นเสียงพร้อมกับควบคุมให้ลู่หนิงหลบการโจมตีจากแถบผ้าที่ตามมา
“พันปักษาโบยบิน!” มีเสียงทุ้มต่ำดังมาแต่ไกล
ฉึบๆๆๆ!
แถบผ้าสีขาวนับไม่ถ้วนปรากฏรอบๆ ตัวลู่หนิงในทันใด แล้วห่อหุ้มเขาไว้หลายชั้น
“วิชาทำลายแก่น!” ชายชราตะโกน แสงเจ็ดสีรวมตัวแล้วระเบิดหลุมใหญ่หลุมหนึ่งออกมา ลู่หนิงพุ่งออกมาจากด้านใน แล้วโถมตัวไปยังที่ไกล
“ไป!” มนุษย์แสงเจ็ดสีแยกออกมาจากร่างลู่หนิง ก่อนจะพุ่งใส่บุรุษดวงตาสีน้ำเงิน
“อย่าหันหลัง”
น้ำตาของลู่หนิงทะลักออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาจุกในลำคอหากแต่ไม่กล้าหันกลับ เพียงพุ่งไปยังที่ไกลด้วยความเร็วสูง
อ๊าก!
ทันใดนั้นด้านหลังมีเสียงคำรามที่น่ากลัวดังมา
ลู่หนิงอดหันกลับไปดูไม่ได้ ก่อนจะเห็นชายชราถูกบุรุษดวงตาสีน้ำเงินใช้มือบีบคอและยกตัวลอยขึ้นกลางอากาศพอดี ทั่วทั้งร่างปล่อยแถบผ้าสีขาวจำนวนมากออกมา
“ท่านอาจารย์!” ลู่หนิงพลันหลับตา แล้วตะเบ็งเสียงอย่างบ้าคลั่ง
ตอนนี้วินาทีนี้เขาปรารถนาพลังที่แข็งแกร่ง
อาจารย์สอนตนอย่างตั้งใจมาโดยตลอด แม้จะขี้บ่น มักห้ามนู่นห้ามนี่ แต่เขาก็รู้ว่านั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายหวังดีกับเขา
“อย่าหันกลับมา! เจ้าเป็นความหวังสุดท้ายของข้าจ่างชิงจื่อ เป็นตายแล้วแต่ชะตา ก่อนตายข้าได้มีศิษย์อย่างเจ้า ก็ไม่มีอะไรให้เสียดายแล้ว!” ชายชราปล่อยแสงเจิดจ้าออกมาขวางกั้นการห่อหุ้มของแถบผ้าสีขาวสุดกำลัง
“อ้อ? เป็นคุณสมบัติของร่างร่องรอยดวงดาวที่หายากนี่เอง…มิน่าเจ้าถึงได้ร้อนใจนัก” บุรุษดวงตาสีน้ำเงินมองลู่หนิง อยู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรออก
“เป็นแค่ระดับดวงดาวปลอมแท้ๆ!” จ่างชิงจื่อกัดฟันพร้อมกับตั้งฝ่ามือขวาขึ้น กลางฝ่ามือมีกลุ่มแสงสีดำสนิทที่บิดเบี้ยว พลังวิญญาณจำนวนมากทะลักเข้าสู่แสงสีดำ คลื่นทำลายล้างที่เกิดขึ้นแข็งแกร่งและน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
“หือ…นี่คือ?!” ในที่สุดดวงตาที่เย็นชามาโดยตลอดของบุรุษดวงตาสีน้ำเงินก็เปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก
“ตายด้วยกันเถอะ!”
ตูม!
แสงสีดำระเบิดเป็นชิ้นๆ
“อาจารย์!” ลู่หนิงหลับตาตะโกนอย่างเจ็บปวด นี่เป็นคนแรก คนแรกที่ดีกับเขา แต่เขากลับได้แต่มองดูอีกฝ่าย
“เจ้าจะหนีไปไหน”
ทันใดนั้นด้านหน้ามีเสียงบุรุษที่ทุ้มต่ำและเคร่งขรึมดังมา
บุรุษร่างสูงใหญ่ที่มีปีกเนื้อสีดำสนิทงอกบนหลังกำลังยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าลู่หนิงอย่างสงบนิ่ง
ลู่หนิงรีบชะงักฝีเท้าด้วยความรีบร้อน ขณะกำลังจะหันไปอีกทาง ก็ถูกพลังงานไร้รูปร่างสายหนึ่งดึงตัวกลับมา
“เจ้ากล้าหนีต่อหน้าข้าข่งเลี่ยหรือ” บุรุษกระพือสองปีกและก้าวเข้าไปใกล้ “วิญญาณดวงดาวไม่อนุญาตให้รั่วไหล ต้องถอนรากถอนโคน ตายเสียเถอะ!”
เขาตะปบมือใส่ลู่หนิง พลังอันมหาศาลกดทับอากาศ กลายเป็นกรงเล็บโปรงแสง กรีดใส่ลู่หนิงที่ได้แต่มองดูตาปริบๆ
“ท่านพ่อ…” ลู่หนิงมองดูความตายกดดันเข้ามาใกล้อย่างงุงง คิดถึงเรื่องมากมายอยู่ชั่วขณะ
ตูม!
กรงเล็บยักษ์ไร้รูปร่างกระแทกทรวงอกของลู่หนิงอย่างแรง
ร่างเล็กของเขาลอยขึ้นสูง แล้วหมุนคว้างไปยังที่ไกล ในเวลาเดียวกันกลับมีเปลวไฟสีเขียวกลุ่มหนึ่งลุกไหม้ขึ้นรอบๆ ตัวเขา
…
เพล้ง
ด้านในวังมาร
ลู่เซิ่งบีบจอกชาจนแตกคามือ ปราณมารนับไม่ถ้วนลุกไหม้ขึ้นบนร่าง
‘ผู้ใดแตะต้องผนึกกัน…’ เขาค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วเดินออกจากตัววัง ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า
เมฆดำจำนวนมากรวมตัวกันกลางอากาศ เสียงสายฟ้าดังครืนครัน ดวงตาสีน้ำเงินขนาดยักษ์เปิดขึ้นกลางชั้นเมฆพร้อมกับเพ่งมองเขา
“พวกเจ้ากล้าทำลายข้อตกลง…” ในดวงตาอึมครึมของลู่เซิ่งเหมือนกำลังบ่มเพาะความโกรธเกรี้ยวอยู่
“ลู่เซิ่ง เจ้าจะต่อต้านหรือ” เสียงดังสนั่นพุ่งเข้าหาวังมาร ทำให้เครื่องเรือนนับไม่ถ้วนสั่นสะเทือนดังครึ่กๆ
“ต่อต้านหรือ” ลู่เซิ่งยิ้มเหี้ยมเกรียม “กล้าแตะต้องลูกชายข้า ดูเหมือนพวกเจ้าจะเบื่อที่มีชีวิตมายาวนานเกินไปแล้ว…”
“เจ้า…”
ตูม!
ดวงตาสีน้ำเงินยังพูดไม่ทันจบก็ระเบิดกลายเป็นเมฆดำนับไม่ถ้วน
ลู่เซิ่งชักนิ้วชี้กลับ ปราณมารทั่วร่างแผ่ขยายไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่งเหมือนกระแสน้ำ
วินาทีนั้นปราณมารที่ยิ่งใหญ่จนน่ากลัวปกคลุมสิ่งก่อสร้างทั้งหมด ข้ามผ่านวังมาร ข้ามผ่านเนินเขา ลอยผ่านทุ่งราบ และลอยผ่านป่าเขา
อาณาเขตทั้งหมดในรัศมีหลายพันลี้ถูกปราณมารสีดำกลบท่วม
“หาตัวจือเหิงจื่อ คนของสำนักอริยะที่หนึ่ง ให้ฆ่าไม่มีละเว้น!”
……………………………………….